เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน 395 สตรีจะทำให้ข้าชักกระบี่ได้ช้าลง
ตอนที่ 395 สตรีจะทำให้ข้าชักกระบี่ได้ช้าลง
ทันใดนั้น เมื่อเย่ฉางชิงกดสายพิณลงไป
เสียงพิณก็ค่อย ๆ ดังขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับน้ำพุที่ไหลเวียนอยู่ใต้พื้นน้ำแข็ง ทำให้จิตใจของคนค่อย ๆ สงบลง
มิกี่อึดใจต่อมา
ราวกับใต้แผ่นฟ้านี้นอกจากเสียงสวรรค์ที่ดังอยู่ก็มิมีเสียงอื่นใดอีก
มินานเมื่อเย่ฉางชิงเร่งจังหวะเร็วขึ้น
เสียงพิณก็แปรเปลี่ยนเป็นหนักแน่น ราวกับพายุฝนที่โหมกระหน่ำ แม่น้ำซัดสาดก็มิปาน ทำให้จิตใจคนฟังสั่นระรัวอย่างห้ามมิได้…
ขณะเดียวกัน ระหว่างที่เย่ฉางชิงดีดพิณอยู่นั้น
ด้านหลังของเขาพลันปรากฏภาพนิมิต อันน่าสะพรึงกลัวภาพหนึ่งขึ้น
ซึ่งเป็นร่างขนาดใหญ่ของคนผู้หนึ่ง ที่ทำให้คนรู้สึกเคารพจนอยากกราบกราน ซึ่งคนผู้นั้น
กำลังนั่งหันหลังให้กับผู้คน
มินานพลังอันปั่นป่วนจำนวนมหาศาลปะทุออกมา
ดอกบัวอันวิจิตรดอกหนึ่งปกคลุมไปด้วยสัญลักษณ์เต๋า เปล่งแสงระยิบระยับออกมาราวกับมีชีวิต
ขณะเดียวกัน เจดีย์โบราณหลังหนึ่งที่มีไอพลังเสวียนหวงก็ลอยอยู่ข้างกาย
แค่คิดก็รู้แล้วว่าภาพนี้ เป็นภาพที่น่ากลัวมากเพียงใดกัน !
อีกทั้งเวลานี้ร่างลึกลับร่างนั้นเหมือนจะกำลังดีดพิณอยู่เช่นกัน
และสิ่งที่น่าเหลือเชื่อมากกว่านั้นก็คือ
เวลานี้แม้ว่าเย่ฉางชิงจะกำลังดีดพิณอยู่ ทว่าเสียงพิณกลับดังออกมาจากในนิมิตอันน่าสะพรึงกลัวนั้นแทน
ตอนนั้นเองหนิงซู่ซู่ก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่า
จนต้องรีบลืมตาทั้งสองข้างขึ้นทันที
ทว่าเมื่อนางเห็นแผ่นหลังอันน่ากลัวในภาพนิมิต ที่ปกคลุมอยู่ทางด้านหลังของเย่ฉางชิง ร่างของนางก็สั่นเทาขึ้นมาน้อยเล็ก และสีหน้าก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
‘นี่เป็นร่างจริงของเขาเยี่ยงนั้นหรือ ? ’
‘เป็นผู้ที่ไร้เทียมทานจริง ๆ ด้วย ! ’
‘แม้จะเป็นเพียงภาพนิมิต ทว่ากลับทำให้ผู้คนรู้สึกศรัทธาจนอยากที่จะกราบกราน ด้วยความเลื่อมใสอย่างอดมิได้’
‘ขนาดตัวข้าเองก็เรียกได้ว่ามีตบะบารมีสูงส่ง ระดับเซียนขั้นกลางแล้วแท้ ๆ ! ’
‘แต่ผู้ที่ไร้เทียมทานเช่นนี้มาจากที่ใดกัน ? ’
‘แดนเซียนโบราณในตำนาน ! ’
‘ผู้ที่น่ากลัวเช่นนี้ต่อให้อยู่ในแดนเซียนโบราณ ก็จะต้องเป็นผู้ที่ไร้พ่ายอย่างแน่นอน ! ’
มินาน หนิงซู่ซู่ที่จ้องเขม็งไปยังเย่ฉางชิงมาครู่ใหญ่ ใบหน้าก็ค่อย ๆ ปรากฏรอยยิ้มมีเลศนัยบางอย่างออกมา ก่อนจะหลับตาลงอีกครั้ง
จนเวลาผ่านไปประมาณหนึ่งก้านธูป
ในวินาทีที่เย่ฉางชิงกดมือลงบนสายพิณเบา ๆ เสียงพิณก็ค่อย ๆ เงียบลง
ขณะเดียวกันนิมิตอันน่ากลัวที่ปกคลุมด้านหลังของเขา บัดนี้ก็ได้มลายหายไปด้วย
มุมปากของเย่ฉางชิงยกขึ้นเผยรอยยิ้มพึงพอใจออกมา ก่อนจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้น
ทว่าในวินาทีที่เขามองหนิงซู่ซู่นั้น บนใบหน้าหล่อเหลาก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ
ภาพที่เห็นก็คือ หนิงซู่ซู่กำลังหลับตาแน่น ผมยาวสลวยค่อย ๆ พลิ้วไหว ชุดคลุมสีขาวบริสุทธิ์สะบัดไปมา รอบกายมีแสงเจิดจ้าราวกับเปลวเพลิงไหลวน ทั้งยังเหมือนมีสัญลักษณ์แห่งเต๋าที่ซับซ้อนเปล่งออกมาอีกด้วย
แต่สิ่งที่ทำให้เย่ฉางชิงประหลาดใจมากที่สุดก็คือ
เมื่อร่างของหนิงซู่ซู่แผ่คลื่นเสียงออกมา ห้วงอากาศรอบ ๆ กายของนางก็ดูเลือนลางขึ้นทันที
และนี่ถือเป็นครั้งแรกที่เย่ฉางชิงได้เห็นนิมิตที่พิสดารเช่นนี้
ภายในใจของเขาตอนนี้ จึงรู้สึกตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก !
‘สตรีนางนี้อยู่ระดับใดกันแน่ ถึงสามารถสร้างภาพนิมิตที่น่าตื่นตระหนกเช่นนี้ขึ้นมาได้ ! ’
‘จริงสิ ! ’
‘สตรีนางนี้มาเพื่อให้เขาชี้แนะปัญหาเกี่ยวกับดนตรี’
‘บัดนี้ร่างของนางปรากฏนิมิตที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ขึ้น หรือว่านางจะบำเพ็ญเพียรวิถีดนตรีเยี่ยงนั้นหรือ ? ’
‘แต่นี่มันมิถูกต้องนะ ! ’
‘ศิษย์พี่ชวี่เพิ่งจะบอกว่าวิถีแห่งดนตรี มิใช่แค่การดีดพิณเป็น แต่ยังมีสิ่งที่ลึกซึ้งยิ่งกว่านั้น’
‘อืม ! ’
‘คงจะเป็นเช่นนั้น ! ’
‘การที่สตรีนางนี้ทำให้นิมิตเช่นนี้ปรากฏขึ้น คงเพราะนางได้พิจารณาดนตรีที่ข้าบรรเลง และเกิดรู้แจ้งขึ้นมาก็เท่านั้น’
ทว่าสถานการณ์ของหนิงซู่ซู่ในเวลานี้ ตรงกันข้ามกับสิ่งที่เย่ฉางชิงคิดอย่างสิ้นเชิง
เพราะตอนที่เย่ฉางชิงดีดพิณเมื่อครู่ จิตแท้ของวิถีแห่งดนตรีกลับถูกแผ่กระจายความออกมาจนหมด
อีกทั้งไอพลังเต๋าและจิตแท้ยังบริสุทธิ์อย่างยิ่ง จึงทำให้หนิงซู่ซู่สัมผัสได้ว่ามหามรรคาอันไร้ตัวตนนั้นมีอยู่จริง ๆ
อีกทั้งเพียงแค่เวลาสั้น ๆ เพียงหนึ่งก้านธูป นางกลับได้รู้แจ้งในการบำเพ็ญเพียร มากกว่าที่นางศึกษามาหลายร้อยปีหรือนับพันปีเสียด้วยซ้ำ
ส่วนระดับที่นางหยุดชะงักมาเนิ่นนานนั้น เวลานี้ก็มีสัญญาณว่าจะสามารถบรรลุด้วยเช่นกัน
และการที่จะบรรลุถึงระดับเซียนขั้นท้ายของนางในตอนนี้ เกรงว่าเพียงแค่คิดก็สามารถจะบรรลุได้ทุกขณะ
ผ่านไปอีกหนึ่งก้านธูป
เนื่องจากระดับของนางมีสัญญาณการบรรลุเกิดขึ้น อีกทั้งเมื่อนางได้รู้แจ้งในวิถีแห่งดนตรี หากมิระวังจิตของนางก็จะจมดิ่ง จนลืมเลือนทุกสิ่งรอบข้าง
เพื่อป้องกันมิให้เย่ฉางชิงตกใจ นางจึงจำต้องหยุดลงเสียก่อน
“แม่นาง รู้สึกถึงอันใดบ้างหรือไม่ ? ”
เมื่อเห็นนิมิตรอบกายของหนิงซู่ซู่หายไป และนางค่อย ๆ ลืมตาขึ้น เย่ฉางชิงจึงเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
หนิงซู่ซู่นิ่งงันไป ก่อนจะยิ้มกว้างออกมา “ขอบคุณท่านเย่ที่ชี้แนะ วันนี้ข้าได้เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
เย่ฉางชิงพยักหน้าให้ ก่อนจะถามด้วยความสงสัยว่า “แม่นาง ที่นี่คือเมืองกระบี่สวรรค์ การที่เจ้ามาปรากฏตัวที่นี่ได้ หรือว่าเจ้าก็เป็นศิษย์ของนิกายกระบี่สวรรค์ด้วยเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
จากการที่ชวี่เหวินเซี่ยอธิบายฟังก่อนหน้านี้
เขาจึงคาดเดาได้ว่าหนิงซู่ซู่นั้นน่าจะมาจากนิกายกระบี่สวรรค์ แต่ดูจากนิมิตที่ปรากฏขึ้นเมื่อครู่แล้ว มีความเป็นไปได้สูงว่า อีกฝ่ายจะเป็นมากกว่าศิษย์ทั่วไป
ทันทีที่สิ้นเสียง รอยยิ้มบนใบหน้าของหนิงซู่ซู่ พลันนิ่งค้างในทันใด
‘ศิษย์ของนิกายกระบี่สวรรค์ ? ’
‘เจ้ากำลังจะบอกว่าข้าดูอ่อนเยาว์และงดงามใช่หรือไม่ ? ’
‘คำพูดนี้แม้จะฟังดูแปลก ๆ แต่กลับทำให้ข้ามีความสุขขึ้นมาอย่างประหลาด’
‘แต่การทดสอบใกล้เข้ามาแล้ว หรือว่าจะยังมิใช่เวลาเปิดเผยตัวตนนะ ? ’
‘มิใช่สิ ! ’
‘จะเปิดตัวเผยตัวตนกับเขาได้เยี่ยงไรกัน ! ’
‘แม้การที่อยู่ในระดับขั้นนี้แล้ว เรื่องอายุจะมิใช่เรื่องสำคัญ แต่อีกฝ่ายยังผนึกความทรงจำและตบะบารมีของตัวเองเอาไว้อยู่’
‘หากเปิดเผยตัวตนออกไป มิเท่ากับทำให้เขาเข้าใจข้าผิด คิดว่าข้าเป็นโคแก่หวังกินหญ้าอ่อนหรอกหรือ ? ’
‘หรือต้องการนำเขามาเป็นเตาหลอมมนุษย์อันใดพวกนั้น’
‘มิได้ ! ’
‘จะเปิดเผยตัวตนมิได้เด็ดขาด ! ’
‘มิว่าที่ไหน เวลาใด ! ’
คิดได้เช่นนั้นหนิงซู่ซู่จึงลุกขึ้นยืน ก่อนจะยิ้มอย่างมีเลศนัย “เช่นนั้นท่านคิดว่าเยี่ยงไรเล่าเจ้าคะ ? ”
เย่ฉางชิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนส่ายหน้าเล็กน้อย
เมื่อเห็นท่าทีของเขา ใบหน้าของหนิงซู่ซู่ก็เผยรอยยิ้มราวกับเด็กสาวแรกแย้มออกมา พลางเอ่ยว่า “ท่านมิอยากรู้นามของข้าหรือเจ้าคะ ? ”
เย่ฉางชิงนิ่งไปและอดมิได้ที่จะมีท่าทีเก้อเขิน
“ข้ามีนามว่า หนิงซู่ซู่ หนิงที่มาจากคำว่าน้อยแต่ดี ซู่ที่มาจากคำว่าชุดขาวเจ้าค่ะ”
หนิงซู่ซู่ดวงตาเป็นประกาย และเอ่ยออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ว่า “ในเมื่อท่านมาเข้าร่วมการทดสอบ เช่นนั้นเชื่อว่าอีกมินาน พวกเราคงได้พบกันอีกคราที่นิกายกระบี่สวรรค์เจ้าค่ะ”
หลังเอ่ยจบหนิงซู่ซู่ก็โค้งคารวะน้อย ๆ ก่อนจะหมุนกายออกจากศาลาไป
เย่ฉางชิงมองหนิงซู่ซู่จากไป มุมปากอดมิได้ที่จะยกยิ้มฝืดเฝื่อนออกมา
“แม่นางท่านนี้ดูเหมือนจะชอบข้านะ”
หลังจากผู้จบ เย่ฉางชิงก็ส่ายหน้ายิ้ม ๆ พลางพึมพำกับตนเองว่า “น่าเสียดาย แม้ในโลกนี้ข้าจะสามารถบำเพ็ญเพียรได้แล้ว และต่อให้นิกายกระบี่สวรรค์จะอนุญาตให้ศิษย์ผูกคู่ชะตาบำเพ็ญเพียรได้ แต่การได้อยู่กับสตรีที่งดงามเช่นนี้ ย่อมเลี่ยงมิได้ที่จะส่งผลต่อการบำเพ็ญเพียร เช่นนั้นจะปล่อยให้เกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นมิได้อย่างเด็ดขาด”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ จู่ ๆ เย่ฉางชิงก็นึกถึงคำพูดประโยคหนึ่งขึ้นมาได้
‘สตรีจะทำให้ข้าชักกระบี่ได้ช้าลง’
อีกทั้งในโลกใบนี้ ตั้งแต่เริ่มเขาก็ได้รู้แจ้งในภาพกระบี่ไร้สิ้นสุด บนแผ่นหินทรงกระบี่แผ่นนั้น
เห็นได้ชัดว่าเขามีคุณสมบัติและพรสวรรค์ในวิถีกระบี่มากเพียงใด
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เย่ฉางชิงก็ได้แต่ยิ้มเยาะกับตนเอง พร้อมกับพึมพำว่า “สตรีจะทำให้ข้าชักกระบี่ได้ช้าลง และเวลานี้ก็เริ่มส่งผลกับข้าแล้วจริง ๆ ! ”
Comments