เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน 422 กระบี่วิญญาณดำ ตำหนักเทพวาสนา
ตอนที่ 422 กระบี่วิญญาณดำ ตำหนักเทพวาสนา
“เสี่ยวเย่ เจ้าจะว่าเยี่ยงไร ? ”
เมื่อเห็นท่าทางอึกอักของเย่ฉางชิง เซียวเย่ฟานก็ถามย้ำอีกครั้ง
“พี่เซียว การสาบานเป็นพี่น้องเช่นนี้ จะเป็นการทำตามใจตนเองเกินไปหรือไม่ ? ”
เย่ฉางชิงนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยอย่างครุ่นคิดว่า “ท่านเป็นถึงประมุขคนแรกของนิกายกระบี่สวรรค์ หากข้าสาบานเป็นพี่น้องกับท่านแล้ว มิเท่ากับข้าต้องกลายเป็นบรรพบุรุษของทุกคนไปด้วยหรอกหรือ ? ”
“ท่านคงจะทราบดี การที่ข้ามาปรากฏตัวบนบันไดเมฆาก็เพื่อหวังที่จะผ่านการทดสอบของนิกายกระบี่สวรรค์ และวันหน้าจะได้บำเพ็ญเพียรอยู่ที่นิกายกระบี่สวรรค์”
“ยิ่งไปกว่านั้น ท่านในตอนนี้ก็เป็นเพียงจิตวิญญาณดั้งเดิมส่วนเล็ก ๆ เท่านั้น”
“เรื่องพวกนี้ข้าย่อมไตร่ตรองมาดีแล้ว”
เมื่อได้ฟังคำกล่าวเหล่านี้เซียวเย่ฟานก็หัวเราะออกมา ก่อนจะโบกมือให้อย่างมิใส่ใจแล้วเอ่ยว่า “เจ้าวางใจเถอะ หากเจ้าอยู่ที่นิกายกระบี่สวรรค์ด้วยฐานะของบรรพบุรุษรุ่นแรก เชื่อว่าด้วยกฎอันเข้มงวดของนิกายกระบี่สวรรค์ วันหน้าจะมิมีผู้ใดสามารถขัดคำสั่งของเจ้าได้”
“และถึงแม้ตอนนี้ข้าจะเป็นเพียงจิตวิญญาณดั้งเดิมส่วนเล็ก ๆ แต่หากเจ้าและข้าสาบานต่อวิถีแห่งสวรรค์ หากภายภาคหน้าเกิดอันใดขึ้น กายแท้ของข้าก็จะถูกสวรรค์ลงโทษไปด้วย ดังนั้นเรื่องนี้เจ้าจึงมิต้องเป็นกังวลไปหรอก”
เย่ฉางชิงพยักหน้ารับอย่างลังเล ก่อนจะเงยหน้าขึ้นเอ่ยกับเซียวเย่ฟานว่า
“พี่เซียว ในเมื่อท่านแน่วแน่ถึงเพียงนี้ เช่นนั้นข้าก็คงมิอาจมองข้ามความหวังดีของท่านได้อีก”
เซียวเย่ฟานพยักหน้ารับอย่างพึงพอใจ
มินานเย่ฉางชิงและเซียวเย่ฟานก็ได้ยืนอยู่ข้าง ๆ กัน สายตามองตรงไปด้านหน้า
“วันนี้ข้าเซียวเย่ฟาน ประมุขคนแรกของนิกายกระบี่สวรรค์ ขอสาบานเป็นพี่น้องกับเสี่ยวเย่ มิขอเกิดวันเดียวเดือนเดียวปีเดียวกัน แต่ขอตายวันเดียวเดือนเดียวปีเดียวกัน ขอวิถีแห่งสวรรค์จงประจักษ์ หากตระบัดสัตย์ก็ขอให้ฟ้าดินจงลงทัณฑ์”
เซียวเย่ฟานยกมือทั้งสองข้างขึ้นประสานกันเพื่อคารวะ พร้อมกับเอ่ยด้วยท่าทางเคร่งขรึม
ทว่าเมื่อเขาเอ่ยถึงประโยคที่ว่า ตายวันเดียวเดือนเดียวปีเดียวกัน
แววตาของเย่ฉางชิงก็มีประกายบางอย่างแวบผ่าน และมีท่าทีลังเลสับสนขึ้นมาในทันที
‘ประโยคนี้ทำไมรู้สึกเหมือนเป็นกับดักบางอย่าง ! ’
‘เซียวเย่ฟานผู้นี้ มิรู้ว่ามีชีวิตอยู่มานานเท่าไรแล้ว’
‘บัดนี้แม้จะดูหล่อเหลาสง่างาม ทว่าเยี่ยงไรซะก็เป็นเพียงจิตวิญญาณดั้งเดิมส่วนหนึ่งเท่านั้น’
‘ส่วนร่างจริงของเขาหากใกล้ถึงกำหนดเวลา มิเท่ากับจะพาข้าลงหลุมไปด้วยเยี่ยงนั้นหรอกหรือ ? ’
