เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน 414 กฎการทดสอบใหม่

Now you are reading เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน Chapter 414 กฎการทดสอบใหม่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 414 กฎการทดสอบใหม่

“พวกเจ้าว่าการทดสอบครั้งนี้ของพวกเรามันเกิดอันใดขึ้นกันแน่ ? ”

“การทดสอบเกิดปัญหาเช่นนี้ นิกายกระบี่สวรรค์ต้องออกมาแสดงความรับผิดชอบ”

“พี่ชายท่านนี้กล่าวได้ถูกต้อง ตามหลักก่อนหน้านี้ขอเพียงสามารถผ่านการทดสอบแดนมายานี้ไปได้ ก็จะกลายเป็นศิษย์สายนอกของนิกายกระบี่สวรรค์แล้ว”

“บัดนี้ในเมื่อการทดสอบเกิดปัญหาขึ้น พวกเราสามารถออกมาจากการทดสอบแดนมายาได้ก่อนกำหนด แสดงว่าก็มีคุณสมบัติเป็นศิษย์สายนอกได้แล้วใช่หรือไม่ ? ”

“ตามหลักแล้วก็ใช่ แต่เยี่ยงไรซะพวกเราก็มาจากสำนักเล็ก ๆ และยังพึ่งพิงนิกายกระบี่สวรรค์ ดังนั้นสิทธิ์ตัดสินใจทั้งหมดก็ยังขึ้นอยู่กับนิกายกระบี่สวรรค์อยู่ดี”

“ถูกแล้ว แม้จะเป็นเช่นนั้น แต่นิกายกระบี่สวรรค์ก็ควรจะมีคำอธิบายแก่พวกเรามิใช่หรือ ? ”

“พวกเจ้าดูนั่น มีคนมาแล้ว ! ”

ระหว่างที่ทุกคนกำลังกระซิบกระซาบกันอยู่นั้น ก็ร่างสูงโปร่งร่างหนึ่งลอยลงมาจากฟ้า และปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าทุกคนอีกครา

ซึ่งผู้ที่มาก็คือซ่งจืออวี่นั่นเอง

“ทุกท่าน เนื่องจากการทดสอบก่อนหน้านี้เกิดปัญหา ดังนั้นในการทดสอบแดนมายาจึงจำเป็นจะต้องปล่อยไป” ซ่งจืออวี่กวาดตามองทุกคน พลางประกาศด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง

ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น ทุกคนพลันมีสีหน้าเปลี่ยนไป ก่อนจะหันไปมองหน้ากัน

ปล่อยไป ?

มิมีอันใดมากกว่านี้แล้วงั้นหรือ ?

นิกายกระบี่สวรรค์มิมีคำอธิบายใด ๆ ให้เลยเยี่ยงนั้นหรือ ?

ในตอนนั้นเองชวี่เหวินเซี่ยที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เย่ฉางชิง ก็มีประกายบางอย่างพาดผ่านแววตา ก่อนจะหันไปมองเย่ฉางชิง เพราะนางรู้สึกว่าการที่แดนมายาเกิดปัญหาขึ้นเช่นนี้ จะต้องเกี่ยวข้องกับศิษย์น้องเย่อย่างแน่นอน

เยี่ยงไรซะตัวตนที่แท้จริงของศิษย์น้องเย่ผู้นี้ก็น่าสะพรึงกลัวมากจริง ๆ

“ศิษย์พี่ชวี่ เหตุใดท่านถึงมองข้าด้วยสายตาเช่นนั้นเล่าขอรับ ? ”

เมื่อเย่ฉางชิงสังเกตเห็นแววตาแปลก ๆ ของชวี่เหวินเซี่ย เขาก็เอ่ยถามออกมาด้วยรอยยิ้ม

เมื่อถูกถามชวี่เหวินเซี่ยก็ฉีกยิ้มกว้างออกมา พลางเอ่ยตอบเบา ๆ ว่า “ศิษย์น้องเย่ ตอนที่เจ้าอยู่ในแดนมายา มิได้เจอสิ่งใดแปลก ๆ ใช่หรือไม่ ? ”

“จริงสิ ศิษย์พี่ชวี่เหมือนข้าจะเจออันใดแปลก ๆ จริงด้วยขอรับ”

เย่ฉางชิงกลอกตาเล็กน้อย ก่อนจะเงียบไปสักพัก แล้วจึงเอ่ยอย่างครุ่นคิดว่า “มิรู้ว่าภาพมายาของพวกท่านนั้นเป็นภาพอันใดกันบ้าง”

“แต่ภาพมายาของข้ากลับปรากฏตัวขึ้นที่ดินแดนแห่งความโกลาหลที่มีต้นไม้ปฐพีตั้งอยู่ อีกทั้งข้ายังได้พบดอกบัวดอกหนึ่งด้วยขอรับ”

ต้นไม้ปฐพี ?

ดินแดนแห่งความโกลาหล ?

ดอกบัวดอกหนึ่ง ?

เมื่อได้ยินถ้อยคำดังกล่าว ร่างอรชรของชวี่เหวินเซี่ยก็อดที่จะสั่นเทาขึ้นมามิได้ และทำอันใดมิถูก เพราะนานมาแล้วนางเคยเห็นตำราม้วนหนึ่งของท่านบรรพบุรุษ

ในตำราม้วนนั้นล้วนเป็นเรื่องที่ท่านบรรพบุรุษได้ประสบมากับตนเอง ตามที่บันทึกเอาไว้ในตำรา ท่านบรรพบุรุษที่มีตบะบารมีลึกล้ำสุดจะหยั่งถึงท่านนั้น บอกเอาไว้ว่าเคยหลงเข้าไปในแดนลับโบราณแห่งหนึ่ง และส่วนลึกที่สุดของแดนลับก็มีภาพวาดบนกำแพง เหมือนที่เย่ฉางชิงบรรยายออกมาเมื่อครู่มิมีผิดเพี้ยน

ดินแดนแห่งความโกลาหล ต้นไม้ปฐพี ดอกบัวดอกหนึ่ง

ที่สำคัญที่สุดก็คือ ท่านบรรพบุรุษที่อยู่ข้าง ๆ นางในตอนนั้น ได้ทิ้งคำถามเอาไว้ว่า

ปลายทางของวิถีเซียน ?

ดินแดนปลายทาง ?

ดินแดนสุดท้าย ?

ชวี่เหวินเซี่ยมีความเฉลียวฉลาดมาตั้งแต่เด็ก ย่อมเข้าใจได้ในทันทีว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้หมายถึงอันใด !

ทว่าตั้งแต่ไหนแต่ไรมา นางก็มิได้ปักใจเชื่อว่าจะมีดินแดนศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้อยู่จริง ๆ แต่บัดนี้กลับต่างไปแล้ว เพราะสิ่งต่าง ๆ ที่เย่ฉางชิงแสดงออกมาตอนอยู่ที่สำนักชิงหยาง ก็เพียงพอที่จะอธิบายได้แล้วว่า ตัวตนที่แท้จริงของเขานั้น จะต้องเป็นผู้ที่คนเช่นนางมิอาจแตะต้องได้อย่างแน่นอน

อีกทั้งก่อนหน้านี้ เย่ฉางชิงก็ได้เห็นภาพลวงตาเช่นนั้นด้วยตนเองมาแล้ว เพราะการทดสอบแดนมายาของนิกายกระบี่สวรรค์นั้น ความจริงแล้วได้มีการใช้ค่ายกลโบราณ ไปกระตุ้นความทรงจำภายในใจ และส่วนลึกของจิตวิญญาณของคนนั้น ๆ ทำให้ผู้ที่เข้าไปอยู่ในแดนมายา จะได้ฝึกขัดเกลาจิตใจ เพื่อที่สามารถหลุดพ้นออกมาได้ หรือว่าพ่ายแพ้และจมดิ่งลงไป

นี่ก็หมายความว่าปลายทางของวิถีเซียน ดินแดนปลายทาง ดินแดนสุดท้าย ที่ท่านบรรพบุรุษท่านนั้นอธิบายก็มีอยู่จริงน่ะสิ และเย่ฉางชิงผู้นี้ก็มาจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์เช่นนั้นจริง ๆ

เมื่อวิเคราะห์ถึงตรงนี้ แม้ชวี่เหวินเซี่ยจะมิได้เผยสีหน้าใด ๆ ออกมา ทว่าภายในใจกลับตาลปัตรไปหมด นางคิดมิถึงเลยว่า ก่อนหน้านี้นางจะประเมินตัวตนของศิษย์น้องเย่ต่ำเกินไป

ปลายทางของวิถีเซียน !

ดินแดนปลายทาง !

ดินแดนสุดท้าย !

ผู้ที่มาจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ แท้จริงแล้วจะมีอิทธิฤทธิ์มากมายเพียงใดกัน นางมิกล้าคาดเดา และคิดมิออกจริง ๆ

“ศิษย์พี่ชวี่ ท่านเป็นอันใดงั้นหรือ ? ”

เมื่อเห็นชวี่เหวินเซี่ยมีท่าทีนิ่งงันไป เย่ฉางชิงจึงอดมิได้ที่จะเอ่ยถามออกมา

วินาทีต่อมา หลังจากชวี่เหวินเซี่ยได้สติ แววตาที่มองเย่ฉางชิงกลับเต็มไปด้วยความร้อนแรง

“ศิษย์พี่ชวี่ เหตุใดท่านถึงมองข้าด้วยสายตาเช่นนี้เล่า ? ”

เย่ฉางชิงอดมิได้ที่จะรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมา พลางเอ่ยด้วยสีหน้ากลืนมิเข้าคายมิออกว่า “ท่านอย่าได้คิดอันใดกับข้าเลยนะ เพราะตอนนี้ข้ามุ่งมั่นที่จะบำเพ็ญเพียร มิมีใจจะมาคิดถึงความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงหรอกขอรับ”

“อีกอย่าง……ความจริงแล้วภายในใจของข้าก็ได้มีสตรีผู้หนึ่งอยู่แล้ว”

เมื่อได้ยินดังนั้น ชวี่เหวินเซี่ยนิ่งไป ก่อนจะกลั้นขำแทบมิไหว “ศิษย์น้องเย่ เจ้าวางใจเถอะ โบราณกล่าวเอาไว้ว่าสมภารมิกินไก่วัด ข้ามิมีทางจับเจ้ากินแน่นอน……”

เอ่ยถึงตรงนี้ ชวี่เหวินเซี่ยก็เหมือนจะนึกบางอย่างขึ้นมาได้ แววตาทั้งสองข้างเป็นประกายขึ้นมาในพริบตา “ศิษย์น้องเย่ เจ้ามีนางในดวงใจแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

เย่ฉางชิงลังเลเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้ารับ

ชวี่เหวินเซี่ยจึงยิ้มออกมา “ข้าสงสัยจริง ๆ ว่าสตรีที่ทำให้เจ้าหวั่นได้นั้น นางจะต้องเป็นสตรีที่น่าทึ่งเช่นไรกัน”

ใบหน้าของเย่ฉางชิงแดงเรื่อขึ้นน้อย ๆ และจิตใจรู้สึกว้าวุ่นขึ้นมา “ต่อไปท่านต้องมีโอกาสได้พบนางแน่”

ชวี่เหวินเซี่ยยิ้มออกมา และมิถามอันใดต่ออีก

ขณะเดียวกัน สายตาที่นางใช้มองเย่ฉางชิงก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไป

“หากมิมีสิ่งใดผิดพลาด การทดสอบแดนมายาของนิกายกระบี่สวรรค์ในครั้งนี้ บางทีอาจเป็นเพราะบังเอิญไปแตะต้องเรื่องต้องห้ามบางอย่างเข้า จึงทำให้การทดสอบแดนมายาเกิดปัญหาขึ้นกระมัง”

ชวี่เหวินเซี่ยลอบชำเลืองมองเย่ฉางชิง ก่อนจะบ่นกับตนเองในใจ

ตอนนั้นเอง เหล่าศิษย์ที่มาร่วมการทดสอบที่มีนิสัยดื้อรั้นหลายคน ต่างก็ได้เรียกร้องขอคำอธิบายจากซ่งจืออวี่ ที่กำลังใช้อำนาจบาตรใหญ่อยู่นั้น ทว่ากลับถูกซ่งจืออวี่ไล่กลับไปจนหมด ทำให้เวลานี้ทุกคนต่างตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง

จนเวลาผ่านไปครู่ใหญ่

“เมื่อมิมีความเห็นใด ๆ อีก เช่นนั้นข้าจะขอพูดอีกสักหน่อย”

จากนั้นซ่งจืออวี่ที่มีท่าทางเย็นชา กลับใช้สายตาเย้ยหยันกวาดมองทุกคน ก่อนเอ่ยขึ้นว่า “พวกเจ้าจงจำเอาไว้ให้ดี ต่อให้ตอนนี้พวกเจ้าได้เข้าเป็นศิษย์ของนิกายกระบี่สวรรค์แล้ว แต่นิกายกระบี่สวรรค์ก็ยังคงแบ่งศิษย์ออกเป็น ศิษย์สายนอกและศิษย์สายในอีกด้วย”

“อีกอย่างต่อให้พวกเจ้าได้เข้าไปเป็นศิษย์สายใน แต่ระหว่างศิษย์สายในก็ยังมีการแบ่งตามมาก่อนมาหลัง และวัดกันที่ความแข็งแกร่งอยู่ดี”

เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ ซ่งจืออวี่ก็แสร้งทำเป็นมองไปทางเย่ฉางชิงที่อยู่ท่ามกลางผู้คน พลางเอ่ยด้วยหน้าตาถมึงทึงว่า “อีกอย่างมิว่าจะเป็นนิกายกระบี่สวรรค์ หลิงโจว หรือทั่วทั้งสวรรค์บูรพา ล้วนแล้วแต่ต้องเคารพผู้ที่แข็งแกร่งกว่า ดังนั้นคำพูดของผู้แข็งแกร่งย่อมถือเป็นกฎด้วยเช่นกัน”

“ส่วนพวกเจ้าในตอนนี้ ทำได้เพียงทำตามคำสั่งของข้าเท่านั้น มิเช่นนั้นก็ออกไปซะ”

ทันทีที่สิ้นเสียง ทุกคนก็หันไปสบตากัน แต่กลับมิกล้าเอ่ยสิ่งใดออกมา

แต่สายตาที่พวกเขามองซ่งจืออวี่ในครั้งนี้ กลับมีเต็มไปด้วยความรังเกียจอย่างเห็นได้ชัด

มิกี่อึดใจต่อมา

“บัดนี้ข้าขอประกาศเรื่องการทดสอบในด่านต่อไป”

หลังได้ยินคำกล่าวนี้ มุมปากของซ่งจืออวี่หยักโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มเย้ยหยัน

“การทดสอบด่านต่อไปนั้น จะเป็นการทดสอบบันไดเมฆา”

“แต่การทดสอบในครั้งนี้จะแตกต่างไปจากเดิมก็คือ ผู้ที่สามารถขึ้นบันไดเมฆาได้ 50 ขั้นจะมีสิทธิ์เข้าเป็นศิษย์สายนอกของนิกายกระบี่สวรรค์ ส่วนผู้ที่สามารถขึ้นบันไดเมฆาได้ 60 ขั้นจะมีสิทธิ์เข้าเป็นศิษย์สายในของนิกายกระบี่สวรรค์”

“และก่อนที่จะได้เข้าเป็นศิษย์สายในนั้น จะต้องได้การอนุญาตจากผู้อาวุโสท่านใดท่านหนึ่งในสำนักเสียก่อน”

ทันทีที่สิ้นเสียงของซ่งจืออวี่ ศิษย์ที่มาเข้าร่วมการทดสอบต่างก็มีสีหน้าตื่นตระหนกขึ้นมาในทันที ก่อนจะส่งเสียงโวยวายขึ้น

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด