เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน 412 ศิลายันต์แตกร้าว

Now you are reading เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน Chapter 412 ศิลายันต์แตกร้าว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 412 ศิลายันต์แตกร้าว

“เกิดอันใดขึ้นกันแน่ ? ”

“เหตุใดจู่ ๆ ภาพมายาถึงหายไป ? ”

“จริงด้วย เมื่อครู่ข้ากำลังจะลงมือสังหารศัตรูขณะอยู่ในแดนมายา เหยียบย่ำเหล่าศัตรูในอดีตให้จมอยู่ใต้ฝ่าเท้าของข้าทีละคน แต่จู่ ๆ ภาพมายานั่นก็หายไป”

“ศิษย์พี่ เยี่ยงไรซะนั่นก็เป็นเพียงภาพมายา แต่หากท่านออกไล่ล่าสังหารศัตรูมิหยุดหย่อน แสดงว่าจิตใจของท่านมีปัญหาแล้ว”

“เจ้าพูดถูก แต่เยี่ยงไรซะคนพวกนั้นก็เป็นปมในใจของข้า หากชีวิตนี้มิสามารถล้างแค้นได้ ต่อให้ข้าบำเพ็ญเพียรจนสำเร็จ แล้วจะมีประโยชน์อันใดกัน”

“นั่นสิ นี่มันเรื่องอะไรกัน หรือว่าการทดสอบจบลงแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“เรื่องนี้ข้าเองก็มิรู้ ตามหลักแล้วหากจะผ่านการทดสอบแดนมายา ต่อให้เป็นอัจฉริยะอย่างน้อยที่สุดก็ต้องใช้เวลาหนึ่งเดือน แต่เหตุใดข้ารู้สึกเหมือนว่าเพิ่งผ่านไปมิกี่ชั่วยามเท่านั้นเอง”

“ศิษย์น้องเล็ก เจ้าก็รู้สึกเช่นนั้นหรือ ? ”

“อืม ๆ ”

“……”

“……”

ทุกคนทยอยลืมตาและตื่นขึ้นจากแดนมายา ก่อนจะวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่าง ๆ นานา

ตอนนั้นเอง ชวี่เหวินเซี่ยที่มีขอบตาแดงก่ำ สีหน้าซีดเซียวก็เดินเข้ามาอย่างเงียบ ๆ

“ศิษย์พี่ชวี่ ท่านมิเป็นอันใดใช่หรือไม่ ? ”

เย่ฉางชิงลอบสำรวจชวี่เหวินเซี่ยเล็กน้อย ก่อนจะถามออกมาอย่างเป็นกังวล

ชวี่เหวินเซี่ยเผยยิ้มบาง ๆ ออกมา พลางส่ายหน้าเล็กน้อย “ข้ามิเป็นอันใด”

เย่ฉางชิงพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า “ศิษย์พี่ชวี่ การทดสอบแดนมายา สิ้นสุดลงหรือยังขอรับ ? ”

“ตอนนี้ข้าเองก็ยังมิแน่ใจ”

ชวี่เหวินเซี่ยกวาดตามองคนอื่น ๆ รอบกาย ที่กำลังงุนงงสงสัยกันอยู่ พลางเอ่ยอย่างครุ่นคิดว่า “ตอนนี้ดูเหมือนว่าศิษย์ที่เข้าร่วมการทดสอบครั้งนี้ยังอยู่กันครบ นี่ก็หมายความว่ายังมิมีผู้ใดสามารถผ่านไปได้ ดังนั้นจึงยังมินับว่าการทดสอบนี้สิ้นสุดลง”

ทันทีที่ชวี่เหวินเซี่ยเอ่ยจบ

จู่ ๆ ห้วงอากาศด้านบนหุบเขาก็เกิดการสั่นสะเทือนขึ้น ราวกับก้อนหินที่ตกกระทบผิวน้ำ จนเกิดระลอกคลื่นเป็นชั้น ๆ มากมาย

เพียงแค่เวลามิกี่อึดใจ

ประตูที่ปกคลุมด้วยหมอกบานหนึ่งก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้น ท่ามกลางสายตาของทุกคน

ทว่าเมื่อทุกคนได้เห็นภาพประตูบานนั้น พลันมีสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก ท่าทางเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก เพราะตามที่พวกเขารู้มา เมื่อการทดสอบแดนมายาสิ้นสุดแล้ว จะปรากฏประตูบานหนึ่งขึ้นมา

เพียงแค่ข้ามผ่านประตูไป ก็สามารถออกไปจากโลกของศิลายันต์ได้แล้ว

นี่ก็หมายความว่าพวกเขาผ่านการทดสอบแดนมายาแล้วเยี่ยงนั้นหรือ

ทว่าสถานการณ์ในตอนนี้ พวกเขากลับมองว่ามันดูมิปกติเท่าไรนัก

เท่าที่พวกเขาจำได้ ราวกับเพิ่งเข้ามาในแดนมายาแห่งนี้มิกี่ชั่วยามเท่านั้น

อีกทั้งระดับจิตใจและคุณสมบัติของแต่ละคนก็มิเท่ากัน ดังนั้นเวลาที่ใช้ในการผ่านการทดสอบก็ย่อมจะต้องแตกต่างกัน

ทว่าบัดนี้พวกเขากลับตื่นขึ้นมาพร้อม ๆ กัน และดูเหมือนยังมิมีผู้ใดได้ออกไปก่อนด้วย

นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ?

หรือว่าการทดสอบในครั้งนี้จะเกิดปัญหาอะไรขึ้นเยี่ยงนั้นหรือ ?

อืม !

คงจะเป็นเช่นนั้นแน่ !

มิใช่สิ !

ต้องเป็นเช่นนั้นอย่างแน่นอน !

หลังจากนิ่งเงียบอยู่สักพัก ทุกคนก็สบตากันเล็กน้อย ก่อนจะทยอยเดินไปที่ประตู……

ขณะเดียวกัน เมื่อศิษย์ที่เข้าร่วมการทดสอบ ต่างทยอยเดินออกมาจากประตู

ซ่งจืออวี่ที่จับจ้องกระจกด้านหน้าอยู่ตลอดเวลา ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป ท่าทางเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก เพราะเวลาเพิ่งจะผ่านไปมิกี่ชั่วยาม ทว่ากลับมีคนผ่านการทดสอบแดนมายาแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?

หรือในบรรดาศิษย์ที่เข้าร่วมการทดสอบในรอบนี้ มีคนที่มีความสามารถอันสูงส่งอยู่ด้วยเยี่ยงนั้นหรือ ?

ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปประมาณหนึ่งก้านธูป

สีหน้าของซ่งจืออวี่ก็ต้องเปลี่ยนไปอีกครั้ง ก่อนที่ร่างทั้งร่างจะแข็งค้างราวกับหิน ท่าทางเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก

ช่วงระยะเวลาสั้น ๆ เพียงมิกี่ชั่วยาม ศิษย์ที่เข้าร่วมการทดสอบในครั้งนี้ กลับออกมาจากแดนมายาจนครบทุกคนแล้ว หรือว่าศิษย์ที่เข้าร่วมการทดสอบในครั้งนี้ แต่ละคนล้วนมีความสามารถอันสูงส่งเยี่ยงนั้นหรือ ?

‘เป็นไปมิได้ ! ’

‘หรือว่าตอนนี้การเป็นอัจฉริยะวิถีเซียน สามารถเป็นกันได้ง่าย ๆ ขนาดนี้แล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ’

และขณะที่ทุกคนกำลังมองมาที่ซ่งจืออวี่ตาปริบ ๆ นั้น

สีหน้าของเขาก็ยิ่งย่ำแย่ลงไปอีก

แต่ทันใดนั้น ขณะที่เย่ฉางชิงและชวี่เหวินเซี่ย เดินออกมาจากประตูลึบลับบานนั้นเป็นสองคนสุดท้าย

เปรี๊ยะ !

เสียงดังแสบแก้วหูเสียงหนึ่งจู่ ๆ ก็ดังขึ้น

ก่อนที่กระจกตรงหน้าของซ่งจืออวี่จะค่อย ๆ ปรากฏรอยแตกร้าวขึ้น จากนั้นก็ได้สลายหายไปในความว่างเปล่า

หลังจากนั้นก็มีคลื่นแสงกลุ่มหนึ่งแผ่ออกมา มินานศิลายันต์ที่ลอยอยู่กลางอากาศ พลันก็เกิดรอยแตกร้าวเป็นทางยาวขึ้นมารอยหนึ่ง

ทันทีที่เห็นภาพตรงหน้า ซ่งจืออวี่ถึงกับดวงตาเบิกโพลง ก่อนจะเย็นวาบไปทั่วทั้งร่าง

ศิลายันต์ก้อนนี้มีความสำคัญต่อนิกายกระบี่สวรรค์เช่นไร เขาย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ ยิ่งไปกว่านั้นหลวนผิงที่เป็นผู้รับผิดชอบการทดสอบครั้งนี้ร่วมกันกับเขา ก็ได้กลับไปก่อนแล้ว

นี่ก็หมายความว่า การที่ศิลายันต์แตกร้าวเช่นนี้ ถือเป็นความรับผิดชอบของเขาแต่เพียงผู้เดียว

‘นี่มัน……นี่มัน……นี่มันเกิดอันใดขึ้นกันแน่ เหตุใดศิลายันต์ถึงเกิดแตกร้าวขึ้นได้ ? ’

ภายในใจของซ่งจืออวี่รู้สึกกระวนกระวายเป็นอย่างมาก ราวกับจะร้องไห้ออกมาเสียให้ได้

หลังจากใคร่ครวญอยู่สักพัก เขาก็มิกล้าปิดบังเรื่องนี้อีก ต้องนำเรื่องนี้ไปเรียนให้กับผู้อาวุโสของนิกายกระบี่สวรรค์ทราบในทันที เพราะเขามิสามารถรับผิดชอบเรื่องนี้ได้

มิเช่นนั้นเกรงว่าทั่วทั้งหลิงโจว คงจะมิมีที่ให้เขายืนได้อีกแล้ว

“การทดสอบแดนมายาเกิดปัญหา พวกเจ้ารออยู่ที่นี่ก่อน ข้าจะนำเรื่องนี้ไปเรียนผู้อาวุโสในนิกาย”

ซ่งจืออวี่เอ่ยขึ้น ก่อนจะสะบัดพัดหนึ่งครั้ง พร้อมเก็บศิลายันต์ที่เกิดรอยร้าวไปด้วย

ทว่าระหว่างที่เขาเตรียมจะหมุนกายจากไปนั้น สายตาก็ได้บังเอิญเหลือบไปเห็นเย่ฉางชิงที่กำลังซุบซิบอันใดบางอย่างอยู่กับชวี่เหวินเซี่ย

ตอนนั้นเอง จู่ ๆ สมองของเขาก็นึกถึงคำเตือนของหลวนผิงก่อนหน้านี้ขึ้นมาได้

“ศิษย์น้องซ่ง ฟังที่ข้าเตือนเจ้าบ้างเถอะ ทางที่ดีอย่าได้ไปเป็นศัตรูกับคนผู้นี้จะดีกว่า”

“อีกอย่างข้ามีลางสังหรณ์ว่า หากตั้งตัวเป็นศัตรูกับคนผู้นี้ขึ้นมา เจ้าอาจจะต้องแปดเปื้อนกับผลกรรม ที่เจ้ามิสามารถรับไหวก็เป็นได้”

‘หรือการที่ศิลายันต์แตกร้าวเช่นนี้ จะเกี่ยวข้องกับเจ้าเด็กนี่จริง ๆ ? ’

‘เป็นไปมิได้ ! ’

‘มดปลวกเช่นนี้จะมีฝีมือสูงส่งเพียงนี้ได้เยี่ยงไรกัน ! ’

‘จริงสิ ! ’

‘ก่อนหน้านี้หลวนผิงเป็นผู้ดูแลศิลายันต์มาโดยตลอด หรือว่าเขาจะเล่นลูกไม้แล้วโยนความผิดให้กับข้า ? ’

‘เป็นไปได้ ! ’

‘คุณสมบัติของข้าเหนือกว่าเขา ในการประลองศิษย์ก่อนหน้านี้ เขาเองก็พ่ายแพ้ให้แก่ข้า อีกทั้งอาจารย์ยังบอกอีกว่า มีเพียงศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้น จึงจะสามารถสืบทอดเคล็ดวิชาของเขาได้ ซึ่งในบรรดาศิษย์มากมาย ก็มีเพียงข้าเท่านั้นที่แข็งแกร่งกว่าเขา’

‘ดีจริง ๆ ! ’

‘คิดมิถึงว่าหลวนผิงที่ปกติจะทำตัวเย่อหยิ่งผู้นี้ แท้จริงแล้วจะมีแผนการที่แยบยลถึงเพียงนี้ ต่อให้ข้ากับเขาจะมาจากสำนักเดียวกัน ก็หาได้คิดถึงมิตรภาพร่วมสำนักไม่’

เมื่อคิดได้ดังนั้น แววตาของซ่งจืออวี่ก็มีประกายชั่วร้ายพาดผ่าน ก่อนแสยะยิ้มออกมา จากนั้นก็เหาะขึ้นฟ้ามุ่งหน้าไปทางส่วนลึกของนิกายกระบี่สวรรค์ในทันที

ทว่าในเวลานี้บนเขากระบี่สวรรค์ ที่อยู่ในส่วนลึกของนิกายกระบี่สวรรค์

ตำหนักพันกระบี่ที่ปกติไร้ซึ่งผู้คน บัดนี้กลับเต็มไปด้วยเหล่าผู้อาวุโสของนิกายกระบี่สวรรค์ที่มารวมตัวกัน

พวกเขาแต่ละคนมีไอพลังที่แข็งแกร่งและน่าเกรงขามเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะดวงตาลุ่มลึกและสงบนิ่งเหล่านั้น มองแค่แวบเดียว ก็อดมิได้ที่จะรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา

“ทุกท่าน ก่อนหน้านี้คงสัมผัสกันได้ใช่หรือไม่ ? ”

เหยาห้าวหยานที่มีรูปร่างค่อนข้างท้วม สวมอาภรณ์เป็นชุดผ้าแพรลายกระบี่ และนั่งอยู่ด้านบนได้กวาดตามองทุกคนก่อนจะเอ่ยขึ้น

ใช่แล้ว คนผู้นี้ก็คือประมุขของนิกายกระบี่สวรรค์ 1 ใน 4 สำนักเซียนใหญ่แห่งหลิงโจวนั้นเอง

ทันทีที่สิ้นเสียงของเหยาห้าวหยาน

ชายชรารูปร่างผอมที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก็ได้ลูบหนวดของตน พลางเอ่ยว่า “โชคชะตาในครั้งนี้เกี่ยวข้องกับอนาคตของนิกายกระบี่สวรรค์ของเรา ขณะเดียวกันก็เกี่ยวข้องกับความสำเร็จในภายภาคหน้าอีกด้วย พวกเราย่อมสัมผัสได้อยู่แล้ว”

“แต่ปัญหาก็คือ ! ”

ชายชราอีกท่านหนึ่ง ได้หลับตาลงพร้อมเอ่ยขึ้นว่า “นิกายกระบี่สวรรค์ของเราเป็น 1 ใน 4 สำนักเซียนใหญ่แห่งหลิงโจว มีบรรพจารย์หลายรุ่นได้ก้าวสู่แดนเทพบรรพกาลไปแล้วมากมาย และเกือบร้อยปีมานี้นิกายกระบี่สวรรค์ของเรายังมีอัจฉริยะมากมาย จนเจริญรุ่งเรือง”

“ทว่าหลายปีมานี้ นอกจากโชคของเราจะมิได้รับการส่งเสริมแล้ว ยังหายไปเกินครึ่งอีกด้วย ช่างน่าแปลกใจจริง ๆ ! ”

เมื่อได้ยินดังนั้นทุกคนก็สบตากัน ก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย

มินานก็มีคนเอ่ยแนะนำว่า “ท่านประมุข เรื่องของโชคนี้สำคัญใหญ่หลวง จำเป็นจะต้องไปขอคำแนะนำ จากเหล่าท่านบรรพจารย์ได้แล้ว”

เหยาห้าวหยานขมวดคิ้วเล็กน้อย และอดมิได้ที่จะเผยสีหน้าลังเลออกมา

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด