เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน 418 ตอนนี้เจ้าพอใจแล้วหรือยัง ?

Now you are reading เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน Chapter 418 ตอนนี้เจ้าพอใจแล้วหรือยัง ? at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 418 ตอนนี้เจ้าพอใจแล้วหรือยัง ?

‘โลกอีกใบหนึ่ง ? ’

‘ท่านพี่ ? ’

‘คนผู้นี้เป็นใครกันแน่ ! ’

‘แล้วเหตุใดถึงได้รู้ล่วงหน้าว่าข้าจะมาปรากฏตัวที่นี่ ! ’

‘หรือคนผู้นี้จะรู้เรื่องภายในจริง ๆ ? ’

‘อืม ! ’

‘มีความเป็นไปได้ ! ’

‘ช่างเถอะ ! ’

‘ตอนนี้บันไดเมฆาถูกข้าควบคุมเอาไว้แล้ว อยากจะขึ้นบันไดไปสักร้อยขั้นก็มิได้ยากอันใด’

‘เช่นนี้ข้าก็จะขึ้นบันไดเมฆาร้อยขั้น เพื่อไปพบคนผู้นี้ดูสักครั้ง’

หลังจากพูดคุยกันอยู่พักใหญ่ เย่ฉางชิงก็ได้พาศิษย์กลุ่มหนึ่งเดินขึ้นบันไดต่อ พร้อมกับความสงสัยมากมายในใจ

ทว่าตอนนั้นเอง เมื่อศิษย์ของสำนักต่าง ๆ ที่ตกอยู่ภายใต้แรงกดดันอย่างมาก พยายามมองไปที่แผ่นหลังของเย่ฉางชิงด้วยความยากลำบาก

วินาทีต่อมา พวกเขาก็ได้โวยวายขึ้นมาจนสุดเสียง

“นี่มัน ! ! ! ! ”

“เกิดอันใดขึ้นกันแน่ ทำไมพวกเขาดูเหมือนมิได้รับแรงกดดันใด ๆ เลย ! ”

“มิใช่ หรือหนึ่งในพวกเขาจะมีคนที่มีของวิเศษติดกายมาด้วย จนสามารถทำลายแรงกดดันของบันไดเมฆาได้ ? ”

“ใช่แล้ว ต้องเป็นเช่นนี้แน่ ! ”

“พวกเขากล้าโกงซึ่ง ๆ หน้าเช่นนี้ ช่างไร้จิตสำนึกสิ้นดี ! ”

“จริงด้วย เหตุใดผู้ที่รับผิดชอบการทดสอบในครั้งนี้ถึงมิจัดการอันใดเลย พวกเขาโกงกันอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ กลับมิส่งเสียงสักแอ๊ะ”

“……”

“……”

ขณะเดียวกัน ระหว่างที่ค่ายกลบันไดเมฆาทำงานอย่างเต็มที่นั้น

เวลานี้ซ่งจืออวี่ที่อยู่ด้านล่างกลับสับสนงุนงงไปหมด เพราะตอนนี้เขามิรู้ว่าบนบันไดเมฆานั้น เกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่

เพราะแผ่นหยกที่อยู่ในมือของเขา สูญเสียการควบคุมบันไดเมฆาไป ทำให้กระแสจิตของเขาถูกพลังค่ายกลบนบันไดเมฆาขับไล่ออกมาอีกด้วย

ปัญหานี้ร้ายแรงเกินไปแล้ว !

ทันทีที่ได้สติ ใบหน้าของซ่งจืออวี่พลันเต็มไปด้วยความเคร่งขรึม ขณะเดียวกันก็เกิดลางสังหรณ์ที่มิดีบางอย่างขึ้นมา

“ก่อนหน้านี้การทดสอบแดนมายาเกิดปัญหาขึ้น หรือการทดสอบบันไดเมฆาครั้งนี้ก็จะเกิดปัญหาขึ้นอีกเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“มิใช่กระมัง คงมิบังเอิญขนาดนั้นหรอก หากการทดสอบบันไดเมฆาเกิดอันใดผิดพลาดขึ้นมาอีกล่ะก็ ข้าคงแก้ตัวมิได้แล้ว ! ”

หลังจากที่เงียบอยู่สักพัก สายตาของซ่งจืออวี่เปล่งประกายแน่วแน่ ก่อนจะเดินตรงไปทางบันไดเมฆา

การทดสอบแดนมายาก่อนหน้านี้มีข้อจำกัดหลายอย่าง ดังนั้นเมื่อการทดสอบเกิดปัญหา เขาจึงมิสามารถเข้าไปตรวจสอบได้

แต่ในการทดสอบบันไดเมฆาครั้งนี้ กลับต่างกันโดยสิ้นเชิง

แม้ตามตำราบางเล่มของนิกายกระบี่สวรรค์จะบันทึกเอาไว้ว่า ด้านบนสุดของบันไดเมฆามีความลับที่ยิ่งใหญ่เกี่ยวกับนิกายกระบี่สวรรค์ซ่อนอยู่

ทว่าต่อให้ตอนนี้เขาจะมีตบะบารมีระดับแดนเทวาขั้นกลางแล้ว แต่การจะก้าวขึ้นบันไดเมฆาหนึ่งร้อยขั้นนั้น ยังห่างไกลอีกมากนัก

แน่นอนว่ามิได้มีเพียงแค่เขา เพราะแม้แต่ตบะบารมีของเหล่าท่านบรรพจารย์นิกายกระบี่สวรรค์เอง ก็มิสามารถก้าวขึ้นบันไดเมฆาร้อยขั้น เพื่อไปดูความลับที่ซ่อนอยู่ด้านบนสุดของบันไดเมฆาได้เช่นเดียวกัน

และด้วยเหตุนี้จึงทำให้การทดสอบบันไดเมฆามิมีข้อจำกัดใด ๆ

มิว่าจะเป็นผู้อาวุโสของนิกายกระบี่สวรรค์ หรือว่าศิษย์สายนอก

ในช่วงที่บันไดเมฆาเปิดอยู่ ล้วนสามารถลองปีนบันไดเมฆาได้ทั้งสิ้น

จนเวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป

ซ่งจืออวี่ก็ปรากฏตัวอยู่เหนือบันไดขั้นที่ห้าสิบอย่างรวดเร็ว

ทว่าด้านบนของเขา เย่ฉางชิงกำลังพาศิษย์หญิงกลุ่มหนึ่งเดิน ๆ หยุด ๆ ราวกับกำลังเที่ยวชมทัศนียภาพอย่างสบายใจอยู่

ทันทีที่เห็นภาพที่ดูแปลกไปเช่นนี้ ซ่งจืออวี่ก็รู้สึกราวกับเมฆหมอกที่เคยบดบังภายในใจได้เคลื่อนผ่านไป

เห็นได้ชัดว่าปัญหาที่เกิดขึ้นในการทดสอบบันไดเมฆานั้น เป็นฝีมือของเย่ฉางชิง

แสดงว่าตัวการที่ทำให้การทดสอบแดนมายาเกิดปัญหา จนศิลายันต์เกิดรอยแตกร้าวก็ต้องเป็นเย่ฉางชิงด้วยอย่างแน่นอน

เมื่อคิดได้ดังนั้น สีหน้าของซ่งจืออวี่ก็เคร่งขรึมขึ้นมาทันที เพราะการเป็นศิษย์สายในของนิกายกระบี่สวรรค์ นับเป็นเกียรติอันสูงส่ง !

ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเป็นหนึ่งในผู้รับผิดชอบการทดสอบในครั้งนี้ด้วย !

เดิมทีเขาคิดที่จะใช้อำนาจของตน เพื่อล้างแค้นให้กับสำนักสิงหยุนและหม่าเป่ากั๋ว แต่สุดท้ายกลับถูกศิษย์ที่มาเข้าร่วมการทดสอบผู้หนึ่งปั่นหัวเอาได้

นี่มันคือความอัปยศชัด ๆ !

“เย่ฉางชิง ! ” น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดดังขึ้นทันที

เมื่อได้ยินดังนั้น เย่ฉางชิงที่กำลังพูดคุยกับศิษย์หญิงกลุ่มหนึ่งอย่างออกรสออกชาติก็ชะงักลง ก่อนจะหันไปมองซ่งจืออวี่ที่อยู่ตรงขั้นบันไดด้านล่าง

“เจ้าเรียกข้างั้นหรือ ? ”

เย่ฉางชิงชี้มาที่ตนเอง พร้อมกับเอ่ยถามด้วยสีหน้าสงสัย

“เย่ฉางชิง เจ้ารู้ความผิดของตนเองหรือไม่ ? ”

ซ่งจืออวี่จ้องเขม็งไปยังเย่ฉางชิง พลางเอ่ยถามขึ้น

คิ้วเรียวยาวของเย่ฉางชิงขมวดเบา ๆ แววตามีร่องรอยของความสับสนพาดผ่าน

‘อยู่ห่างไกลขนาดนี้ก็ยังถูกจับได้อีกเยี่ยงนั้นหรือ ? ’

‘มิใช่กระมัง ! ’

‘เพราะก่อนหน้านี้ที่มีคนส่งกระแสจิตมาสอดแนม เขาก็ได้ใช้พลังของค่ายกลขับไล่กระแสจิตนั้นไปแล้วนี่นา’

‘อีกทั้งค่ายกลมากมายบนบันไดเมฆาก็หาได้หยุดทำงานไม่’

‘มิเช่นนั้นศิษย์สำนักอื่น ๆ คงมิต้องสู้สุดชีวิต เพื่อต้านทานแรงกดดันอันน่ากลัวเช่นนี้กระมัง’

หลังจากเงียบอยู่สักพัก เย่ฉางชิงก็เอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า “ท่านพี่ท่านนี้ มิทราบว่าข้ามีความผิดอันใดหรือขอรับ ? ”

“ความผิดอันใด ? ”

ซ่งจืออวี่แค่นหัวเราะออกมา พร้อมเอ่ยกับเย่ฉางชิงด้วยเสียงอันเย็นชาว่า “ทั้งการทดสอบแดนมายาก่อนหน้านี้ และการทดสอบบันไดเมฆาในตอนนี้ ล้วนเป็นฝีมือของเจ้ามิใช่หรือ ? ”

เย่ฉางชิง “……”

‘ถูกต้อง’

‘การทดสอบบันไดเมฆา ข้าดูเป็นผู้ต้องสงสัยว่าทำการโกงจริง ๆ ’

‘แต่มิได้มีข้อกำหนด ว่าห้ามช่วงชิงอำนาจในการควบคุมค่ายกลบนบันไดเมฆานี่นา ? ’

‘อีกอย่างนอกจากพวกเขาแล้ว ศิษย์คนอื่น ๆ ก็ล้วนแล้วแต่ถูกค่ายกลบนบันไดเมฆาเล่นงานอยู่ทั้งสิ้น ! ’

‘ อีกอย่างการทดสอบแดนมายาเกิดปัญหา เหตุใดถึงมาโทษข้าได้ ? ’

ตอนนั้นเอง ชวี่เหวินเซี่ยก็แค่นหัวเราะออกมา พลางก้มลงมองซ่งจืออวี่ที่ใช้อำนาจข่มเหงผู้อื่น

“นิกายกระบี่สวรรค์นั้นเป็นถึง 1 ใน 4 สำนักเซียนใหญ่แห่งหลิงโจว พวกเรามาเข้าร่วมการทดสอบ การทดสอบเกิดปัญหาขึ้น เจ้ากลับมาโยนความผิดให้กับศิษย์น้องเย่ การกระทำเช่นนี้เกรงว่าคงมิเหมาะเท่าไรกระมัง ? ”

น้ำเสียงของชวี่เหวินเซี่ยเรียบนิ่ง หาได้หวั่นเกรงไม่ “หรือเจ้าในฐานะที่เป็นผู้รับผิดชอบการทดสอบในครั้งนี้ เมื่อการทดสอบเกิดปัญหาขึ้น จึงต้องการที่จะหาแพะรับบาปเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

ทันทีที่สิ้นเสียง เหล่าศิษย์หญิงที่อยู่รอบกายเย่ฉางชิงต่างก็สบตากัน ก่อนจะทยอยเอ่ยขึ้นว่า

“อาจารย์ข้าเคยบอกว่า การทดสอบของนิกายกระบี่สวรรค์ในทุกปี ล้วนมีศิษย์สายในของนิกายกระบี่สวรรค์เป็นผู้รับผิดชอบ อีกทั้งศิษย์สายในของนิกายกระบี่สวรรค์ล้วนแล้วแต่เป็นอัจฉริยะในการฝึกเซียนที่หลายร้อยปีจะมีสักคนหนึ่ง แต่กระทำของท่านพี่ท่านนี้เหตุใดจึงดูมิเหมือนเช่นนั้นเลย ? ”

“ใช่น่ะสิ อัจฉริยะในการฝึกเซียนจริง ๆ มิเพียงต้องมีพรสวรรค์ที่สูงส่ง แต่ยังจะต้องมีสายตากว้างไกล แต่เหตุใดถึงใส่ร้ายคนอื่นง่าย ๆ เช่นนี้ได้ แย่มากจริง ๆ ! ”

“พี่สาวทุกท่าน ข้ากำลังสงสัยว่าคนผู้นี้อาจจะมิใช่ศิษย์สายในของนิกายกระบี่สวรรค์ก็เป็นได้ ! ”

“อันใดนะ มิใช่ศิษย์สายในของนิกายกระบี่สวรรค์เยี่ยงนั้นหรือ ! ”

“ใช่แล้ว มีความเป็นไปได้ หากเขาเป็นศิษย์สายในจริง ๆ เหตุใดถึงโยนความผิดให้ท่านพี่เย่ได้ ? ”

“อืม ๆ เขาต้องมิใช่ศิษย์สายในเป็นแน่ ! ”

“คิดมิถึงเลย คิดมิถึงว่าผู้อาวุโสของนิกายกระบี่สวรรค์จะดูถูกการทดสอบในครั้งนี้ถึงเพียงนี้ คาดมิถึงเลยจริง ๆ ! ”

“……”

“……”

เมื่อถูกศิษย์หญิงกลุ่มหนึ่งตั้งข้อสงสัย

“บังอาจ ! ”

ซ่งจืออวี่ก็ตะคอกออกมาเสียงเย็น ร่างพลันระเบิดพลังอันแข็งแกร่งออกมา

“พวกเจ้าเป็นใครกัน ถึงกล้ามาสงสัยฐานะของข้าห๊ะ ! ”

หากมิใช่เพราะเขาถูกค่ายกลของบันไดเมฆากดดันไปด้วย เกรงว่าคงจะลงมือไปนานแล้ว

อย่าว่าแต่พวกเขาที่เป็นเพียงศิษย์ที่เข้าร่วมการทดสอบเลย แม้แต่สำนักของพวกนางเองก็คงมิกล้าท้าทายเจตจำนงของเขาอย่างแน่นอน

และนี่ก็คือความภาคภูมิใจของศิษย์สายในนิกายกระบี่สวรรค์ !

ยิ่งไปกว่านั้น เขาซ่งจืออวี่หากเทียบกับศิษย์สายในทั้งสำนักแล้ว ก็ยังอยู่เหนือผู้อื่นอยู่ดี !

หากพูดถึงเรื่องฐานะและตำแหน่งของเขาแล้ว มิต้องบอกก็พอเข้าใจได้

มินานเหล่าศิษย์หญิงพลันมีสีหน้าเปลี่ยนไป อดมิได้ที่จะรู้สึกตื่นกลัวขึ้นมา เพราะเยี่ยงไรซะอีกฝ่ายก็เป็นถึงผู้รับผิดชอบการทดสอบศิษย์ในครั้งนี้

หากเขาใช้กลโกงทำให้พวกนางมิสามารถบำเพ็ญเพียรในนิกายกระบี่สวรรค์ได้จะทำเช่นไรดี ?

ตอนนั้นเอง ชวี่เหวินเซี่ยได้กล่าวออกมาด้วยท่าทีดูแคลนและน้ำเสียงดุดันว่า

“ท่านช่างมีอำนาจเสียเหลือเกิน คิดจะบังคับและไล่พวกเราออกไปจากที่นี่จริง ๆ เยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“อีกอย่างหรือว่านิกายกระบี่สวรรค์อันยิ่งใหญ่ ทว่าการทดสอบศิษย์กลับมีเพียงศิษย์สายในอย่างเจ้าที่มีสิทธิ์ขาดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

ซ่งจืออวี่มุมปากกระตุกขึ้นมาทันที ก่อนจะถามย้อนกลับไปว่า “ในเมื่อพวกเจ้ามิยอมรับ เช่นนั้นเหตุใดพวกเจ้าถึงก้าวขึ้นบันไดเมฆาด้วยท่าทีสบาย ๆ จนจะถึงขั้นที่หกสิบได้เล่า ? ”

“จะอธิบายเรื่องนี้เยี่ยงไร ! ”

ชวี่เหวินเซี่ยหัวเราะอย่างมิใส่ใจ ก่อนจะหันไปมองเหล่าศิษย์หญิง

วินาทีต่อมา ศิษย์หญิงเหล่านั้นก็นิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะรีบโคจรพลัง

ผ่านไปมิกี่อึดใจ

พวกนางแต่ละคนล้วนมีสีหน้าซีดเผือด บนขมับมีเหงื่อเม็ดเล็ก ๆ ผุดออกมา

ขณะเดียวกัน ก็แสร้งยืนโงนเงน ท่าทางดูเหนื่อยอ่อนเป็นอย่างมาก

ชวี่เหวินเซี่ยฉีกยิ้มออกมา พลางถามว่า “ตอนนี้เจ้าพอใจหรือยัง ? ”

ซ่งจืออวี่ดวงตาวาวโรจน์ ใบหน้าถมึงทึงขึ้นมาทันที

ทว่าจู่ ๆ กลับมีแรงกดดันอันน่ากลัวเข้าปกคลุมร่างของเขาเอาไว้ภายในพริบตา

“พวก……พวกเจ้า ! ”

ซ่งจืออวี่มองเย่ฉางชิงและชวี่เหวินเซี่ย พลางเอ่ยว่า “เรื่องในวันนี้ข้า ซ่งจืออวี่ จะจำเอาไว้ วันหน้ายังอีกยาวไกลนัก ! ”

เอ่ยเพียงเท่านั้น ประกายอันเย็นชาก็พาดผ่านแววตาของซ่งจืออวี่ ก่อนที่เขาจะหมุนกายเดินลงบันไดไปด้วยความร้อนรุ่มในอก

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด