เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน 401 เจ้า… เจ้า เจ้าช่างชั่วช้ายิ่งนัก !

Now you are reading เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน Chapter 401 เจ้า... เจ้า เจ้าช่างชั่วช้ายิ่งนัก ! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 401 เจ้า… เจ้า เจ้าช่างชั่วช้ายิ่งนัก !

การที่หม่าเป่ากั้วผู้มีท่าทีหยิ่งทะนงเมื่อครู่ ทว่าเวลานี้กลับยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัย ทำให้มิเพียงแต่เย่ฉางชิงเท่านั้นที่จะรู้สึกประหลาดใจ แต่ผู้อื่นเองก็อดมิได้ที่จะรู้สึกเช่นนั้นเหมือนกัน

ด้วยใบหน้าอันหล่อเหลาและท่าทางอันโดดเด่นของเย่ฉางชิง ที่ทำให้สตรีใจเต้นแรง ยิ่งทำให้คนเข้าใจผิดคิดว่าหม่าเป่ากั้วผู้นี้ อาจมีความชอบคนเพศเดียวกันจริง ๆ

ขณะเดียวกัน ระหว่างที่เย่ฉางชิงกำลังคาดเดาไปต่าง ๆ นานา เหล่าศิษย์หญิงของสำนักต่าง ๆ ก็อดมิได้ที่จะวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมา

“ศิษย์พี่ทั้งหลาย ดูท่าแล้วหม่าเป่ากั้วผู้นี้คงจะมีปัญหาจริง ๆ นะเจ้าคะ ! ”

“จริงด้วย คิดมิถึงว่าผู้ที่มีคุณสมบัติสูงส่งเช่นนี้ จะกลายเป็นคนเช่นนี้ไปได้ ! ”

“แต่ตอนนี้จะทำเช่นไรกันดี ? ”

“หากพวกเราพูดเรื่องนี้ขึ้นมา แล้วเกิดต้องประมือกับคนผู้นี้ในการประลองขึ้นมาล่ะก็ จะมิถูกเขาทำให้อับอายหรอกหรือ ! ”

“มิได้ ข้าจะปล่อยให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นมิได้เด็ดขาด มิเช่นนั้นวันหน้าต่อให้ข้าหลับตาลง ก็จะต้องถูกภาพเช่นนี้คอยหลอกหลอนเป็นแน่”

“ทุกท่าน พวกเรารอดูไปก่อนจะดีกว่า”

“ท่านอาจารย์เคยบอกว่า รูปลักษณ์ดูดี ท่าทางโดดเด่น คุณสมบัติย่อมมิธรรมดานะเจ้าค่ะ”

“……”

“……”

ขณะที่ศิษย์หญิงของสำนักต่าง ๆ กำลังวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่นั้น

“ข้ามีนามว่า เย่ฉางชิง”

แม้เย่ฉางชิงจะรู้สึกมิค่อยพอใจหม่าเป่ากั้วเท่าไรนัก แต่ในเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยปากถามขึ้นเช่นนั้น เขาก็มิอาจที่จะเสียมารยาทได้

เขารู้ดีว่าต่อให้ตบะบารมีของอีกฝ่ายจะเหนือกว่าเขา แต่เขาก็มิอาจแสดงความอ่อนแอออกมา จนทำลายจิตมรรคาของตนเองได้

เมื่อได้ยินคำตอบเช่นนั้น หม่าเป่ากั้วก็จ้องมองเย่ฉางชิงตั้งแต่หัวจรดเท้าโดยทันที

“ท่าทางของเจ้าดูมิเลว หวังว่าจะได้เจอกับเจ้าในการประลองต่อจากนี้นะ”

ใบหน้าของหม่าเป่ากั้วยังคงแฝงเอาไว้ด้วยรอบยิ้มมีเลศนัย ขณะเอ่ยกับเย่ฉางชิงด้วยท่าทางหยิ่งผยอง

ทว่าเย่ฉางชิงกลับมิได้แสดงสีหน้าใด ๆ เขาเพียงแค่พยักหน้ารับเท่านั้น

………………………..

ขณะเดียวกัน บรรพจารย์แห่งนิกายกระบี่สวรรค์ ขงซิงเจี้ยน ก็กำลังยืนเอามือไพล่หลังอยู่บนกำแพงที่ไกลออกไป

ทว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนอยู่ในสายตาของเขาทั้งสิ้น

“ผ่านมาร้อยปี ในที่สุดสำนักสิงหยุนก็มียอดฝีมือถือกำเนิดขึ้นมาอีกแล้วหรือนี่”

“ทว่าเด็กคนนี้แม้จะมีพรสวรรค์ที่สูงส่ง มีความรู้แจ้งในวิถีกระบี่อย่างลึกซึ้ง แต่กลับมีนิสัยเย่อหยิ่งจองหอง นี่อาจจะมิใช่เรื่องดีต่อการบำเพ็ญเพียรในภายภาคหน้าก็ได้”

ขงซิงเจี้ยนแววตาเป็นประกายระยิบระยับขณะเอ่ยกับตนเอง พร้อมกับทอดสายตามองไปยังลานประลองที่เต็มไปด้วยผู้คน

เอ่ยเพียงเท่านั้น

“จริงสิ เจ้าเด็กคนนี้มีนิสัยจองหองอวดดี แสดงว่าคนรุ่นราวคราวเดียวกัน ตอนนี้คงแทบจะมิมีผู้ใดสู้เขาได้อีกกระมัง”

“เกรงว่าการประลองในวันนี้ นอกจากเด็กน้อยของสำนักวิญญาณจันทราแล้ว คาดว่าคงมิมีผู้ใดที่จะสามารถประมือกับเขาได้อีก”

ทว่าจู่ ๆ เขาก็คิดบางอย่างขึ้นมาได้ ก่อนจะลูบหนวดของตนเอง พร้อมกับหัวเราะออกมา

“ถ้าเช่นนั้นก็ให้เขาประมือกับคนผู้นั้นไปก็แล้วกัน เขาจะได้เรียนรู้และเกิดความเลื่อมใสศรัทธาด้วยใจจริง สิ่งนี้ก็จะช่วยขัดเกลาจิตใจของเขาไปด้วย”

เมื่อคิดได้เช่นนั้น ขงซิงเจี้ยน ก็สะบัดแขนเสื้อของตนเอง ก่อนที่ห้วงอากาศตรงหน้าจะเกิดการสั่นสะเทือน จากนั้นก็มีม่านแสงปรากฎขึ้นมา

โดยมีรายชื่อศิษย์ที่เข้าร่วมการทดสอบในครั้งนี้ฉายชัดอยู่บนม่านแสงนั้น

จากนั้นเขาก็ยกมือทั้งสองข้างขึ้นทำท่ามุทรา ผสานรอยประทับโบราณที่เปล่งประกายระยิบระยับเข้าไปในม่านแสง มินานหลังจากคลื่นแสงส่องออกไป ทุกอย่างบนม่านแสงก็เริ่มเลือนลางลง…

ขณะเดียวกันบนเวทีที่ตั้งอยู่กลางลานประลอง จู่ ๆ ก็ได้มีหญิงสาวรูปร่างโปร่งระหงหลายร่างปรากฏกายขึ้น รอบ ๆ พลันไร้ซึ่งเสียงใด ๆ

เห็นได้ชัดว่าพวกนางก็คือศิษย์ของนิกายกระบี่สวรรค์ ที่เป็นผู้รับผิดชอบการประลองในครานี้

“ก่อนอื่น ต้องขอกล่าวต้อนรับทุกท่านสู่เมืองกระบี่สวรรค์ เพื่อเข้าร่วมการทดสอบศิษย์ในครานี้”

ศิษย์หญิงผู้เป็นผู้นำ ซูหรัน กวาดสายตามองทุกคนที่อยู่ ณ ที่นั้น พร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “ในส่วนของการประลองที่เมืองกระบี่สวรรค์นั้น เนื่องจากกติกาทั้งหมดมิได้มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ เช่นนั้นข้าคงมิต้องอธิบายให้มากความอีก”

“เช่นนั่นข้าขอประกาศเริ่มการประลองในเมืองกระบี่สวรรค์ ณ บัดนี้ ! ”

ทันทีที่สิ้นเสียง ซูหรันและศิษย์น้องข้างกายหลายคนก็สบตากัน ก่อนที่ทุกคนจะทำท่ามุทราพร้อม ๆ กัน

มิกี่อึดใจ หลังจากที่รอยตราเวทย์ของพวกนางถูกผสานเข้าด้วยกัน จากนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นรอยตราประทับขนาดใหญ่ที่ดูเก่าแก่ชิ้นหนึ่งขึ้น ซึ่งรอยตราประทับนี้ก็เหมือนกับกุญแจที่ใช้เปิดค่ายกล ที่ปกคลุมที่นี่เอาไว้นั่นเอง

ในวินาทีที่รอยตราประทับปรากฏขึ้น คลื่นพลังอันรุนแรงที่เต็มไปด้วยพลังลึกลับพลันปะทุออกมา

ทันใดนั้นห้วงอากาศโดยรอบก็เกิดเสียงคำรามดังก้องขึ้นมา ป้ายทรงกระบี่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ตามจุดต่าง ๆ ก็เปล่งแสงกระบี่ขนาดใหญ่และสว่างเจิดจ้าออกมา

ช่างเป็นปรากฏการณ์ที่งดงามตระการตายิ่งนัก !

มินานบนป้ายทรงกระบี่ก็มีอักษรโบราณอันซับซ้อนปรากฏขึ้น ซึ่งเป็นรายชื่อของศิษย์ที่มาเข้าร่วมการทดสอบในครั้งนี้นั่นเอง

ส่วนจะต้องทำเช่นไรต่อนั้น ทุกคนล้วนทราบดีอยู่แล้ว เพราะบัดนี้บนป้ายทรงกระบี่ทุกป้ายจะมีรายชื่อของคนสองคนปรากฏอยู่ โดยคนทั้งสองตามรายชื่อนั้น จะต้องขึ้นไปบนเวทีเพื่อทำการประลองกัน เป็นเวลาหนึ่งก้านธูป

มิว่าจะชนะหรือแพ้ เมื่อหมดเวลาคนทั้งสองจะต้องลงจากเวทีในทันที เพื่อให้คู่ถัดไปได้ขึ้นมาประลองกันต่อ เป็นเช่นนี้วนไปเรื่อย ๆ

โดยฝ่ายที่ชนะก็จะต้องทำการฟื้นฟูร่างกาย เพื่อเตรียมประลองในรอบต่อไป ส่วนฝ่ายที่พ่ายแพ้สามารถออกจากเมืองกระบี่สวรรค์ แล้วกลับไปยังสำนักของตนเพื่อบำเพ็ญเพียรต่อ และรอเข้าร่วมการทดสอบในปีต่อไป

หรือว่าจะเลือกเป็นผู้บำเพ็ญเพียรอิสระ ออกท่องไปทั่วทุกสารทิศ เพื่อตามหาโอกาสและวาสนาในการบำเพ็ญเพียร

บัดนี้บนเวทีแต่ละเวที ก็ได้มีผู้คนทยอยขึ้นไปยืนอยู่ด้านบน พวกเขาต่างคาราวะให้แก่กัน ก่อนจะเริ่มประลองฝีมือ

ทันใดนั้นกระบี่แสงก็ได้เปล่งประกายออกมา ประกายไฟลุกโชน ไอกระบี่อันรุนแรงคำรามกึกก้อง บนเวทีมีพลังอันน่าสะพรึงกลัวโหมกระหน่ำและระเบิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง

และในตอนนั้นเอง เย่ฉางชิงที่ยืนอยู่บนเวทีกับบุรุษรูปร่างกำยำ ที่มีหน้าตาดูอาวุโสกว่าวัยอันควรผู้หนึ่ง เห็นได้ชัดว่าเขานั้นโชคร้ายสุด ๆ เพียงการประลองรอบแรก ก็มีชื่อของเขาโผล่ขึ้นมาเสียแล้ว

และด้วยความโดดเด่นของเย่ฉางชิง ศิษย์จากสำนักต่าง ๆ ที่ได้คาดเดาตัวตนของเย่ฉางชิงไปก่อนหน้านี้ ต่างก็พากันล้อมวงเข้ามา โดยเฉพาะศิษย์หญิงจากสำนักต่าง ๆ ล้วนแห่กันไปยังเวทีที่เย่ฉางชิงอยู่ เพราะต่างคลั่งไคล้ความหล่อเหลาของเขา

“ผู้น้อย เหมียวต้าจวง ได้โปรดชี้แนะด้วย”

บุรุษรูปร่างกำยำใบหน้าแดงก่ำขึ้นมา ขณะปรายมองสายตาวาวโรจน์ที่ล้อมรอบเวทีอยู่ ก่อนจะอดมิได้ที่ต้องกลืนน้ำลายลงคอ จากนั้นจึงได้ประสานมือคาราวะให้แก่เย่ฉางชิง

เพราะสำหรับเหมียวต้าจวงที่มีใบหน้าแก่กว่าวัยมาตั้งแต่เด็ก นี่นับเป็นครั้งแรกที่เขาถูกจับตามองด้วยสตรีมากมายเช่นนี้ ซึ่งเขาเองก็รู้ดีว่าสตรีเหล่านี้หาได้สนใจเขาไม่ แต่เป็นเพราะบุรุษรูปงามที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาต่างหากเล่า ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น แต่สำหรับเขาที่รู้สึกต่ำต้อยมาตั้งแต่เด็กก็พอใจมากแล้ว เช่นนั้นผลแพ้ชนะในการประลองครั้งนี้ สำหรับเขาแล้ว หาได้มีสำคัญเช่นก่อนหน้านี้ไม่

“ข้า เย่ฉางชิง”

เย่ฉางชิงมีท่าทางสงบนิ่งขณะเอ่ยแนะนำตัว พร้อมกับประสานมือให้เช่นกัน

เย่ฉางชิงในเวลานี้แม้จะมิได้เผยสีหน้าใด ๆ ออกมา ทว่าภายในใจก็ยังอดมิได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมากเพราะสำหรับเขาแล้ว นี่ถือเป็นการต่อสู้ครั้งแรก หลังจากที่เขาได้ทะลุมิติมายังโลกบำเพ็ญเพียรใบที่สอง

ด้วยเหตุนี้เขาจึงระมัดระวังตัวเป็นอย่างมาก

เอ่ยเพียงเท่านั้น เหมียวต้าจวงที่ยืนเผชิญหน้ากับเย่ฉางชิงก็มิได้ลังเลใด ๆ อีก เขาเพ่งสมาธิและหยิบกระบี่โบราณเล่มหนึ่งออกมาจากแหวนเก็บสมบัติในทันที

มิใช่สิ !

หากจะพูดให้ถูกก็คือ ดาบยักษ์เล่มหนึ่งต่างหากเล่า ตัวดาบกว้าง 1 เซี๊ยะ ยาว 6 เซี๊ยะ สีดำสนิททั้งเล่ม บนดาบมีการสลักลวดลายโบราณเอาไว้มากมาย

เมื่อเห็นภาพตรงหน้า เย่ฉางชิงเองก็ได้เพ่งสมาธิ หยิบกระบี่จื่อชิงออกมาจากแหวนเก็บสมบัติเช่นเดียวกัน

ทว่าวินาทีต่อมา มิเพียงเหมียวต้าจวงจะมีสีหน้าเปลี่ยนไป ดวงตากลมโตของเขาคู่นั้นถึงกับเบิกโพลง ราวกับจะหลุดออกมาจากเบ้าก็มิปาน แม้แต่กลุ่มคนที่ล้อมรอบอยู่รอบเวทีเอง ต่างก็อ้าปากค้างไปตาม ๆ กัน

ลำแสงสีม่วงไหลเวียน ลวดลายโบราณซับซ้อนเปล่งประกายขึ้น ขณะเดียวกัน บนตัวกระบี่ยังมีไอพลังอันน่าสะพรึงกลัวแผ่ออกมาอีกด้วย

กระบี่โบราณเช่นนี้ มิใช่กระบี่เทพแล้วจะเป็นอันใดไปได้อีก ?

ที่สำคัญที่สุดก็คือ กล่าวกันว่ากระบี่เทพมักมีจิตวิญญาณแฝงอยู่ ขอเพียงคนที่ครอบครองได้รับการยอมรับจากจิตวิญญาณกระบี่ ก็จะสามารถควบคุมกระบี่เทพได้ดั่งที่ใจต้องการ

การที่เย่ฉางชิงถือกระบี่เทพได้โดยมีสีหน้าเรียบเฉยเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าเขาได้รับการยอมรับจากจิตวิญญาณกระบี่เล่มนี้แล้ว

เช่นนี้แล้วจะประลองด้วยได้เยี่ยงไร ?

“สูด ! ”

เหมียวต้าจวงได้สติขึ้นมาอีกครั้ง ก็อดมิได้ที่จะต้องสูดลมหายใจเข้าด้วยความหวาดหวั่น และปรายตามองดาบยักษ์รูปทรงหยาบ ๆ ในมือของตน แล้วเหลือบมองกระบี่จื่อชิงที่น่าเกรงขามในมือของเย่ฉางชิง ก่อนจะพร่ำบ่นออกมาว่า

“เจ้า… เจ้า เจ้าช่างชั่วช้ายิ่งนัก ! ”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด