เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน 397 ฐานมรรคารวมศูนย์

Now you are reading เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน Chapter 397 ฐานมรรคารวมศูนย์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 397 ฐานมรรคารวมศูนย์

เวลานี้เนื่องจากจุดเซินชางทั้งหกตำแหน่งของเย่ฉางชิงเปิดครบหมดแล้ว และยังดูดซับปราณวิญญาณฟ้าดินธาตุต่าง ๆ มิหยุดหย่อน

เช่นนั้นจึงทำให้เกิดการความโกลาหลมิน้อย

โดยเฉพาะเหล่าศิษย์ที่อยู่ภายในหอสุรากระบี่จมธารา ที่สัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ต่างก็ทยอยลืมตาขึ้นมา

ผ่านไปได้มินาน ศิษย์ของสำนักต่าง ๆ ก็ได้มารวมตัวกันที่ห้องโถงของหอสุรา พร้อมกับเริ่มวิพากษ์วิจารณ์ถึงสิ่งเกิดขึ้น

“เกิดอันใดขึ้นกันแน่ ? ”

“ใช่แล้ว ปราณวิญญาณฟ้าดินธาตุต่าง ๆ ไหลเวียนอย่างบ้าคลั่งเช่นนี้ ส่งผลต่อการบำเพ็ญเพียรของพวกเรามากจริง ๆ ”

“ก็ใช่น่ะสิ ต่อให้พวกเราอยู่ในค่ายกลรวมวิญญาณ ก็ยังมิอาจขัดขวางปราณวิญญาณที่ไหลเวียนอย่างบ้าคลั่งนี้ได้”

“หรือค่ายกลรวมวิญญาณของพวกเราจะมีปัญหา จึงทำให้ปราณวิญญาณฟ้าดินเคลื่อนที่อย่างบ้าคลั่งเช่นนี้ ? ”

“มีความเป็นไปได้ ค่ายกลรวมวิญญาณของคนอื่นยังทำงานได้ปกติ แต่ของพวกเรากลับเกิดปัญหาขึ้น จึงทำให้เกิดสถานการณ์เช่นนี้ ! ”

“มิได้ ค่าห้องของหอสุรากระบี่จมธารามิใช่ราคาถูก ๆ ทว่าค่ายกลรวมวิญญาณกลับเกิดปัญหาขึ้นซะได้ เรื่องนี้พวกเขาต้องมีคำอธิบายให้พวกเรา ! ”

“ใช่แล้ว ต้องมีคำอธิบายเรื่องนี้ให้กับพวกเรา ! ”

หลังจากทุกคนปรึกษากันเรียบร้อยแล้ว สุดท้ายจึงพุ่งเป้าไปที่หอสุรากระบี่จมธารา

แต่พวกเขาเองก็รู้ดีว่า ผู้ดูแลหอสุรากระบี่จมธาราก็คือนิกายกระบี่สวรรค์

และเหล่าบุรุษสตรีที่ดูแลหอสุรากระบี่จมธาราแห่งนี้ ล้วนเป็นศิษย์พี่ของพวกเขาในอนาคต

เช่นนั้นหลังจากที่พวกเขาปรึกษากันแล้ว จึงตัดสินใจให้หอสุราคืนค่าห้อง ก่อนจะไปจากที่นี่

มิเช่นนั้นด้วยนิสัยที่ชอบวางก้ามของพวกเขาแล้ว คืนนี้มิว่าเยี่ยงไรก็ต้องได้ค่าชดเชยก้อนโตเป็นแน่

ตอนนั้นเองขณะที่ผู้ดูแลสายนอก ที่รับผิดชอบเรื่องน้อยใหญ่ภายในหอสุรากระบี่จมธารา กำลังคิดมิตกว่าควรจะจัดการเรื่องนี้เยี่ยงไรนั้น

ในหัวของเขาก็มีเสียงที่เต็มไปด้วยความน่าเกรงขาม เสียงหนึ่งดังขึ้น

“ภายในหอสุรากระบี่จมธารา นอกจากเรือนชั้นดีที่เป็นที่พักของเย่ฉางชิงและชวี่เหวินเซี่ยแล้ว ให้คนที่เหลือออกไปให้หมดเดี๋ยวนี้”

ผู้ดูแลเฟ่ยที่มีรูปร่างท้วมนิ่งไปสักพัก ก่อนจะนึกบางอย่างขึ้นมาได้

“ศิษย์น้อมรับคำสั่งท่านบรรพจารย์ขอรับ ! ”

ผู้ดูแลเฟ่ยมีสีหน้าเปลี่ยนไป ก่อนจะรีบโค้งคาราวะด้วยความนอบน้อม

มิกี่อึดใจต่อมา

ผู้ดูแลเฟ่ยก็เอามือไพล่หลังพร้อมกับเดินวางมาด มายืนที่หน้าราวกั้นบนชั้นสอง

“ทุกท่านได้โปรดเงียบก่อน”

เขากวาดตามองผู้คนที่อยู่ในห้องโถงเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยอย่างน่าเกรงขามว่า “เมื่อครู่ท่านบรรพจารย์มีคำสั่ง เนื่องจากเหตุผลบางอย่าง พวกท่านจึงมิอาจอยู่ที่หอสุรากระบี่จมธาราได้อีก และต้องขอให้ออกไปเดี๋ยวนี้”

ท่านบรรพจารย์มีคำสั่ง !

เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนั้น สีหน้าก็ตื่นตระหนกขึ้นมาทันที ท่าทางของทุกคนเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ

ขณะเดียวกันพวกเขาก็มิกล้าโต้แย้งใด ๆ อีก

เนื่องจากสำนักของพวกเขาล้วนพึ่งพิงนิกายกระบี่สวรรค์ ทว่าบัดนี้ท่านบรรพจารย์ มีคำสั่งมาเช่นนี้แล้ว พวกเขาจะกล้าชักช้าอยู่ได้เยี่ยงไร ?

แต่เกิดอันใดขึ้นกับหอสุรากระบี่จมธารากันแน่ ถึงขนาดที่ท่านบรรพจารย์ยังต้องออกหน้าด้วยตนเองเช่นนี้

หรือว่าด้านล่างของหอสุรากระบี่จมธาราจะผนึกสิ่งใดเอาไว้ ?

เวลานี้เมื่อปราณวิญญาณฟ้าดินเกิดความโกลาหลขึ้น ทำให้ท่านบรรพจารย์จำต้องออกหน้าเอง ?

หรือจะมีท่านบรรพจารย์ท่านใดท่านหนึ่งกำลังเข้าฌานอยู่ที่นี่ จึงทำให้เกิดความปั่นป่วนเช่นนี้ขึ้น เพราะท่านบรรพจารย์ท่านนั้นกำลังจะบรรลุเยี่ยงนั้นหรือ ?

มีความเป็นไปได้ !

มีความเป็นไปได้ทั้งสองกรณี !

มินานด้วยการจัดการของผู้ดูแลเฟ่ย

หลังจากที่ศิษย์ของสำนักต่าง ๆ ได้รับค่าห้องคืนแล้ว ก็มิกล้าชักช้าแต่อย่างใด ทุกคนต่างก็รีบออกไปจากหอสุราทันที

ผ่านไปครึ่งชั่วยาม

หลังจากศิษย์ของสำนักต่าง ๆ ออกไปจากหอสุราแล้ว

ศิษย์กลุ่มหนึ่งที่ช่วยดูแลจัดการหอสุรา ก็รีบเดินมาที่ห้องของผู้ดูแลเฟ่ย

“ผู้ดูแลเฟ่ย คำสั่งที่ให้ทุกคนออกไปนั้น มาจากท่านบรรพจารย์จริง ๆ เยี่ยงนั้นหรือขอรับ ? ”

“ศิษย์น้องหลี่ เจ้ากำลังสงสัยอันใดอยู่กันแน่ หรือเจ้าคิดว่าอาจารย์อาเฟ่ยจะกล้าเอาท่านบรรพจารย์มาล้อเล่นเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“ใช่ ศิษย์น้องหลี่ ต่อไปจะกล่าวสิ่งใดจงระวังให้ดี อย่าได้พูดจามั่วซั่ว ระวังปากจะนำภัยมาให้”

“จริงสิ ที่เรือนชั้นดียังมีอีกสองคนที่ยังมิได้ออกไป เราควรไปแจ้งให้พวกเขาด้วยหรือไม่ ? ”

