เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน 419 จับตัว ?
ตอนที่ 419 จับตัว ?
‘คนผู้นี้เป็นศิษย์ของนิกายกระบี่สวรรค์ อีกทั้งยังรับผิดชอบการทดสอบศิษย์ในครั้งนี้ แสดงว่าจะต้องมีฐานะที่มิธรรมดาในสำนักอย่างแน่นอน’
‘วันนี้เผชิญหน้ากันเช่นนี้ วันหน้าในนิกายกระบี่สวรรค์คงมิได้อยู่กันอย่างสงบสุขเป็นแน่……’
ชวี่เหวินเซี่ยมองตามแผ่นหลังของซ่งจืออวี่ที่ไกลออกไป ก็ได้ทอดถอนใจออกมา
แต่ใบหน้าของนางกลับมิได้แสดงสีหน้าใด ๆ ออกมา มิหนำซ้ำยังมีสายตาดูแคลนอีกด้วย
หากมิใช่เพราะคุณสมบัติวิถีเซียนของนาง ด้วยภูมิหลังอันใหญ่โต หลายปีมานี้นางจะไปจมปลักอยู่ที่สำนักระดับเก้าอย่างสำนักชิงหยางทำไมกัน ? และจะมาที่นี่เพื่อเข้าร่วมการทดสอบนิกายกระบี่สวรรค์ แล้วถูกคนอื่นควบคุมเช่นนี้ได้อย่างไร ?
ยิ่งไปกว่านั้นในครั้งนี้นางยังมีเย่ฉางชิง ผู้ที่เรียกได้ว่าเป็นบุคคลที่ห้ามแตะต้องมาด้วย เมื่อคิดถึงตรงนี้ รอยยิ้มจาง ๆ ก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชวี่เหวินเซี่ย พลางพึมพำว่า
“หวังว่าเขาคงจะมิหาเรื่องใส่ตัวก็แล้วกัน มิเช่นนั้นทุกสิ่งที่เขามีอยู่ในตอนนี้ จะต้องหายไปจนหมดเป็นแน่”
ขณะเดียวกัน เย่ฉางชิงที่ก่อนหน้านี้แอบใช้พลังของค่ายกลบันไดเมฆา บีบให้ซ่งจืออวี่จากไป ก็ได้มองตามแผ่นหลังของซ่งจืออวี่ไปเช่นกัน
“คนผู้นี้ช่างน่าขันยิ่งนัก เป็นเพียงศิษย์สายในผู้หนึ่งของนิกายกระบี่สวรรค์ แต่กล้ามาข่มขู่ศิษย์พี่ชวี่เยี่ยงนั้นหรือ ? ”
เย่ฉางชิงส่ายหน้าน้อย ๆ พลางอดมิได้ที่จะทอดถอนใจออกมา “ช่างเถอะ ผู้มิรู้ย่อมมิผิด วันนี้ถือว่าเป็นการลงโทษเขาแทนศิษย์พี่ชวี่ก็แล้วกัน”
มินาน หลังจากทุกคนเห็นซ่งจืออวี่จากไปแล้ว ก็ได้ทอดถอนใจออกมา ก่อนจะพากันขึ้นบันไดขั้นต่อไป แต่เมื่อพวกเขาขึ้นมาถึงบันไดเมฆาขั้นที่หกสิบ เหล่าศิษย์หญิงก็ตัดสินใจพอเท่านี้
“ท่านพี่เย่ ท่านยังจะขึ้นไปต่ออีกหรือเจ้าคะ?”
“อืม บันไดเมฆาสูงถึงเพียงนี้ ข้าอยากจะไปดูสักหน่อย”
“ท่านพี่เย่ ตามกฎการทดสอบใหม่ของนิกายกระบี่สวรรค์ พวกเราขึ้นบันไดเมฆาถึงขั้นที่หกสิบ ก็มีคุณสมบัติเข้าเป็นศิษย์สายในได้แล้วนะเจ้าคะ”
“และจากนี้ ต้องรอดูว่าคุณสมบัติวิถีเซียนของพวกเรา จะเข้าตาของผู้อาวุโสนิกายกระบี่สวรรค์หรือไม่”
“จริงสิท่านพี่เย่ ตามข่าวลือที่พูดต่อ ๆ กันมา กล่าวกันว่าด้านบนของบันไดเมฆามีความลับอันยิ่งใหญ่ของนิกายกระบี่สวรรค์ซ่อนอยู่ ท่านคงมิได้ขึ้นไปค้นหาความลับนี้หรอกนะเจ้าคะ ? ”
“แต่ท่านมิต้องกังวลไปหรอกนะเจ้าคะ ท่านมีบุญคุณต่อพวกเรา พวกเราสาบานว่าจะมิแพร่งพรายความลับนี้ออกไปเด็ดขาด”
“ข้ามิได้ต้องการขึ้นไปเพื่อความลับอันยิ่งใหญ่อันใดนั่น เพียงแต่อยากจะขึ้นไปดูก็เท่านั้น”
“ช่างเถอะ ท่านพี่เย่ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเราก็ขอลาตรงนี้นะเจ้าคะ”
หลังจากเหล่าศิษย์หญิงบอกลาเย่ฉางชิงแล้ว เย่ฉางชิงก็เพ่งสมาธิเพื่อเปิดค่ายค่ายกลห้วงเวลา ที่ใช้ลงจากบันไดเมฆาในทันทีโดยมิลังเล
เยี่ยงไรซะตอนนี้เขาก็เป็นผู้ควบคุมบันไดเมฆาแห่งนี้แล้ว และหากเขามิเปิดค่ายกลห้วงเวลา เมื่อทุกคนขึ้นบันไดเมฆามาถึงขั้นที่หกสิบ และผ่านการทดสอบแล้ว ก็ต้องเดินลงไปอีกอยู่ดี
ที่สำคัญที่สุดก็คือเย่ฉางชิงมิอยากรบกวนคนอื่น ที่ยังทำการทดสอบตามปกติ
เวลาผ่านไปหนึ่งเคอ
หลังจากเหล่าศิษย์หญิงทยอยหายเข้าไปในค่ายกลห้วงเวลาแล้ว ชวี่เหวินเซี่ยก็ได้เหลือบตามองบันไดเมฆาที่ยื่นเข้าไปในก้อนเมฆ ก่อนจะมีประกายตาบางอย่างพาดผ่านแววตา
“ศิษย์น้องเย่ ศิษย์พี่ขอมิขึ้นไปเป็นเพื่อนเจ้าแล้วนะ” ชวี่เหวินเซี่ยเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าที่แฝงเอาไว้ด้วยรอยยิ้ม
ต้องบอกว่าวินาทีที่นางก้าวขึ้นบันไดเมฆาครบหกสิบขั้น จู่ ๆ ก็เกิดลางสังหรณ์มิดีขึ้นอย่างไร้สาเหตุ
อีกทั้งก่อนหน้าเย่ฉางชิงก็เคยบอกว่า มีเสียงบางอย่างคอยเรียกเขาอยู่ ดังนั้นความลับด้านบนของบันไดเมฆาแห่งนี้ มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเกี่ยวข้องกับเย่ฉางชิง
อีกทั้งตัวตนที่แท้จริงของเย่ฉางชิงน่ากลัวเพียงใด แม้นางจะมิสามารถจินตนาการออก แต่อย่างน้อยก็ยังพอคาดเดาได้บ้างเล็กน้อย ดังนั้นต่อจากนี้ไปคงต้องให้เย่ฉางชิงเดินขึ้นไปเพียงลำพังจะดีกว่า
เมื่อได้ยินดังนั้น เย่ฉางชิงและชวี่เหวินเซี่ยก็สบตากัน ก่อนจะพยักหน้ายิ้ม ๆ
……
……
อีกด้านหนึ่ง
ภายในตำหนักพันกระบี่
ประมุขนิกายกระบี่สวรรค์ เหยาห้าวหยาน กำลังปรึกษาหารือถึงเรื่องการทดสอบศิษย์ของนิกายกระบี่สวรรค์ในครั้งนี้ กับเหล่าผู้อาวุโสกลุ่มหนึ่งอยู่
“ท่านประมุข แม้ว่าวิธีของผู้อาวุโสสูงสุดจะสามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ก็จริง แต่ข้ามองว่าเยี่ยงไรซะก็เป็นเพียงการรับมือชั่วคราวเท่านั้น”
“ผู้อาวุโสลู่พูดถูก นิกายกระบี่สวรรค์ของเราเป็น 1 ใน 4 สำนักเซียนใหญ่แห่งหลิงโจว หากนับจากนี้ไปคัดเลือกศิษย์ จากการทดสอบบันไดเมฆาเพียงอย่างเดียว คงมิอาจเลี่ยงคำนินทาจากสำนักเซียนอื่น ๆ ได้”
“ข้าขอเสริมสักหน่อย”
“เป็นที่รู้กันดีว่าผู้บำเพ็ญเพียรนั้น พรสวรรค์เป็นสิ่งที่จำเป็นก็จริง แต่ข้ามองว่าจิตใจก็สำคัญเช่นเดียวกัน จะตัดการทดสอบแดนมายาออกเช่นนี้มิได้อย่างเด็ดขาด ! ”
“ท่านประมุข พวกเราล้วนทราบดีว่าท่านมิอยากให้เกิดความระหองระแหง ในความสัมพันธ์กับผู้อาวุโสสูงสุด แต่เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงอนาคตของนิกายกระบี่สวรรค์ของเรา ท่านจะนิ่งดูดายมิได้อย่างเด็ดขาด ! ”
“ผู้อาวุโสทุกท่าน ที่พวกเจ้าพูดมาก่อนหน้านี้ข้าเองก็ได้ไตร่ตรองดูหมดแล้ว แต่การจะซ่อมแซมศิลายันต์หาใช่เรื่องง่ายไม่ ! ”
“ดังนั้นข้าจึงวางแผนเอาไว้ว่า รอท่านบรรพจารย์ขงออกจากฌานแล้ว ค่อยไปปรึกษาหารือกับเขา แล้วตัดสินใจอีกครั้ง ! ”
“อีกทั้งผู้อาวุโสสูงสุดเป็นคนเช่นไรพวกเจ้าต่างก็รู้ดีอยู่แก่ใจ หากมิเหลืออดจริง ๆ เพื่อนิกายกระบี่สวรรค์แล้ว ข้าจึงมิอาจตัดขาดความสัมพันธ์กับเขาได้”
เหยาห้าวหยานที่นั่งอยู่ด้านบน คลึงขมับเล็กน้อย พร้อมกับถอนหายใจออกมา
วินาทีต่อมา ขณะที่ผู้อาวุโสที่ชราภาพผู้หนึ่งกำลังจะเอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง
ดวงตาเหยาห้าวหยานพลันเป็นประกายขึ้นมา ก่อนจะเอ่ยออกมาเสียก่อนว่า
“จริงสิ การทดสอบบันไดเมฆาตอนนี้คงเริ่มขึ้นแล้วกระมัง ? ”
“มิรู้ว่าการทดสอบศิษย์ในครั้งนี้เป็นเช่นไรบ้าง นิกายกระบี่สวรรค์ของเรามิมีอัจฉริยะวิถีเซียนจริง ๆ มาเกือบ 20 ปีแล้ว ! ”
เอ่ยเพียงเท่านั้น เหยาห้าวหยานก็สะบัดแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ก็มีม่านแสงเจิดจ้าพาดผ่านขึ้นกลางอากาศ
มินาน เมื่อห้วงอากาศเกิดสั่นสะเทือนจนเกิดระลอกคลื่นเป็นชั้น ๆ ขึ้นมา ภาพบรรยากาศบนบันไดเมฆาก็พลันปรากฏขึ้น
“ดูท่าศิษย์ที่เข้าร่วมการทดสอบในรอบนี้ จะมีผู้ที่มีพรสวรรค์ที่มิธรรมอยู่นะ ! ”
เหยาห้าวหยานพิจารณาหม่าเป่ากั้วเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวชื่นชมออกมา
ทว่าทันทีที่สิ้นเสียง เมื่อเห็นภาพบนบันไดเมฆาขั้นที่หกสิบ ดวงตาของเขาก็หรี่ลงในทันใด ก่อนที่จะมีสีหน้าเปลี่ยนไป
ด้านบนของหม่าเป่ากั้ว
บันไดเมฆาขั้นที่หกสิบ
มีเหล่าศิษย์หญิงกลุ่มหนึ่งกำลังเดินเข้าไปในค่ายกลห้วงเวลา เพื่อออกจากการทดสอบบันไดเมฆาแล้ว
นี่หมายความว่าพวกนางล้วนผ่านการทดสอบขั้นสุดท้ายแล้วเยี่ยงนั้นหรือ
หลังจากนี้พวกนางจะได้เข้าเป็นศิษย์สายในหรือไม่ ก็ต้องขึ้นกับเหล่าผู้อาวุโสของนิกายกระบี่สวรรค์แล้ว
‘แต่เช่นนี้มันมิถูกต้องนี่นา !’
‘ซ่งจืออวี่เพิ่งจะจากไปได้มิทันไร !’
‘การทดสอบบันไดเมฆาก็เพิ่งจะเริ่มได้มินาน เหตุใดถึงมีคนที่สามารถขึ้นไปถึงขั้นที่หกสิบได้แล้ว ?’
‘อีกทั้งยังจำนวนมากอย่างที่มิเคยมีมาก่อน ยิ่งไปกว่านั้นทั้งหมดล้วนเป็นสตรีอีกด้วย’
‘นี่มันต่างจากที่เขาคิดเอาไว้โดยสิ้นเชิง !’
‘หรือว่าซ่งจืออวี่จะใช้กลโกง ?’
‘อืม !’
‘มีความเป็นไปได้ !’
‘มิใช่สิ !’
‘ต้องเป็นเช่นนี้แน่ !’
‘เจ้าเด็กคนนี้ช่างจองหองมิเห็นใครอยู่ในสายตาบ้างเลย !’
‘มิใช่เพราะเห็นว่าตนเองเป็นศิษย์ที่ผู้อาวุโสสูงสุดเหลิ่งซินหานให้ความสำคัญหรอกหรือ ?’
‘ถึงกล้าทำอันใดตามใจตนเองเช่นนี้ แม้แต่กฎของนิกายกระบี่สวรรค์ก็ไม่อยู่ในสายตา !’
‘มิใช่สิ !’
พูดให้ถูกก็คือ เขามิเห็นข้าที่เป็นถึงประมุขของนิกายกระบี่สวรรค์อยู่ในสายตาเลยต่างหาก !
‘เหลิ่งซินหาน เจ้าจะมากไปแล้วกระมัง !’
เมื่อคิดได้ดังนั้น สีหน้าของเหยาห้าวหยานพลันเคร่งขรึมขึ้นมาในทันที ก่อนจะตบโต๊ะเสียงดัง พร้อมกับลุกขึ้นยืน
ปั้ง !
หลังจากเสียงดังสนั่นหวั่นไหว โต๊ะไม้จินสื่อตรงหน้าของเขาก็แตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ภายในพริบตา
เห็นดังนั้นเหล่าผู้อาวุโสมากมาย ที่นั่งอยู่ด้านล่างต่างก็ตกใจไปตาม ๆ กัน
นี่คือเหยาห้าวยานที่นิสัยอ่อนโยนคนนั้นจริง ๆ น่ะหรือ?
อีกอย่างเหตุใดจู่ ๆ เขาต้องโมโหถึงเพียงนี้ด้วย ?
ตอนนั้นเอง จู่ ๆ เหยาห้าวหยานก็ออกคำสั่งด้วยเสียงอันดังว่า “เด็ก ๆ ไปจับตัวเจ้าซ่งจืออวี่มาให้ข้าเดี๋ยวนี้ ! ”
จับตัว ?
อีกทั้งยังเป็นศิษย์ที่ภาคภูมิใจของผู้อาวุโสสูงสุดเหลิ่งซินหานอีกด้วย !
หรือท่านประมุขต้องการที่จะงัดข้อกับผู้อาวุโสสูงสุดงั้นหรือ ?
Comments