เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน 421 ขออภัย ข้าชอบสตรี
ตอนที่ 421 ขออภัย ข้าชอบสตรี
อีกด้านหนึ่ง
เวลาผ่านเพียงครึ่งชั่วยาม เย่ฉางชิงที่เดินเอามือไพล่หลังก็เดินขึ้นมา จนถึงบันไดเมฆาขั้นที่หนึ่งร้อย ด้วยท่าทีสบาย ๆ
ทว่าในตอนนั้นเอง เขากลับเผยสีหน้าสับสนออกมา เพราะเสียงลึกลับก่อนหน้านี้บอกเอาไว้ว่า หลังจากบันไดเมฆาขั้นที่หนึ่งร้อยจะเป็นโลกอีกใบหนึ่ง แต่เหตุใดคนผู้นั้นจึงเรียกตนเองว่าท่านพี่ ?
อีกทั้งฟังจากน้ำเสียงแล้ว คนผู้นั้นเหมือนรอเขาอยู่บนบันไดเมฆานี้มานานแล้ว
‘หรือเบื้องบนนี้จะซ่อนความลับอันใดเอาไว้ ?’
‘เหตุใดต้องเป็นข้าด้วย ?’
‘หรือข้าจะมีหน้าที่อันใดที่ต้องแบกรับเอาไว้ ?’
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ภายในใจของเย่ฉางชิงก็อดมิได้ที่จะเกิดความคิดฟุ้งซ่านขึ้นมามากมาย
อาทิเช่น นับตั้งแต่ที่เขาตื่นขึ้นมาแล้วปรากฏยังสวรรค์บูรพา บางทีก็อาจเข้าไปอยู่ในกระดานหมาก ของยอดฝีมือที่ไร้เทียมทานบางท่านแล้ว
ตั้งแต่ที่เขาได้พบนักพรตชิงอวิ๋น และได้เข้าไปบำเพ็ญเพียรที่สำนักชิงหยาง ทำให้ได้รู้แจ้งเคล็ดเทพปีศาจโบราณและภาพกระบี่ไร้สิ้นสุด จนตอนนี้ได้มาเข้าร่วมการทดสอบที่นิกายกระบี่สวรรค์
ทั้งหมดนี้ หากดูเผิน ๆ อาจมิมีความเกี่ยวข้องกัน แต่ความจริงอาจถูกจัดเตรียมเอาไว้หมดแล้ว
และการที่เขาปรากฏตัวยังบันไดเมฆาแห่งนี้ บางทีอาจจะเป็นจุดสำคัญของกระดานก็เป็นได้……
‘แต่ว่า’
‘มิใช่สิ !’
‘นี่มันต้องเป็นเนื้อเรื่องของตัวเอกนี่นา !’
‘ข้าเหมือนพระเอกเยี่ยงนั้นหรือ ?’
‘นอกจากหน้าตาดีแล้ว ยังมีอันใดอีกบ้าง ?’
‘แต่ยังมีอีกความเป็นไปได้หนึ่งก็คือ โลกที่อยู่หลังจากบันไดเมฆาขั้นที่หนึ่งร้อย สะกดมารที่ไร้เทียมทานตนหนึ่งเอาไว้ และมารที่ไร้เทียมทานตนนี้ มีความเกี่ยวข้องอันใดบางอย่างกับข้า’
‘ดังนั้นตอนที่ข้าปรากฏตัวขึ้นที่บันไดเมฆาแห่งนี้ จึงทำให้มารที่ไร้เทียมทานตนนั้นสัมผัสได้ จึงตื่นขึ้นจากการหลับใหลและต้องการให้ข้าช่วยเขาออกมา’
‘และหลังจากที่ได้พบมารที่ไร้เทียมทานตนนั้นแล้ว อีกฝ่ายก็จะคิดว่าข้ามีตบะบารมีมิพอ จึงได้ถ่ายทอดเคล็ดวิชามารที่ไร้เทียมทานให้กับข้า และกำชับข้าให้บำเพ็ญเพียรอยู่ที่นิกายกระบี่สวรรค์’
‘หลังจากที่ตบะบารมีของข้าแข็งแกร่งขึ้นแล้ว ค่อยกลับมาช่วยเขาอีกครั้ง……’
‘อืม !’
‘ความคิดนี้ค่อนข้างเป็นไปได้ ! ’
‘คงจะเป็นเช่นนี้ ! ’
‘มิใช่สิ !’
‘ต้องเป็นเช่นนี้อย่างแน่นอน !’
‘แต่เช่นนี้ภายภาคหน้า มิเท่ากับว่าข้าจะต้องเป็นศัตรูกับคนทั่วทั้งสวรรค์บูรพาหรอกหรือ ? ’
‘เช่นนี้……มันคงมิดีกระมัง !’
‘อีกอย่าง !’
‘ท่านพี่ ? ’
‘มารที่ไร้เทียมทานตนนี้ คงมิใช่พี่ชายที่พลัดพรากไปหลายปีของข้าหรอกนะ ?’
‘สวรรค์ ! ’
‘เยี่ยมจริง ๆ ! ’
เย่ฉางชิงที่หยุดไตร่ตรองครู่หนึ่ง จากนั้นก็ได้ตัดสินใจก้าวขึ้นไปต่อโดยมิลังเล
วินาทีต่อมา ขณะที่เขากำลังยกเท้าก้าวเข้าไปในโลกใบนั้น ใต้ฝ่าเท้าพลันเกิดระลอกคลื่นขึ้นมาเป็นชั้น ๆ
ขณะเดียวกัน เย่ฉางชิงก็รับรู้ได้ว่าฟ้าดินรอบกายในตอนนี้เกิดการหมุนขึ้น ทุกสิ่งรอบกายเริ่มแปรเปลี่ยนก่อนจะเลือนรางลง
มิกี่อึดใจต่อมา
เมื่อเย่ฉางชิงลืมตาเรียวยาวคู่นั้นขึ้นมาอีกครา ตรงหน้าของเขาก็มีร่างลึกลับร่างหนึ่งปรากฏขึ้น
เขาคือบุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่ง ที่สวมอาภรณ์สีม่วงปักด้วยไหมสีทอง ผมยาวสลวย ดวงตาที่สื่อความหมาย ใบหน้าคมสัน ผิวขาวละเอียด ราวกับจะเปล่งแสงออกมา
ในวินาทีที่ได้พบกับบุรุษวัยกลางคนที่ลึกลับตรงหน้าผู้นี้
เย่ฉางชิงรู้สึกราวกับกำลังฝันไป
เขามิเคยเห็นบุรุษที่มีใบหน้าหล่อเหลา และมีท่าทางโดดเด่นถึงเพียงนี้มาก่อน
หากมิใช่เพราะเขามาปรากฏตัวยังสวรรค์บูรพา ความหล่อเหลาของบุรุษตรงหน้าผู้นี้จะต้องมิมีผู้ใดเทียบเคียงได้อย่างแน่นอน
‘สง่างามและหล่อเหลาเช่นนี้ แม้เทียบกับข้าแล้วจะยังดูด้อยกว่าเล็กน้อย แต่เชื่อว่าจะต้องทำให้สตรีมากมายหลงใหลได้อย่างแน่นอน’
‘แต่เช่นนี้บางทีคนผู้นี้อาจจะเป็นพี่ชาย ที่พลัดพรากไปหลายปีของข้าจริง ๆ ก็ได้’
เย่ฉางชิงพินิจพิจารณาบุรุษวัยกลางคนตรงหน้า พลางเอ่ยกับตนเองในใจอย่างห้ามมิได้
ขณะเดียวกัน บุรุษวัยกลางคนผู้นั้นก็เผยสีหน้าแปลกใจออกมาเช่นกัน พร้อมกับมองเย่ฉางชิงด้วยสายตาประหลาดใจ
แต่มินานบนใบหน้าของเขาก็เผยรอยยิ้มมีเลศนัยออกมา
“จุ๊ ๆ เดิมคิดว่าข้า เซียวเย่ฟาน นั้นหล่อเหลาที่สุดแล้ว คิดมิถึงว่ายังมีคนที่เหนือกว่าข้าอีกหรือนี่”
เซียวเย่ฟานลูบที่ปลายคางของตนเองเบา ๆ ก่อนจะเดินสำรวจเย่ฉางชิงหนึ่งรอบ พร้อมกับเอ่ยออกมา
คิ้วเรียวยาวของเย่ฉางชิงขมวดน้อย ๆ ก่อนจะค่อย ๆ เอ่ยขึ้นว่า “ขออภัย ข้าชอบสตรี”
ทันทีที่สิ้นเสียง เซียวเย่ฟานก็ยังคงมีท่าทีราวกับมิได้ยินเสียงใด ๆ ขณะเดียวกันก็ส่ายหน้าพลางทอดถอนใจออกมามิหยุด “ใบหน้าหล่อเหลางดงาม ท่าทางสุภาพและโดดเด่นเช่นนี้ บอกได้คำเดียวว่า เยี่ยม !”
เย่ฉางชิงปรายตามองเซียวเย่ฟาน ที่ดูเหมือนจะชื่นชอบเขาด้วยความระอา พลางเอ่ยย้ำอีกครั้งว่า “ข้าชอบสตรี”
ในที่สุดเซียวเย่ฟานก็หยุดการกระทำนั้นลง เหมือนเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าตนเองนั้นเสียมารยาท
“น้องชาย ข้ามิได้มีเจตนาเป็นอื่น”
เซียวเย่ฟานยิ้มให้อย่างขออภัย “ต้องบอกว่าใบหน้าอันหล่อเหลาของน้องชาย และรัศมีที่แผ่ออกมาจากภายในนั้น ทำให้ข้าตกตะลึงจริง ๆ ”
“ท่านรู้จักข้าเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
เย่ฉางชิงสบตากับเซียวเย่ฟานเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถามออกมาตรง ๆ “หรือว่าระหว่างพวกเราสองคนมีความสัมพันธ์บางอย่าง ? ”
เซียวเย่ฟานยิ้มออกมา ก่อนจะสารภาพตามตรงว่า “เจ้ากับข้ามิได้เกี่ยวข้องใด ๆ กัน และมิเคยเจอหน้ากันมาก่อน ครั้งนี้ถือเป็นการพบหน้ากันครั้งแรก”
เย่ฉางชิงจึงอดมิได้ที่จะเอ่ยถามไปว่า “ในเมื่อมิได้เกี่ยวข้องใด ๆ กัน และมิเคยเจอหน้ากันมาก่อน เหตุใดท่านจึงเรียกตนเองราวกับเป็นพี่ชายของข้ากัน ? ”
เซียวเย่ฟานส่ายหน้าไปมา ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน “เรื่องนี้……ความจริงแล้วตอนนั้นก่อนที่ข้าจะไปจากนิกายกระบี่สวรรค์ ได้ใช้เวลาหนึ่งร้อยปีในการทำนาย”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ เซียวเย่ฟานก็หมุนกายพร้อมทอดสายตามองออกไปไกล ๆ พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ข้าเพียงแค่นึกสนุกขึ้นมา จึงได้ใช้วิชาโบราณทำนายอนาคตของนิกายกระบี่สวรรค์ ทว่ากลับบังเอิญได้ไปรู้เห็นการมีตัวตนของเจ้า”
“นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมข้าต้องทิ้งจิตวิญญาณดั้งเดิมส่วนหนึ่งเอาไว้ที่นี่ และต้องใช้หลายสิ่งหลายอย่าง ในการสร้างโลกใบเล็ก ๆ เอาไว้บนบันไดเมฆาแห่งนี้”
ทำนายอนาคต ?
จิตวิญญาณดั้งเดิม ?
โลกใบเล็ก ๆ ?
เย่ฉางชิงอดมิได้ที่จะเกิดความสงสัยขึ้นมา
‘นี่คือเรื่องจริงเยี่ยงนั้นหรือ ?’
‘คนผู้นี้เพียงทำนายการปรากฏตัวของข้าได้ จากนั้นก็ทำการสร้างโลกแห่งนี้ขึ้น เพื่อทิ้งจิตวิญญาณดั้งเดิมส่วนหนึ่งเอาไว้’
‘หรือว่าข้าจะกำความลับอันยิ่งใหญ่อันใดเอาไว้ ? ’
‘และส่งผลกระทบต่อนิกายกระบี่สวรรค์ ?’
‘แต่ทั้งหมดนี้มันเรื่องอันใดกันแน่ ?’
เย่ฉางชิงขมวดคิ้วน้อย ๆ “ทำไม ? ”
เซียวเย่ฟานโบกมือไปมาด้วยรอยยิ้ม ก่อนย้อนถามกลับว่า “น้องชาย ข้ายังมิรู้เลยว่าเจ้ามีนามว่าอันใด ? ”
เย่ฉางชิงเอ่ยตอบอย่างลังเล “เย่ฉางชิง ! ”
เซียวเย่ฟานนิ่งไปสักพัก ก่อนจะเอ่ยอย่างครุ่นคิดว่า “เย่ฉางชิง เวหานิรันดร์โกมลงดงาม เป็นชื่อที่ดี ! ”
แต่เมื่อบังเอิญเหลือบไปเห็นสายตาที่ดูแปลก ๆ ของเย่ฉางชิง เซียวเย่ฟานจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ข้ามีนามว่า เซียวเย่ฟาน นับเป็นประมุขคนแรกของนิกายกระบี่สวรรค์ก็คงจะมิผิดนัก”
เมื่อได้ยินดังนั้น เย่ฉางชิงก็ถึงกับตะลึงงันในทันที
‘คิดมิถึงว่าบุรุษลึกลับที่เรียกตนเองว่า เซียวเย่ฟาน ผู้นี้ จะเป็นประมุขคนแรกของนิกายกระบี่สวรรค์’
‘และหากเขาเข้านิกายกระบี่สวรรค์ได้แล้ว มิเท่ากับต้องเรียกขานอีกฝ่ายว่า ท่านบรรพบุรุษของท่านบรรพบุรุษของท่านบรรพบุรุษเยี่ยงนั้นหรอกหรือ ? ’
‘แต่ทำไมเหมือนมีบางอย่างมิถูกต้อง !’
‘อีกฝ่ายเรียกเขาว่าน้องชายตั้งแต่ประโยคแรก’
‘หากเขาสองคนกลายเป็นพี่น้องกันจริง ๆ นับแต่นี้ไปตัวเขาก็กลายเป็นท่านบรรพบุรุษของท่านบรรพบุรุษของนิกายกระบี่สวรรค์ไปด้วยงั้นหรือ?’
‘นี่มันดูเหลือเชื่อเกินไปกระมัง !’
‘หากเป็นเช่นนั้นจริง วันหน้ามิเท่ากับว่าข้าสามารถทำสิ่งใดในนิกายกระบี่สวรรค์ก็ได้เยี่ยงนั้นหรือ ?’
‘นี่มันอันใดกัน ?’
‘เป็นโอกาสและวาสนาของข้างั้นหรือ ?’
‘ดี !’
‘ดีมาก !’
‘ยอดไปเลย !’
ตอนนั้นเอง เซียวเย่ฟานก็ยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัย “เสี่ยวเย่1 เจ้าอยากรู้มิใช่หรือว่าเพราะอันใด ? ”
เย่ฉางชิงนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้ารับเบา ๆ
เซียวเย่ฟานเอ่ยอย่างมีลับลมคมนัยว่า “หากเจ้าตกลงสาบานเป็นพี่น้องกับข้า ข้าจะบอกทุกสิ่งทุกอย่างให้เจ้าฟัง”
สาบานเป็นพี่น้อง ?
เย่ฉางชิงนิ่งงัน ก่อนที่ใบหน้าขาวผ่องไร้ที่ติจะเผยสีหน้าสับสนขึ้นมาอย่างอดมิได้
หรือว่า !
หรือว่า !
หรือว่า !
‘หรือว่าวันนี้ ข้าจะต้องกลายเป็นบรรพบุรุษของบรรพบุรุษของนิกายกระบี่สวรรค์จริง ๆ เยี่ยงนั้นหรือ ?’
‘มิใช่กระมัง !’
‘นี่มันดูน่าเหลือเชื่อเกินไปกระมัง ! ’
‘เย่ฉางชิง เจ้ารีบตื่นเดี๋ยวนี้ !’
‘นี่มัน……จะต้องฝันอยู่อย่างแน่นอน !’
[1] เสี่ยว มีความหมายคล้ายกับคำว่าน้อง ใช้ในตอนที่ผู้พูดมีอายุมากกว่าผู้ที่ถูกพูดถึง โดยจะใช้คำว่า เสี่ยวแล้วตามด้วยแซ่ของคนที่จะกล่าวถึง เช่นในเรื่องต้องการใช้เรียกเย่ฉางชิง จึงกลายเป็น เสี่ยวเย่
Comments