เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน 408 พบเทพหลิวอีกครั้ง
ตอนที่ 408 พบเทพหลิวอีกครั้ง
อีกด้านหนึ่ง หลังจากพวกเย่ฉางชิงก้าวเข้าสู่ประตูลึกลับบานนั้นแล้ว
หุบเขาที่มีทิวทัศน์ราวกับแดนเซียนแห่งหนึ่งก็ปรากฏสู่สายตา
ด้านหนึ่งเป็นป่าท้อที่เต็มไปด้วยดอกท้อสีแดงสดและมีหมอกปกคลุม ไกลออกไปจนสุดลูกหูลูกตา
อีกด้านก็เต็มไปด้วยพืชพรรณที่เขียวชอุ่ม มีหินสีครามอยู่เรียงราย ถัดไปก็เป็นลานที่มีขนาดมิกว้างเท่าไรนักตั้งอยู่ โดยล้อมรอบด้วยกำแพงที่มีสถาปัตยกรรมอันงดงาม และภายในลานแห่งนั้นนอกจากต้นไผ่เขียวขจีมิกี่ต้นแล้ว ก็มีเรือนหลังเล็ก ๆ ตั้งอยู่สามสี่หลังเท่านั้น
ส่วนใจกลางของหุบเขา ก็มีแม่น้ำสายเล็ก ๆ ที่ใสสะอาดไหลคดเคี้ยวมาจากส่วนลึกของหุบเขา ลอดผ่านสะพานไม้ที่อยู่มิไกลนัก ก่อนจะไหลผ่านด้านหน้าของพวกเย่ฉางชิงไป
ช่างเป็นภาพที่งดงามยิ่งนัก
ทว่าสิ่งนี้กลับยิ่งทำให้ทุกคนรู้สึกงงงวยไปตาม ๆ กัน
พวกเขาเข้ามาที่นี่ก็เพื่อทดสอบแดนมายา แต่สุดท้ายภาพที่ปรากฏตรงหน้า กลับสงบร่มรื่นและสวยงามถึงเพียงนี้
นี่เป็นการทดสอบเช่นไรกันแน่ ?
หลังจากนิ่งเงียบไปสักพัก ทุกคนก็เริ่มมีท่าทีร้อนรนขึ้นมา ก่อนจะทยอยออกสำรวจโดยรอบ
บางคนก็ข้ามแม่น้ำ ข้ามสะพานไม้ และตรงไปยังส่วนลึกของป่าท้อ
บางคนก็เดินไปตามทางเดินหิน มาจนถึงหน้าประตูเรือนแห่งนั้น แล้วค่อย ๆ ผลักประตูเข้าไป……
จนผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยาม
ขณะที่เย่ฉางชิงเดินสำรวจรอบ ๆ อย่างระมัดระวังเรียบร้อยแล้ว และหันกลับมาอีกครั้ง
เขาก็ต้องประหลาดใจ เมื่อพบว่ารอบ ๆ ตัวเขาในเวลานี้ กลับมิมีผู้ใดอยู่เลยแม้แต่คนเดียว และที่น่าประหลาดใจมากที่สุดก็คือ เมื่อเขาหันไปมองทางอื่น ป่าท้อที่ก่อนหน้านี้ยังมีผู้คนจ้อกแจ้กจอแจ หรือแม้แต่ภายในเรือนหลังเล็กเหล่านั้น กลับไร้ซึ่งผู้คนเสียแล้ว
‘คนอื่นล่ะ ? ’
‘เหตุใด จู่ ๆ ถึงหายไปได้ ! ’
‘นี่มันเป็นการทดสอบเช่นไรกันแน่ ! ’
‘เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้นะ ! ’
เย่ฉางชิงถึงกับยกมือขึ้นมาคลึงหว่างคิ้วของตนเองอย่างอดมิได้ พร้อมกับเผยท่าทางจนปัญญา
หลังจากนิ่งเงียบอยู่นาน ในที่สุดเขาก็เริ่มขยับเท้าเดินไปข้างแม่น้ำ จากนั้นก็เดินไปตามทางเดินจนมาถึงหน้าประตูเรือน
เขาลังเลเล็กน้อย ก่อนจะผลักประตูเข้าไป
ทว่าวินาทีต่อมา ภาพที่ปรากฏสู่สายตากลับเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
โต๊ะยาว โต๊ะน้ำชา โต๊ะพิณ……และต้นหลิวต้นหนึ่ง
นี่มัน !
นี่มัน !
‘นี่มันเรือนของข้าที่เมืองเสี่ยวฉือมิใช่หรือ ? ’
‘เหตุใดถึงมาปรากฏอยู่ที่นี่ได้ ! ’
‘แม้ศิษย์พี่ชวี่จะบอกว่าการทดสอบในหัวข้อแรกที่นิกายกระบี่สวรรค์นี้ จะเป็นการทดสอบเกี่ยวกับจิตใจของศิษย์ แต่การที่เรือนของข้าปรากฏขึ้นเช่นนี้ มันหมายความว่าเยี่ยงไรกัน ? ’
‘หรือคิดว่าข้ายังหลงเหลือความเสียใจใด ๆ เอาไว้ที่นั่นอีกเยี่ยงนั้นรึ ? ’
เมื่อนึกถึงตรงนี้ เย่ฉางชิงก็ได้ใคร่ครวญอยู่สักพัก ก่อนจะเดินตรงเข้าไป
แม้เขาจะมิได้รู้สึกเสียใจอันใดกับการที่ต้องจากเมืองเสี่ยวฉือรวมทั้งเรือนหลังนั้นมา ทว่าการได้กลับมาเห็นสถานที่ที่เคยอยู่ ก็อดที่จะรู้สึกคิดถึงวันเก่า ๆ ขึ้นมามิได้
มินานเขาก็เดินมาหยุดยังหน้าโต๊ะยาว ที่เขาเคยวาดภาพและเขียนอักษรพู่กัน
มองกระดาษวาดภาพและอักษรพู่กันที่ปกติใช้ฝึกฝนฝีมือ ที่กระจัดกระจายอยู่บนโต๊ะ
มุมปากเย่ฉางชิงโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มที่ยากจะเข้าใจความหมาย ก่อนจะทอดถอนใจออกมา “ตอนอยู่โลกบำเพ็ญเพียรใบก่อน เนื่องจากมิสามารถบำเพ็ญเพียรได้ เขาจึงทำได้เพียงใช้เวลาไปกับการดีดพิณ เดินหมาก เขียนพู่กัน และวาดภาพ แต่เมื่อมายังโลกบำเพ็ญเพียรใบนี้และได้เข้าสำนักชิงหยางแล้ว เขาก็แทบจะใช้เวลาทั้งหมดไปกับการบำเพ็ญเพียร”
“ทว่าเมื่อได้กลับมายังที่ ๆ เคยอยู่อีกครั้ง ก็อดมิได้ที่จะรู้สึกถึงความหลัง……”
หลังจากนั้น เย่ฉางชิงก็ยกพู่กันขึ้นโดยมิสนใจว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่ ก่อนจะจรดพู่กันลงไปบนกระดาษสีขาวแผ่นหนึ่งอย่างรวดเร็ว
“สตรีผู้นั้นมิรู้อยู่หนใด เหลือเพียงดอกท้อที่ยังคงเบ่งบานเหมือนก่อน”
เพียงพริบตา ตัวอักษรที่เป็นระเบียบเรียบร้อย ก็ปรากฏขึ้นบนกระดาษ
ขณะเดียวกัน หลังจากเย่ฉางชิงวางพู่กันลงพร้อมรอยยิ้มจาง ๆ ไอพลังวิถีกระบี่อันบริสุทธิ์ไร้ที่เปรียบ กลุ่มหนึ่งก็แผ่ออกมา
จากนั้นเขาก็ยิ้มพลางส่ายหน้าไปมา ก่อนจะเดินไปทางโต๊ะชา……
อีกด้านหนึ่ง
ภาพมายาที่ออกมาจากภายในใจของเย่ฉางชิง ล้วนปรากฏขึ้นในกระจกตรงหน้าของซ่งจืออวี่และหลวนผิง
ในคราแรกซ่งจืออวี่ยังพูดจากระแนะกระแหนว่า เมื่อก่อนเย่ฉางชิงใช้ชีวิตยากจนข้นแค้นเพียงนี้ บัดนี้เมื่อก้าวเข้าสู่วิถีเซียน การจะผ่านด่านนี้ไป คงมิใช่เรื่องยากอะไรสินะ
เยี่ยงไรซะสิ่งที่เรียกว่าการทดสอบแดนมายานั้น ความจริงแล้วก็คือการทำให้เรื่องราวในอดีต ที่ถูกเก็บไว้ในส่วนลึกของจิตใจคนปรากฏขึ้นอีกครั้งผ่านแดนมายา
ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเรื่องราวในอดีตเหล่านี้ ล้วนเป็นปมภายในใจ หรือว่าความลับที่มิอยากให้ผู้อื่นรู้ และการที่ภาพเหล่านั้นปรากฏขึ้นอีกครั้ง ย่อมส่งผลต่อจิตใจของคนผู้นั้นมิมากก็น้อย
ดังนั้นการทดสอบแดนมายานี้ หาได้ง่ายดายอย่างที่คิดไม่
ทว่าเมื่อเห็นเย่ฉางชิงเขียนตัวอักษรโบราณเหล่านั้นลงบนกระดาษ ทั้งสองคนก็ต้องตกตะลึงในทันที เมื่อตัวอักษรโบราณที่เป็นระเบียบเรียบร้อย กลับแฝงเพลงกระบี่ที่ลึกลับสุดจะหยั่งเอาไว้
แต่ด้วยคุณสมบัติของพวกเขาสองคนในตอนนี้ แม้จะรับรู้ได้ ทว่ากลับมิสามารถทำความเข้าใจเพลงกระบี่นี้ได้
อีกทั้งสิ่งที่ทำให้ทั้งสองคนรู้สึกเสียดายมากที่สุดก็คือ ในวินาทีที่เย่ฉางชิงหมุนกายจากไป ตัวอักษรโบราณประโยคนั้นก็ค่อย ๆ มลายหายไปด้วย
“บัดซบ เจ้าหนุ่มคนนี้ช่างต่ำช้ายิ่งนัก เหตุใดต้องหมุนกายไปที่อื่นด้วย ! ”
ซ่งจืออวี่ขมวดคิ้วแน่น พลางเอ่ยออกมาอย่างเดือดดาล
ส่วนหลวนผิงกลอกตาเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยอย่างครุ่งคิดว่า “ศิษย์น้องซ่ง ฟังที่ข้าเตือนเจ้าบ้างเถอะ ทางที่ดีอย่าได้ไปเป็นศัตรูกับคนผู้นี้จะดีกว่า”
“อีกอย่างข้ามีลางสังหรณ์ว่า หากเป็นศัตรูกับคนผู้นี้จริงๆ เจ้าอาจจะต้องแปดเปื้อนกับผลกรรมที่เจ้ามิสามารถรับไหวก็เป็นได้”
ซ่งจืออวี่หัวเราะเหี้ยมเกรียมออกมา ก่อนจะเอ่ยอย่างมิแยแสว่า “เช่นนั้นข้าก็สงสัยยิ่งนักว่าผลกรรมเช่นไรกันที่ข้าซ่งจืออวี่จะมิสามารถรับไหว ? ”
หลวนผิงถอนหายใจพลางส่ายหน้าเล็กน้อย และมิได้เอ่ยสิ่งใดอีก
ก่อนจะนั่งสมาธิลงกับพื้น พลางหลับตาลงทันที
ตอนนั้นเอง เมื่อซ่งจืออวี่มองภาพในกระจกตรงหน้าอีกครั้ง ก็พบว่าเย่ฉางชิงได้มายังใต้ต้นหลิวต้นนั้นที่อยู่ภายในลานบ้านของเขา นิ้วเรียวยาวของเขาลูบเบา ๆ ที่ใบหลิวใบหนึ่ง ก่อนจะเผยสีหน้าที่สับสนออกมาอย่างห้ามมิได้
อีกทั้งริมฝีปากของเย่ฉางชิงยังขยับน้อย ๆ ราวกับพึมพำอะไรบางอย่าง
ทว่าเนื่องจากกระจกสามารถเห็นได้แค่ภาพ แต่มิสามารถได้ยินเสียง ดังนั้นซ่งจืออวี่จึงทำได้เพียงมองอย่างขัดเคืองใจ และมุมปากกระตุกอยู่เยี่ยงนั้น
……
……
“เสี่ยวหลิว อยู่ในเมืองเสี่ยวฉือด้วยกันมาตั้งนาน ข้าคิดมิถึงเลยจริง ๆ ว่าเจ้าจะเป็นปีศาจต้นไม้ไปได้”
“ตอนนั้น เจ้าทำให้ข้าตกใจมากจริง ๆ ”
“แต่สิ่งที่ข้าเสียใจมากก็คือ แม้ข้าจะบังเอิญได้มายังโลกบำเพ็ญเพียรแห่งนี้ และสามารถบำเพ็ญเพียรได้แล้ว แต่กลับมิสามารถพบเจ้าได้อีก……”
เย่ฉางชิงเอ่ยพึมพำขึ้นมา
ทว่าขณะที่เขายังเอ่ยมิทันจบประโยคนั้น กิ่งก้านของต้นหลิวตรงหน้าก็กวัดแกว่งไปมา พลันแสงอันงดงามก็สาดส่องลงมา พร้อมสัญลักษณ์โบราณมากมาย ที่โปรยปรายลงมาราวกับฝนดาวตก
มิกี่อึดใจต่อมา
ห้วงอากาศรอบ ๆ ก็เกิดการสั่นสะเทือนขึ้น พร้อมกับมีม่านแสงสีเขียวขจีปกคลุมลงมา จากนั้นร่างอันงดงามจับตาร่างหนึ่งก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้น
เพียงพริบตาสตรีใบหน้าเย็นชาราวกับน้ำแข็ง ก็ปรากฏสู่สายตาของเย่ฉางชิงในทันที
เห็นได้ชัดว่าสตรีนางนั้นก็คือ เทพหลิว นั่นเอง
“เสี่ยวหลิว……เจ้า ? ! ”
เย่ฉางชิงมีสีหน้าเปลี่ยนไป อดมิได้ที่จะพิจารณาสตรีที่มีใบหน้างดงามตรงหน้าซ้ำไปซ้ำมา
“เสี่ยวหลิวคารวะนายท่านเจ้าค่ะ” หลังจากเห็นเย่ฉางชิง เทพหลิวก็มีท่าทีที่ดูสับสน ก่อนจะเอ่ยคำนับ
“เสี่ยวหลิว ทั้งหมดนี้แท้จริงแล้วเป็นภาพมายามิใช่รึ แล้ว……พวกเจ้าอยู่บนโลกใบนั้นสบายดีหรือไม่ ? ”
เย่ฉางชิงชะงักงันไปชั่วขณะ ก่อนจะเอ่ยถามออกมา
เทพหลิวเผยรอยยิ้มออกมา ราวกับภูเขาน้ำแข็งละลายก็มิปาน ก่อนจะค่อย ๆ ตอบกลับไปว่า “นายท่าน ทั้งหมดนี้เป็นภาพมายา……และก็เป็นเรื่องจริงด้วยเจ้าค่ะ”
ทันทีที่เย่ฉางชิงได้ยินคำตอบนั้นก็นิ่งงันไป
‘นี่มันอะไรกัน ? ’
‘อะไรคือภาพมายา อะไรคือเรื่องจริง ? ’
‘ขอร้องล่ะ เจ้าช่วยจริงจังหน่อยได้หรือไม่ ! ’
‘ข้ามิเข้าใจเลยจริง ๆ ’
‘อีกอย่างข้ากำลังเข้าร่วมการทดสอบของนิกายกระบี่สวรรค์อยู่……’
‘จริงสิ’
‘โลกบำเพ็ญเพียรแห่งนี้ คงมิใช่โลกเบื้องบนที่คนในโลกก่อนหน้า เคยกล่าวเอาไว้หรอกนะ ? ’
‘การที่เสี่ยวหลิวสามารถมาพบกับข้าที่นี่ได้ ก็เพราะนางสามารถบรรลุและได้ขึ้นมาเป็นเซียน ที่โลกใบนี้แล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ’
หลังจากนิ่งเงียบไปสักพัก ในที่สุดเย่ฉางชิงก็เหมือนจะคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ทว่าแม้จะเป็นเช่นนั้นก็ยังอดมิได้ ที่จะเอ่ยถามออกไปด้วยความเหลือเชื่อ
“พวกเจ้าขึ้นมาบนโลกนี้ได้แล้วงั้นหรือ ? ”
แม้ภายในใจของเย่ฉางชิงจะกำลังเต้นอย่างแรง แต่ยิ่งรู้สึกเช่นนั้นสีหน้าและน้ำเสียงของเขา กลับเคร่งขรึมลงกว่าเดิมหลายเท่า
ทันทีที่สิ้นเสียง เทพหลิวก็พยักหน้ารับน้อย ๆ
เย่ฉางชิง ( ̄△ ̄)
Comments