“มิต้อง เมื่อครู่ท่านบรรพจารย์ส่งข้อความทางจิตมาบอกว่า ให้ยกเว้นสองคนนั้น”

“อะไรนะ พวกเขาสองคนเป็นผู้ใดกันแน่ ถึงทำให้ท่านบรรพจารย์ต้องออกหน้าเพื่อพวกเขาเช่นนี้ได้ ! ”

“มิใช่หรอกกระมัง หรือพวกเขาสองคนจะเป็นศิษย์สายสืบทอด ที่บรรพจารย์ท่านใดท่านหนึ่งเลือกเอาไว้หรือขอรับ ? ”

ศิษย์สายสืบทอดของท่านบรรพจารย์ ตามหลักของนิกายกระบี่สวรรค์แล้ว พวกเรามิต้องเรียกพวกเขาว่าอาจารย์อาหรอกหรือ ? ”

“อาจารย์อาทั้งสอง เป็นศิษย์สายสืบทอดของท่านบรรพจารย์…”

จนเวลาผ่านไปอีกประมาณหนึ่งก้านธูป

หลังจากที่ศิษย์สายนอกกลุ่มหนึ่งได้ถกเถียงกันเสร็จ และจากไปแล้วนั้น

พวกเขาล้วนเข้าใจดีว่าในเมื่อเป็นคำสั่งของท่านบรรพจารย์ เช่นนั้นพวกเขาย่อมมิอาจซักถามได้

อีกทั้งพวกเขามองว่าในเมื่อท่านบรรพจารย์เป็นคนออกคำสั่งเอง เช่นนั้นภายหน้ามีความเป็นไปได้สูงว่าผู้ที่มีนามว่าเย่ฉางชิงและชวี่เหวินเซี่ย จะต้องกลายเป็นศิษย์สายสืบทอดของท่านบรรพจารย์ท่านนั้นเป็นแน่

หรือก็คืออาจารย์อาของพวกเขาในอนาคตนั่นเอง

ส่วนการที่มาเข้าร่วมการทดสอบนั้น เป็นไปได้ว่าเพราะท่านบรรพจารย์มิอยากให้ทั้งสองพลาดวาสนาในเมืองกระบี่สวรรค์แห่งนี้

ส่วนการทดสอบคาดว่าก็คงทำ ๆ ไปพอเป็นพิธีเท่านั้น

ทว่าสำหรับพวกเขาแล้ว

หากสามารถผูกสัมพันธ์กับว่าที่อาจารย์อาทั้งสองได้ และสร้างความประทับใจให้กับอีกฝ่าย

บางทีหากได้พบกันครั้งหน้า อีกฝ่ายอาจจะคอยดูแลพวกเขาบ้างก็ได้

เช่นนั้นหลังจากที่พวกเขาเอ่ยลาผู้ดูแลเฟ่ยและปรึกษาหารือกันแล้ว

จึงตัดสินใจว่าก่อนการประลองจะเริ่มขึ้น จะต้องปฏิบัติตัวดี ๆ ต่อหน้าอาจารย์อาทั้งสอง

……

เพียงพริบตา

หลังจากร่างกายและจิตใจของเย่ฉางชิงจดจ่ออยู่กับการบำเพ็ญเพียร

ในเวลานี้เขาสัมผัสได้ว่าระดับของเขาเหมือนจะชะงักเสียแล้ว

กระทั่งเวลาผ่านไปถึงสิบวันเต็ม ๆ

เขากลับมิมีทีท่าว่าจะหยุดบำเพ็ญเพียรแต่อย่างใด

เพราะเขาจะต้องบรรลุจากระดับรวมชีพจรขั้นท้าย ไปสู่ระดับสร้างรากฐานปราณในคราเดียวให้จงได้

จนกระทั่งยามเที่ยงของวันนี้

ในที่สุดชวี่เหวินเซี่ยก็เข้าสามารถเข้าสู่วิถีแห่งดนตรีได้สำเร็จ

ทว่าขณะที่ใบหน้าของนางปรากฏรอยยิ้มยินดี และค่อย ๆ ลืมตาคู่งามขึ้นมานั้น

วินาทีต่อมา รอยยิ้มบนใบหน้าของนางก็ต้องนิ่งค้างในทันที ท่าทางของนางเผยให้เห็นถึงความประหลาดใจ

เพราะก่อนที่นางจะรู้แจ้งในวิถีดนตรี

ปราณวิญญาณฟ้าดินภายในเรือนแห่งนี้ เรียกได้ว่าเข้มข้นจนแทบจะแยกมิออก

ทว่าบัดนี้ปราณวิญญาณฟ้าดินของที่นี่กลับเหือดแห้งลงอย่างน่าอัศจรรย์

หลังจากนิ่งเงียบอยู่สักพัก นางก็บังเอิญเหลือบไปเห็นเย่ฉางชิง ที่ยังคงบำเพ็ญเพียรอย่างตั้งใจอยู่นั้น

ร่างของนางก็ต้องนิ่งงันไป ก่อนจะเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก

เมื่อเห็นว่าบัดนี้ด้านหลังของเย่ฉางชิงมีนิมิตปกคลุมเอาไว้ ด้วยร่างลึกลับอันใหญ่โตและน่าเกรงขามร่างนั้น

อีกทั้งร่างอันน่ากลัวที่หันหลังให้ผู้คนอยู่นี้ รอบกายยังมีถ้ำสวรรค์ขนาดใหญ่ถึงหกถ้ำลอยวนอยู่ด้วย

และถ้ำสวรรค์แต่ละถ้ำล้วนน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง

เพียงแค่มองแวบเดียวก็ทำให้คนอกสั่นขวัญแขวน ขนกายลุกชัน ราวกับว่าต้องการดูดกลืนจิตวิญญาณของผู้คนเข้าไปก็มิปาน

แต่สิ่งที่น่าเหลือเชื่อมากที่สุดก็คือ

เวลานี้ถ้ำสวรรค์อันน่าสะพรึงกลัวทั้งหก กลับเปล่งแสงแห่งเซียนอันเจิดจ้า ราวกับเปลวเพลิงออกมาอย่างต่อเนื่อง

จากนั้นแสงแห่งเซียนอันแข็งแกร่งทั้งหกสายก็ได้ไหลมารวมกัน ก่อนจะกลั่นออกมาเป็นแผ่นหยกลึกลับที่อบอวลไปด้วยไอหยินหยาง และเปล่งประกายแสงหลากสีสันออกมา

มิใช่สิ !

กล่าวให้ถูกก็คือ นี่คงจะเป็นรากฐานแห่งมหามรรคา

หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เย่ฉางชิงกำลังสร้างรากฐานแห่งมรรคา

และคาดว่าอีกมินานก็คงจะสำเร็จแล้ว

แม้จะเป็นการสร้างรากฐานแห่งมรรคา แต่สำหรับชวี่เหวินเซี่ยผู้มีที่มาที่มิธรรมดาและรอบรู้ผู้นี้ กลับยังมิเคยเห็นผู้ใดที่สามารถสร้างรากฐานแห่งมรรคาได้เช่นนี้มาก่อน

บนแผ่นหยกเปล่งประกายแสงหลากสีสันออกมา เป็นตัวแทนของธาตุที่ต่างกันทั้งห้า

ไอหยินหยาง เห็นได้ชัดว่าเป็นธาตุที่ต่างกันสองชนิด

แต่ปัญหาก็คือ

แท้จริงแล้วเย่ฉางชิงสร้างรากฐานแห่งมหามรรคาอันใดอยู่กันแน่ ถึงทำให้มีธาตุปรากฏขึ้นมากมายเช่นนี้ !

“จริงสิ ศิษย์น้องเย่มีรากปราณรวมศูนย์ในตำนานนี่นา ! ”

หลังจากที่ได้สติ ชวี่เหวินเซี่ยก็ใจสั่นสะท้านขึ้น พลางพึมพำกับตนเองว่า “หมายความว่าคำที่เรียกว่า รวมศูนย์ ก็คือการรวมธาตุต่าง ๆ เอาไว้ด้วยกันเยี่ยงนั้นหรอกหรือ”

“สรุปได้ว่า รากฐานแห่งมหามรรคาที่ศิษย์น้องเย่สร้างขึ้นนั้น ก็คือ ฐานมรรคารวมศูนย์ ! ”

ทันทีที่สิ้นเสียงนี้ ร่างของเย่ฉางชิงก็ปรากฏนิมิตมากมายขึ้น

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด