เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน 403 ท่านพี่หม่า ท่านใช้เพลงกระบี่ล่องหนหรือเยี่ยงไร ?
ตอนที่ 403 ท่านพี่หม่า ท่านใช้เพลงกระบี่ล่องหนหรือเยี่ยงไร ?
โอกาส ?
โอกาสมาแล้ว อะไรกัน !
เมื่อได้ยินดังนั้น ดวงตาเรียวยาวของเย่ฉางชิง พลันเปล่งประกายขึ้นมา
“แม่นางหลิง หมายความว่าเยี่ยงไรงั้นหรือ ? ” เย่ฉางชิงเอ่ยถามผู้ที่มาใหม่
สตรีนามว่าหลิงโหย่วหรง ผู้มาจากสำนักระดับสาม ยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน พลางหันไปชี้ป้ายทรงกระบี่ที่อยู่มิไกลนักป้ายหนึ่ง
เย่ฉางชิงนิ่งไปสักพัก ก่อนจะหันไปตามทิศทางที่หลิงโหย่วหรงชี้
ขณะเดียวกัน เหล่าศิษย์หญิงน้อยใหญ่ผู้มีรูปโฉมงดงาม ที่เบียดเสียดกันอยู่ข้าง ๆ เย่ฉางชิงก็สบตากัน ก่อนจะหันไปมองตาม
เมื่อเห็นว่าบนป้ายทรงกระบี่ป้ายนั้น มีชื่อของหม่าเป่ากั้วและเย่ฉางชิงปรากฏขึ้นมา นี่เท่ากับว่ารอบต่อไปเย่ฉางชิงจะได้ประลองกับอัจฉริยะในการบำเพ็ญเพียร ที่มีชื่อเสียงมายาวนานผู้นั้น
อีกทั้งหม่าเป่ากั้วและเย่ฉางชิง ยังมีประสบการณ์ที่คล้ายกันอย่างมาก
หลังจากรอบแรกที่ได้แสดงเพลงกระบี่อันทรงพลัง จนบีบให้คู่ต่อสู้ลงจากเวทีไปแล้ว การประลองอีกสิบกว่ารอบหลังจากนั้น คู่ต่อสู้ของเขาต่างก็ขอยอมแพ้เองแทบทั้งสิ้น ทำให้เขายังมิได้แสดงพลังที่แท้จริงออกมา
ด้วยเหตุนี้ในวินาทีที่มีรายชื่อของทั้งสองคนปรากฏขึ้น บนป้ายทรงกระบี่ป้ายหนึ่ง ก็ทำให้ทั่วทั้งลานประลอง เกิดความโกลาหลขึ้นมาในทันที
“คิดมิถึงว่าพวกเขาสองคนจะได้พบกันเร็วเช่นนี้ ! ”
“จริงด้วย หม่าเป่ากั้วมีชื่อเสียงมานาน พวกเราต่างก็เคยได้ยินมาบ้างแล้ว แต่บุรุษหนุ่มที่มีนามว่าเย่ฉางชิงผู้นี้ ยังมิเคยแสดงฝีมือให้เห็นเลยสักครั้ง จึงมิรู้ว่าแท้จริงแล้วเขามีความสามารถเช่นไรกันแน่”
“ข้าว่าเย่ฉางชิงผู้นี้จะต้องมิใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน แค่สามารถครอบครองและควบคุมกระบี่เทพได้ ก็พอจะอธิบายทุกอย่างได้แล้ว”
“จะไปสนใจเขาทำไม ตอนนี้รายชื่อสามร้อยอันดับแรกยังมิได้ตัดสิน พวกเขาสองคนต้องมาประมือกันในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ แสดงว่าจะต้องมีคนใดคนหนึ่งที่จะต้องออกจากเมืองกระบี่สวรรค์”
“ข้าว่านะ ทางที่ดีควรให้เย่ฉางชิงผู้นี้เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ มิเช่นนั้นศิษย์หญิงทุกคนจะต้องมองพวกเราต่ำต้อยลงไปอย่างแน่นอน”
“พี่ชายท่านนี้พูดได้ถูกต้อง หากเย่ฉางชิงผู้นี้ชนะแล้วล่ะก็ แค่ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขา เกรงว่าต่อไปเหล่าศิษย์หญิงคงมิชายตาแลพวกเราเป็นแน่”
“……”
“……”
ระหว่างที่ศิษย์สำนักต่าง ๆ กำลังนินทากันอยู่นั้น ชวี่เหวินเซี่ยที่เพิ่งได้รับชัยชนะมาอีกครั้ง ก็เดินเข้าหยุดตรงหน้าของเย่ฉางชิง
“ศิษย์น้องเย่ เจ้ามิต้องกังวลไปหรอก หม่าเป่ากั้วผู้นี้แม้จะมีฝีมือมิธรรมดา แต่เมื่อเทียบกับเจ้าแล้วยังถือว่าอ่อนด้อยนัก”
เมื่อเห็นเย่ฉางชิงขมวดคิ้วมุ่นและมีท่าทีลังเล ชวี่เหวินเซี่ยจึงพูดปลอบใจ พร้อมรอยยิ้มกว้าง
แน่นอนว่าที่ชวี่เหวินเซี่ยพูดไปนั้นก็แค่พูดตามมารยาทเท่านั้น เนื่องจากค่ายกลของเมืองกระบี่สวรรค์มิสามารถสะกดตบะบารมีของเย่ฉางชิงได้ จึงทำให้ตบะบารมีของเขาในตอนนี้สูงกว่าหม่าเป่ากั้วหนึ่งระดับก็จริง แต่ต่อให้มิมีการสะกดตบะบารมีจากค่ายกลของเมืองกระบี่สวรรค์ ตบะบารมีที่แท้จริงของหม่าเป่ากั้วจะอยู่สูงกว่าเย่ฉางชิงถึงสองระดับ
แต่ชวี่เหวินเซี่ยมองว่า หม่าเป่ากั้วผู้นี้มิคู่ควรให้เอ่ยถึงอยู่ดี เพราะเย่ฉางชิงได้เลือกบำเพ็ญเพียรเคล็ดเทพปีศาจโบราณ จึงได้ทำการเปิดจุดเซินชางในร่างกายถึงหกตำแหน่ง แม้ว่าเวลานี้ตบะบารมีของเขาจะยังอยู่ที่ระดับสร้างรากฐานปราณขั้นสุดท้าย ทว่าความรุนแรงของพลังวิญญาณภายในร่าง กลับแข็งแกร่งจนคนคาดมิถึงแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นการประลองของคนทั้งคู่ ยังเป็นการประลองด้วยวิถีกระบี่ที่เย่ฉางชิงมุ่งมั่นบำเพ็ญเพียรอย่างหนักตลอดครึ่งปีที่ผ่านมาอีกด้วย
ทว่าเวลานี้การที่เย่ฉางชิงรู้สึกลังเล นั่นเป็นเพราะเขาเองยังมิรู้ว่าแท้จริงแล้วตนเองนั้นแข็งแกร่งเพียงใด
ส่วนสาเหตุที่ชวี่เหวินเซี่ยมิได้บอกเรื่องทั้งหมดนี้ให้เย่ฉางชิงได้รู้ นั่นเป็นเพราะว่า ตัวตนของเย่ฉางชิงนั้นน่ากลัวและอันตรายอย่างยิ่ง การที่เขามาปรากฏตัวที่นี่ โดยได้ผนึกความทรงจำและตบะบารมีเอาไว้ ราวกับมีจุดประสงค์บางอย่างที่นางเองก็มิอาจจะคาดเดาได้
หากนางพูดความจริงออกไป มิแน่อาจต้องแปดเปื้อนและรับผลกรรมบางอย่างก็เป็นได้
อีกทั้งผลกรรมเช่นนี้ เกรงว่าคงมิได้มีเพียงแค่นาง แม้แต่ผู้ที่อยู่เบื้องหลังของนางก็มิอาจจะรับไหวเช่นกัน ดังนั้นเวลานี้การพูดให้กำลังใจเย่ฉางชิงจึงถือเป็นสิ่งที่เหมาะสมที่สุดแล้ว
ทันทีที่สิ้นเสียง เหล่าสตรีที่ล้อมรอบข้างกายของเย่ฉางชิง ก็เริ่มเอ่ยให้กำลังใจชายหนุ่มรูปงามของพวกนางในทันที
“ท่านพี่เย่ พี่สาวท่านนี้พูดถูกแล้วเจ้าค่ะ”
“ข้าว่าหม่าเป่ากั้วผู้นี้มีดีแค่ชื่อเท่านั้นแหละเจ้าค่ะ หากเทียบกับท่านแล้วคงมิต่างอันใดกับมดปลวกหรอกเจ้าค่ะ”
“ท่านพี่เย่ ท่านต้องเชื่อมั่นในตนเองนะเจ้าคะ เทียบกันที่หน้าตาแล้ว บุรุษผู้นั้นยังห่างไกลจากท่านไปหนึ่งแสนแปดพันลี้ และหากเทียบกันที่คุณสมบัติและพลังแล้ว เขาก็ยังมิใช่คู่ต่อสู้ของท่านเจ้าค่ะ”
“ใช่แล้ว ๆ อาจารย์เคยบอกเอาไว้ว่า ปกติแล้วหากหน้าตาดี คุณสมบัติในการฝึกเซียนก็มิอาจประมาทได้อย่างเด็ดขาด ท่านเป็นคนเช่นนั้นแหละเจ้าค่ะ”
“ท่านพี่เย่ ท่านต้องชนะแน่เจ้าค่ะ พวกเรารอท่านพาเราเข้าไปในนิกายกระบี่สวรรค์ และสร้างครอบครัวกับท่านอยู่นะเจ้าคะ”
“ท่านพี่เย่ จุ๊บ ๆ ท่านเก่งที่สุดเจ้าค่ะ”
“……”
“……”
เมื่อได้รับกำลังใจจากทุกคน เย่ฉางชิงก็พ่นลมหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะหันไปสบตากับชวี่เหวินเซี่ยเล็กน้อย แล้วจึงพยักหน้าให้กับทุกคนด้วยท่าทางแน่วแน่
จากนั้นเขาจึงเดินตรงไปทางเวทีประลอง ท่ามกลางสายตามากมายที่จับจ้องมา
ต้องบอกว่าคำพูดของศิษย์หญิงสำนักอื่น ๆ นั้น เขาอาจจะมิเชื่อ แต่ว่าคำพูดของชวี่เหวินเซี่ยนั้น เขากลับเชื่อมั่นโดยไร้ข้อกังขา
เยี่ยงไรซะพวกเขาสองคนก็มาจากสำนักเซียนลึกลับอย่างสำนักชิงหยางด้วยกัน
อีกอย่างหม่าเป่ากั้วที่มีท่าทางหยิ่งจองหองนั้น คนเช่นนี้เท่าที่เขาจำได้ มักจะท่าดีทีเหลวทั้งสิ้น
เมื่อนึกถึงตรงนี้มุมปากของเย่ฉางชิงก็ค่อย ๆ โค้งขึ้น ใบหน้ารูปไข่ที่ไร้ตำหนิใด ๆ ก็เต็มไปด้วยความมั่นใจ
“ต้องยอมรับว่าก่อนหน้านี้ข้าประเมินเจ้าต่ำไปจริง ๆ แต่สำหรับข้าแล้วเจ้าก็เป็นเพียงหินก้อนหนึ่ง บนเส้นทางไร้พ่ายของข้าอยู่ดี”
หลังจากเย่ฉางชิงกระโดดขึ้นไปบนเวทีประลองแล้ว หม่าเป่ากั้วก็เอ่ยกับเย่ฉางชิงในทันที ทว่าเย่ฉางชิงกลับมิได้ตอบกลับแต่อย่างใด มิหนำซ้ำรอยยิ้มบนใบหน้ากลับเจิดจ้าขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า
เมื่อได้มาเผชิญหน้ากับหม่าเป่ากั้วจริง ๆ จู่ ๆ เขาก็รู้สึกราวกับตนเองกลายเป็นพระเอกขึ้นมา เพราะเท่าที่เขาจำได้ตัวร้ายแทบทุกคนล้วนแต่ชอบคุยโวโอ้อวด และหม่าเป่ากั้วในเวลานี้ก็ดูเหมือนจะเป็นคนเช่นนั้น
ตอนนั้นเองเมื่อเห็นเย่ฉางชิงยิ้มโดยมิกล่าวสิ่งใด หม่าเป่ากั้วจึงเพ่งสมาธิแล้วหยิบกระบี่รูปทรงประหลาดเล่มหนึ่งออกมาจากแหวนเก็บสมบัติโดยมิลังเล
ตัวกระบี่ยาวกว่าสามเชียะ และเต็มไปด้วยรอยร้าว
“เชิญ ! ”
หม่าเป่ากั้วเอ่ยขึ้นมาเสียงเรียบ ก่อนที่เส้นผมและเสื้อผ้าของเขาจะปลิวไสว หลังจากแสงสลัวไหลเวียนรอบกาย ร่างของเขาพลันระเบิดไอพลังรุนแรงออกมา
เปรี๊ยะ !
ทันทีที่หม่าเป่ากั้วสะบัดแขน กระบี่ในมือของเขาเล่มนั้นพลันแยกออกเป็นท่อน ๆ ก่อนจะยึดออกไปทางด้านหลังยาวหลายสิบจั้ง
ที่น่าแปลกที่สุดก็คือ ตัวกระบี่ที่แยกออกเป็นท่อน ๆ เหมือนจะเชื่อมต่อกันโดยของวิเศษบางอย่าง เพราะในวินาทีที่ตัวกระบี่แยกออกจากกัน ก็ได้มีสายฟ้าอันเจิดจ้าพุ่งออกมาด้วย ทำให้กระบี่เล่มนี้ยิ่งดูเหมือนแส้เหล็กขนาดใหญ่ ที่ถูกห่อหุ้มด้วยสายฟ้าก็มิปาน
วินาทีต่อมา หม่าเป่ากั้วเพียงสะบัดแขนเบา ๆ กระบี่แส้ในมือของเขาก็พุ่งเข้าใส่เย่ฉางชิงโดยทันที และเต็มไปด้วยพลังอันน่ากลัวราวกับงูสีเงิน
ไอกระบี่คำรามกึกก้อง สายฟ้ามากมายพุ่งออกมา พลังปราณอันดุดันต่างระเบิดอย่างต่อเนื่อง เป็นปรากฏการณ์ที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก
ขณะเดียวกันเย่ฉางชิงเองก็ถือกระบี่จื่อชิงอันงดงามเอาไว้ พร้อมกับชี้กระบี่ไปทางหม่าเป่ากั้ว แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนงุนงงก็คือ เย่ฉางชิงเพียงแค่ยกกระบี่ชี้ใส่หม่าเป่ากั้วเท่านั้น และมิได้ออกกระบวนท่าแต่อย่างใด
ชั่ววินาทีที่ งูสีเงินพุ่งเข้ามาด้วยพลังทำลายล้าง ทว่าเย่ฉางชิงก็ยังคงยืนนิ่งมิขยับเขยื้อนใด ๆ เพียงแค่หลับตาลงเท่านั้น
ทันใดนั้น ทุกคนเหมือนจะรู้แล้วว่าวินาทีถัดไปจะเกิดสิ่งใดขึ้น จึงได้หลับตาลงในทันที
ตู้ม !
เสียงดังสนั่นหวั่นไหวเสียงหนึ่งดังก้องไปทั่วบริเวณ
คลื่นอากาศจำนวนมหาศาลคลื่นหนึ่งพลันพุ่งออกมา และขณะที่ทุกคนลืมตาขึ้นอีกครั้ง
ภาพตรงหน้ากลับมิได้มีเลือดสาดกระเซ็นแต่อย่างใด และร่างสูงสง่าร่างนั้นก็ยังคงยืนนิ่ง ๆ อยู่ตรงนั้น ส่วนหม่าเป่ากั้วกลับมีดวงตาเบิกโพลง สีหน้าซีดเผือด ท่าทางเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกอย่างถึงขีดสุด
นี่มัน !
นี่มัน !
‘นี่มัน……นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ? ’
‘ข้าพลาดอันใดไป ! ’
‘เจ้าเย่ฉางชิงออกวิชาภูตผีอะไรกันแน่ ถึงทำลายพลังโจมตีอันน่ากลัวเช่นนี้ได้ ! ’
‘น่าเหลือเชื่อ ! ’
‘ช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก ! ’
“เป็นไปมิได้ เป็นไปมิได้เด็ดขาด ! ”
ขณะที่ทุกคนนิ่งค้างราวกับหินนั้น หม่าเป่ากั้วก็ได้สติขึ้นมา แล้วคำรามขึ้นฟ้าก่อนจะบุกโจมตีเย่ฉางชิงอย่างบ้าคลั่ง
ทันใดนั้นเวทีประลองขนาดใหญ่ก็กลายเป็นเขตมรณะภายในพริบตา
งูสีเงินมากมายพุ่งเข้าใส่เย่ฉางชิงด้วยความดุดัน ไอกระบี่อันทรงพลังพุ่งทะลวง คลื่นพลังหลายสายส่งออกไป
เวทีประลองที่ตั้งตระหง่านมานานมิรู้กี่ร้อยกี่พันปี เมื่อถูกพลังโจมตีที่ดุดันของหม่าเป่ากั้ว ก็ทำให้เกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ลวดลายค่ายกลที่สลักเอาไว้บนเวทีประลองเปล่งแสงขึ้นมา
ทว่าเวลานี้มิเพียงแค่ศิษย์จากสำนักต่าง ๆ เท่านั้นที่ตกตะลึง แม้แต่พวกซูหรันที่เป็นศิษย์ของนิกายกระบี่สวรรค์เองก็ตกตะลึงมิแพ้กัน
รู้สึกราวกับมีเสียงวิ๊งดังขึ้นในโสตประสาท ทั้งหมดดูราวกับเป็นเพียงแค่ภาพฝัน
เพราะพลังโจมตีของหม่าเป่ากั้วแม้จะรุนแรงราวกับเขื่อนทะลัก และน่าสะพรึงกลัวมากเพียงใด แต่เย่ฉางชิงก็ยังคงหลับตาอยู่เยี่ยงนั้น ราวกับว่าตั้งแต่ต้นจนจบ เขาเพียงแค่ยืนอยู่เฉย ๆ ชี้ปลายกระบี่ไปทางหม่าเป่ากั้วเท่านั้น
จนการประลองผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยาม ในที่สุดกลุ่มคนที่ยืนอยู่ทางด้านล่างเวที ก็เริ่มรู้สึกทนมิไหว และตอนนั้นเองก็มีเสียงอันแสบแก้วหูเสียงหนึ่งดังขึ้นมา
“ท่านพี่หม่า ท่านใช้เพลงกระบี่ล่องหนหรือเยี่ยงไรกัน ? ”
เมื่อได้ยินดังนั้นทุกคนก็นิ่งไป ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างกลั้นมิอยู่
Comments