เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน 392 ข้าจะต้องไปพบสักคราเสียแล้ว
ตอนที่ 392 ข้าจะต้องไปพบสักคราเสียแล้ว
หลังจากที่เสียงพิณดังขึ้น
เย่ฉางชิงและชวี่เหวินเซี่ยแทบจะหยุดฝีเท้าลงพร้อม ๆ กัน
“ศิษย์พี่ชวี่ เหตุใดที่นี่ถึงได้มีเสียงพิณเล่าขอรับ ? ”
เย่ฉางชิงนิ่งเงียบอยู่สักพัก ก่อนจะเอ่ยถามออกมาอย่างงุนงง
ชวี่เหวินเซี่ยเองก็นิ่งไปพักหนึ่ง บนใบหน้าขาวผ่องปรากฏรอยยิ้มยินดีขึ้น
ต้องบอกว่าตลอดระยะเวลาที่นางบำเพ็ญเพียรอยู่ที่สำนักชิงหยางนั้น
นอกจากวิถีแห่งดนตรีที่นางมิเคยลองแล้ว วิถีอื่น ๆ นางล้วนแต่ได้ลองบำเพ็ญเพียรมาหมดแล้ว ทว่ากลับยังมิสามารถทำให้นางพอใจได้
เรื่องนี้จึงเป็นหนึ่งในเหตุผลว่าเหตุใดนางถึงมาเข้าร่วมการคัดเลือกศิษย์ของนิกายกระบี่สวรรค์ในครั้งนี้
เพราะนิกายกระบี่สวรรค์นั้นเป็นหนึ่งในสี่สำนักใหญ่แห่งหลิงโจว
แม้ศิษย์ในสำนักจะเน้นบำเพ็ญเพียรวิถีกระบี่เป็นหลัก แต่ก็มิได้หมายความว่าจะมิมีผู้อาวุโสและศิษย์ที่บำเพ็ญเพียรในวิถีอื่นเลย
และจากข่าวที่เชื่อถือได้
นิกายกระบี่สวรรค์นั้นมีบรรพจารย์ท่านหนึ่ง ที่มีความแตกฉานในวิถีแห่งดนตรีอันสูงส่งอยู่ด้วย
และเป้าหมายของนางก็คือคนผู้นี้
“ศิษย์พี่ชวี่ ท่านเป็นอะไรไปหรือขอรับ ? ”
เมื่อเห็นชวี่เหวินเซี่ยนิ่งไป เย่ฉางชิงจึงอดมิได้ที่จะเอ่ยถามขึ้น
ในที่สุดชวี่เหวินเซี่ยก็ได้สติ ก่อนจะเอ่ยอย่างครุ่นคิดว่า “เสียงพิณนี้แฝงวิถีแห่งดนตรีเอาไว้ และเหมือนว่าในที่สุดข้าจะพบวิถีที่ข้าต้องการบำเพ็ญเพียรแล้ว”
‘วิถีแห่งดนตรี ? ’
เย่ฉางชิงกระพริบตาปริบ ๆ อดมิได้ที่จะเผยสีหน้าสงสัยออกมา
‘ภายในเสียงพิณเช่นนี้กลับแฝงสิ่งที่เรียกว่าวิถีแห่งดนตรีเอาไว้เยี่ยงนั้นหรือ ? ’
‘แต่เสียงพิณนี้แม้จะไพเราะเสนาะหู ทว่าก็มิได้นับว่าเลิศเลออะไร’
‘เพียงแค่ข้าดีดพิณส่ง ๆ ยังไพเราะกว่าเสียงพิณนี้เสียอีก’
‘เช่นนั้นปัญหาก็คือ’
อะไรคือวิถีแห่งดนตรี ?
‘หรือว่าสิ่งที่เรียกว่าวิถีแห่งดนตรี หาได้เกี่ยวข้องกับฝีมือในการดีดพิณไม่ แต่เป็นเรื่องของการรู้แจ้งในวิถีแห่งดนตรีเพียงอย่างเดียวงั้นหรือ ? ’
‘อืม ! ’
‘คงจะเป็นเช่นนั้น ! ’
‘ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงข้าเองก็เริ่มรู้สึกสนใจ สิ่งที่เรียกว่าวิถีแห่งดนตรีขึ้นมาบ้างแล้ว’
คิดได้เช่นนั้นเย่ฉางชิงจึงถามชวี่เหวินเซี่ยอย่างสงสัยว่า “ศิษย์พี่ชวี่ ข้าก็ดีดพิณเป็น แต่สิ่งที่เรียกว่าวิถีแห่งดนตรี มันคืออะไรหรือขอรับ ? ”
ได้ยินเช่นนั้นชวี่เหวินเซี่ยก็กลอกตาใส่เย่ฉางชิง ด้วยความมิสบอารมณ์ในทันที
‘อะไรนะ ข้าก็ดีดพิณเป็นงั้นหรือ ! ’
วิถีแห่งดนตรีไหนเลยจะง่ายดาย ดังเช่นการดีดพิณสักเพลงไม่ ?
ยิ่งไปกว่านั้นวิถีแห่งดนตรียังแตกต่างจากวิถีอื่น ๆ อีกด้วย
วิถีแห่งดนตรีเป็นวิถีที่มีความคลุมเครือมากที่สุดในบรรดาวิถีอีกมากมาย
การบำเพ็ญเพียรวิถีแห่งดนตรี สิ่งสำคัญมิได้อยู่ที่การบำเพ็ญเพียรแต่เป็นการรู้แจ้ง
แน่นอนว่าความรู้เกี่ยวกับวิถีแห่งดนตรีของชวี่เหวินเซี่ยเองก็หยุดอยู่เพียงเท่าที่ตำราบันทึกเอาไว้เช่นกัน
“ศิษย์น้องเย่เจ้าต้องเข้าใจก่อนว่า การบำเพ็ญเพียรนั้นมิได้ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าจะสามารถรู้แจ้งได้กี่วิถี แต่อยู่ที่เจ้าสามารถรู้ซึ้งในวิถีนั้น ๆ ได้มากเพียงใดต่างหากเล่า”
ชวี่เหวินเซี่ยเรียบเรียงคำพูดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกำชับว่า “ในเมื่อเจ้าเลือกวิถีกระบี่แล้ว ก็มิต้องไปคิดถึงวิถีอื่น ๆ อีก มิเช่นนั้นจะส่งผลต่อความสำเร็จของเจ้าในภายภาคหน้าได้”
สิ้นเสียงเย่ฉางชิงก็นิ่งงันไป ก่อนจะพยักหน้ารับอย่างหนักแน่น
‘จริงด้วย ! ’
‘ในเมื่อเริ่มบำเพ็ญเพียรวิถีกระบี่แล้ว เหตุใดยังต้องคิดถึงวิถีอื่น ๆ อีก ? ’
‘อีกทั้งคุณสมบัติของข้าก็มิได้สูงอะไร มิเช่นนั้นคงมิต้องมาเข้าร่วมการทดสอบของนิกายกระบี่สวรรค์เช่นนี้หรอก ! ’
‘อยู่ที่สำนักเซียนลึกลับอย่างสำนักชิงหยางมิดีกว่าหรือ ? ’
“ศิษย์พี่พูดได้ถูกต้อง ฉางชิงเข้าใจแล้วขอรับ”
เย่ฉางชิงนิ่งเงียบไปสักพัก ก่อนจะเอ่ยกับชวี่เหวินเซี่ย
หลังจากพูดคุยกันมิกี่ประโยค
ชวี่เหวินเซี่ยก็รีบเหาะไปบนหินขนาดใหญ่ก้อนหนึ่ง จากนั่งก็นั่งลงทำสมาธิ เริ่มพิจารณาวิถีแห่งดนตรีที่แฝงอยู่ภายในเสียงพิณทันที
ส่วนเย่ฉางชิง
เขาเลือกที่จะเดินชมเรือนหลังนี้อย่างมิรีบร้อน จากนั้นจึงมองหาหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งที่อยู่มิไกลจากชวี่เหวินเซี่ยนัก และเตรียมบำเพ็ญเพียรอีกครั้ง
ผ่านไปประมาณหนึ่งก้านธูป
เนื่องจากเสียงพิณที่ลอยมา ทำให้เขามิสามารถตั้งสมาธิให้มั่นได้
เช่นนั้นเขาจำต้องหยุดการบำเพ็ญเพียรลงชั่วขณะ
“เสียงพิณนี้แท้จริงแล้วแฝงวิถีแห่งดนตรีเช่นไรเอาไว้กันแน่ เหตุใดข้าถึงมิสามารถสัมผัสได้เลยแม้แต่น้อย หรือเป็นเพราะข้ามิมีพรสวรรค์เยี่ยงนั้นหรือ ? ”
เย่ฉางชิงนั่งอยู่บนหินขนาดใหญ่ที่มีหมอกลอยอบอวลก้อนหนึ่ง มองชวี่เหวินเซี่ยที่ยกยิ้ม ออกมา และดูเหมือนจะกว้างขึ้นเรื่อย ๆ ก็อดมิได้ที่จะทอดถอนใจออกมาเบา ๆ
“มิใช่ นี่มันมิถูกต้อง เสียงพิณนี้แม้จะแฝงวิถีแห่งดนตรีเอาไว้ ทว่าเสียงพิณนี้มิเพียงแต่จะมิสมบูรณ์แล้ว กลับกันยังส่งผลต่อการบำเพ็ญเพียรของข้าด้วย…”
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม
เย่ฉางชิงรู้สึกแปลกใจอย่างมาก จึงได้เพ่งสมาธิแล้วหยิบพิณโบราณของเขาออกมาจากแหวนเก็บสมบัติ
เขาวางพิณเอาไว้บนหน้าตักของตัวเอง ครุ่นคิดอยู่สักพักก่อนจะบรรเลงเพลงตามที่ได้ยิน และยังคงดังอยู่ในขณะนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
“แต๊งแต๊งแต๊ง… แต๊งแต๊ง… แต๊งแต๊งแต๊งแต๊ง…”
หลังจากนิ้วเรียวยาวของเย่ฉางชิงกรีดกรายลงไปบนสายพิณ จากนั้นก็มีเสียงพิณดังขึ้นภายในเรือนเล็ก ๆ แห่งนี้
มิเพียงเท่านั้น หากเทียบกับเสียงพิณที่ลอยอยู่ในอากาศ
เพลงที่เย่ฉางชิงดีดเรียกได้ว่าเป็นเสียงสวรรค์อย่างแท้จริง
อีกทั้งเพลงที่เขาดีดนั้นยังแฝงเอาไว้ด้วยวิถีแห่งดนตรี เจตจำนงที่แท้จริงยังเหนือกว่าเสียงพิณที่ดังมาในคราแรกอีกต่างหาก
มินานเหมือนสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง นัยน์ตาหงษ์ของชวี่เหวินเซี่ยพลันเบิกกว้างขึ้น ก่อนจะหันไปตามเสียงนั้น ก็ได้พบว่าบัดนี้เย่ฉางชิงกำลังนั่งอยู่มิไกลนัก
ทันใดนั้นใบหน้าขาวผ่องของนางก็เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
‘นี่มัน ! ’
‘นี่มัน ! ’
‘นี่มัน… เพียงแค่ดีดพิณเป็นจริง ๆ หรือ ? ’
‘คิดมิถึงว่าศิษย์น้องเย่ผู้นี้มิเพียงมีความแตกฉานในวิถีกระบี่อันสูงส่งแล้ว ยังมีความแตกฉานในวิถีแห่งดนตรีที่สูงส่งมิแพ้กันเช่นนี้ด้วย ! ’
‘เช่นนี้ศิษย์น้องเย่แท้จริงแล้ว เก่งกาจเพียงใดกันแน่ ! ’
‘ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่เขาด้านหลังของสำนักชิงหยาง’
‘เขาสามารถบรรลุสุดยอดวิถีกระบี่และวิถีโอสถ รวมทั้งวิถีค่ายกลที่มิมีใครทำได้อย่างง่ายดาย’
‘มาบัดนี้เขายังสามารถบรรลุในวิถีแห่งดนตรีได้ถึงระดับนี้อีก ! ’
‘น่าเหลือเชื่อ ! ’
‘ช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก ! ’
ทันใดนั้น ชวี่เหวินเซี่ยแม้อดที่จะใจสั่นมิได้ แต่นางรู้ดีว่า
เวลานี้สำหรับนางแล้ว นี่ถึงเป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่งนัก
หากนางสามารถอาศัยเสียงพิณของเย่ฉางชิง เพื่อรู้แจ้งในวิถีแห่งดนตรีได้สำเร็จ
เช่นนั้นต่อจากนี้นางก็จะสามารถเริ่มบำเพ็ญเพียรในวิถีแห่งดนตรีได้อย่างราบรื่นแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้นางยังก้าวเข้าสู่แดนก่อกำเนิดได้สำเร็จแล้ว จึงถึงเวลาที่นางจะต้องเลือกวิถี มิเช่นนั้นต่อให้นางจะมีรากวิญญาณขั้นสุดยอดถึงสองธาตุ ก็อาจจะไร้ประโยชน์และส่งผลต่อความสำเร็จ ในการบำเพ็ญเพียรภายภาคหน้าได้
……………………….
ขณะเดียวกัน
ชั้นบนสุดของหอเจี๋ยอิน
หนิงซู่ซู่หลับตาทั้งสองข้างลง นิ้วเรียวยาวกดไปที่สายพิณเบา ๆ
ส่วนด้านหน้าของนาง
มีบุรุษและสตรีอายุน้อยกลุ่มหนึ่งนั่งสมาธิอยู่ กำลังตั้งใจฟังและพิจารณาเสียงพิณของนางอยู่ เพื่อหวังที่จะพัฒนาการรู้แจ้งในวิถีแห่งดนตรีของพวกเขาไปอีกขั้น
เพราะการได้ฟังเสียงพิณของท่านบรรพจารย์หนิงท่านนี้ สำหรับพวกเขาแล้วมิต่างอะไรกับโอกาสและวาสนาอันใหญ่หลวง
แน่นอนว่าเสียงพิณของหนิงซู่ซู่นั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ
ภายในเมืองกระบี่สวรรค์อันกว้างใหญ่
เวลานี้แม้จะมีศิษย์มาเข้าร่วมการทดสอบมากมายหลายพันคน แต่ผู้ที่สามารถได้ยินเสียงพิณของนางจริง ๆ เกรงว่าคงมีเพียงมิกี่คนเท่านั้น
สำหรับศิษย์ที่สามารถได้ยินเสียงพิณเหล่านี้ ก็เท่ากับเป็นการทดสอบอย่างหนึ่ง
หากสามารถเข้าตาผู้ที่ไร้เทียมทานเช่นหนิงซู่ซู่ได้ ก็สามารถข้ามการทดสอบและเข้าไปบำเพ็ญเพียรในสำนักของนิกายกระบี่สวรรค์ได้เลย
ทว่าในตอนนั้นเอง ระหว่างที่หนิงซู่ซู่กำลังดีดพิณโบราณอยู่นั้น นางก็ได้ปล่อยกระแสจิตออกไปปกคลุมทั่วทั้งเมืองกระบี่สวรรค์เอาไว้
ทว่าจู่ ๆ กลับมีเสียงพิณอันไพเราะนุ่มนวล ราวกับเสียงสวรรค์ดังขึ้นมา
อีกทั้งยังเป็นเพลงเดียวกันกับที่นางเล่น มิหนำซ้ำยังแฝงวิถีแห่งดนตรีที่ไร้เทียมทานเอาไว้อีกด้วย
เห็นได้ชัดว่าวิถีแห่งดนตรีและเจตจำนงที่แท้จริงที่แฝงอยู่ในเสียงพิณนี้ สูงส่งกว่าหนิงซู่ซู่อย่างมาก
ทันใดนั้น หนิงซู่ซู่ก็ลืมตาขึ้นทันที พร้อมกับเอามือทั้งสองข้างกดสายพิณให้หยุดลง
คนที่เหลือเองก็อดมิได้ที่จะมีสีหน้าเปลี่ยนไป ก่อนทยอยลืมตาขึ้นมา
“ศิษย์พี่หนิง ! ”
หนิงซู่ซู่ขมวดคิ้วเบา ๆ ก่อนจะโบกมือไปมา “พวกเจ้ามิต้องหยุด ทำความเข้าใจต่อไป”
ทันทีที่สิ้นเสียง กลุ่มบุรุษและสตรีก็มิกล้าชักช้า รีบหลับตาลงและเพ่งสมาธิทำความเข้าใจอีกครั้ง
“คิดมิถึงว่าคนผู้นี้แม้แต่ในวิถีแห่งดนตรี ก็ยังมีความแตกฉานอันน่ากลัวเพียงนี้ ช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก”
คิดได้เช่นนั้นหนิงซู่ซู่ก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน ก่อนจะเดินมายังหน้าราวกั้น
ทันใดนั้น
เมื่อสายลมพัดผ่าน
กระโปรงยาวค่อย ๆ ปลิวไปตามลม ผมยาวสลวยพลิ้วไหวราวกับเกลียวคลื่น
ราวกลับภาพวาดของหญิงงามก็มิปาน
“ตอนนี้ดูเหมือนว่า ข้าจะต้องไปพบสักคราเสียแล้ว”
หนิงซู่ซู่พึมพำออกมา ก่อนที่ร่างของนางจะเลือนรางและหายวับไป
Comments