‘ที่สำคัญที่สุดก็คือผู้บำเพ็ญเพียรจะสาบานต่อวิถีแห่งสวรรค์’
‘หากผิดคำสาบานนี้ขึ้นมาจริง ๆ มิแน่อาจจะถูกลงโทษอย่างร้ายแรงก็เป็นได้’
เวลาผ่านไปหลายอึดใจ
เซียวเย่ฟานจึงหันมาเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เสี่ยวเย่ ตาเจ้าแล้ว”
เย่ฉางชิงคิดหาวิธีได้พอดี จึงพยักหน้ายิ้ม ๆ
“วันนี้ข้าเย่ฉางชิง ขอสาบานต่อวิถีสวรรค์ว่าจะขอเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับพี่เซียว นับแต่นี้ไปจะร่วมทุกข์ร่วมสุข ซื่อสัตย์ต่อกัน หากตระบัดสัตย์ขอให้ฟ้าดินจงลงทัณฑ์”
ทันทีที่สิ้นเสียง เซียวเย่ฟานก็นิ่งไป ก่อนจะยิ้มเยาะตนเองพลางเอ่ยว่า “เสี่ยวเย่ เจ้าคงได้อ่านหนังสือตอนอยู่ที่โลกมนุษย์มามิน้อยใช่หรือไม่ ? ”
เย่ฉางชิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงฝืดเฝื่อน “ท่านพี่อาจจะมิทราบ ตอนที่ข้าอยู่ด้านล่างเคยหาเลี้ยงชีพด้วยการเป็นอาจารย์ขอรับ”
“มิเลว เยี่ยมมาก”
เซียวเย่ฟานพยักหน้าเห็นด้วย พลางเอ่ยอย่างละอายแก่ใจขึ้นมาว่า “ข้าสู้เจ้ามิได้ ก่อนที่จะมาบำเพ็ญเพียร เนื่องจากที่บ้านของข้านั้นยากจน จึงมิได้มีการปลูกฝังความรู้ใด ๆ แม้แต่คำสาบานเหล่านี้ ข้าก็ไปได้ยินมาตอนที่ออกท่องโลกมนุษย์เช่นกัน”
เอ่ยถึงตรงนี้ เซียวเย่ฟานก็ได้หยิบกระบี่หยกสีดำ ที่สลักลวดลายลึกลับมากมายเล่มหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ
“เสี่ยวเย่ พวกเราสองคนพบกันครั้งแรก ข้าตั้งใจเตรียมของขวัญเอาไว้ให้เจ้า 2 ชิ้น”
เซียวเย่ฟานเอ่ยด้วยท่าทางจริงจัง “นี่คือกระบี่หยก มันมีอยู่ด้วยกันสองเล่ม หรือจะเรียกอีกอย่างว่า กระบี่หยกวิญญาณดำแม่ลูกก็ได้ กระบี่ลูกนั้นเป็นของประจำกายของประมุขนิกายกระบี่สวรรค์ ส่วนเล่มนี้คือกระบี่แม่”
“ก่อนที่ข้าจะจากนิกายกระบี่สวรรค์มา เคยทิ้งคำกล่าวเอาไว้ว่า หากศิษย์รุ่นหลังของนิกายกระบี่สวรรค์เห็นกระบี่แม่ ก็เหมือนกับเห็นตัวข้า ขอเพียงเจ้ามีกระบี่เล่มนี้อยู่ในมือ เชื่อว่ามิมีผู้ใดภายในนิกายกระบี่สวรรค์กล้าสงสัย ว่าเจ้าคือพี่น้องของข้า เซียวเย่ฟาน และมิมีผู้ใดกล้าคัดค้านคำสั่งของเจ้าอย่างแน่นอน”
เย่ฉางชิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยื่นมือไปรับกระบี่แม่เล่มนั้นมา
‘ในเมื่อพวกข้าสองคนสาบานเป็นพี่น้องกันแล้ว ท่านพี่มอบของขวัญให้ ตนที่เป็นน้องย่อมมิสามารถปฏิเสธน้ำใจนี้ได้’
‘ที่สำคัญก็คือหากมีกระบี่เล่มนี้อยู่ในมือ ก็สามารถทำให้คนของทั้งนิกายกระบี่สวรรค์เชื่อฟังคำสั่งได้แล้ว’
‘กระบี่เช่นนี้ต่อให้มิได้แฝงพลังอันใดเอาไว้ แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้คนคลุ้มคลั่งอย่างแน่นอน’
‘เยี่ยมมาก !’
‘เยี่ยมจริง ๆ !’
‘จริงสิ !’
‘ของขวัญมีสองชิ้น !’
‘เช่นนั้นของขวัญอีกชิ้นหนึ่งคืออันใดกัน ? ’
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ภายในใจของเย่ฉางชิงแม้จะเต้นโครมคราม ทว่าบนใบหน้ากลับนิ่งเฉย และยังคงมีท่าทางสงบนิ่งเช่นเคย
และเพื่อมิเป็นการทำลายบรรยากาศอันอบอุ่นเช่นนี้ เขาจึงมิได้รีบซักไซ้แต่อย่างใด
แต่เมื่อเซียวเย่ฟานเห็นภาพตรงหน้า แววตากลับมีประกายตื่นตระหนกพาดผ่านในทันที
‘สมกับเป็นคนที่ข้าใช้เวลาทำนายมาร้อยปีจริง ๆ !’
‘อาวุธเทพขั้นสูงเช่นนี้ เป็นสุดยอดของวิเศษที่สามารถสั่งการ 1 ใน 4 สำนักเซียนใหญ่แห่งหลิงโจวได้ ก็ยังมิสามารถทำให้เขาสั่นคลอนหรือรู้สึกตื่นเต้นได้ !’
‘เหลือเชื่อ !’
‘น่าเหลือเชื่อจริง ๆ !’
‘ตอนนี้ระดับจิตใจของน้องชายผู้นี้ คงสูงจนถึงระดับบริสุทธิ์ไปแล้วกระมัง ?’
‘แต่ช่างเถอะ หากเทียบกับของขวัญชิ้นต่อไปแล้ว กระบี่วิญญาณดำเล่มนี้ก็มิได้มีความสำคัญใด ๆ จริง ๆ’
“เสี่ยวเย่ กระบี่วิญญาณดำที่พี่เตรียมให้เจ้าเล่มนี้ เจ้าชอบมันหรือไม่ ? ”
เซียวเย่ฟานเอ่ยถามเย่ฉางชิงพร้อมรอยยิ้ม
คำถามนี้ ทำให้เย่ฉางชิงจึงรู้สึกตัวขึ้นมา ก่อนรีบคารวะให้ พร้อมกับเอ่ยว่า “เย่ฉางชิงขอบคุณท่านพี่ที่มอบของขวัญให้ขอรับ”
“เสี่ยวเย่น้องรัก เจ้าทำอันใดของเจ้ากัน ! ”
เซียวเย่ฟานรีบยื่นมือไปพยุง พลางเอ่ยว่า “เจ้ากับข้าตอนนี้เป็นพี่น้องร่วมสาบานกันแล้ว มิต้องเกรงใจถึงเพียงนี้หรอก”
เย่ฉางชิงนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะค่อย ๆ ยืดตัวขึ้น
เมื่อเห็นท่าทางจริงใจของเซียวเย่ฟาน ภายในใจของเย่ฉางชิงก็อดมิได้ที่จะรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา
ในโลกฝึกเซียนที่โหดร้ายใบนี้ หากมีพี่ชายเช่นนี้คอยปกป้องคุ้มครอง คงเป็นเรื่องที่โชคดีมากจริง ๆ !
ตอนนั้นเอง เซียวเย่ฟานจึงเอ่ยขึ้นอีกว่า “เสี่ยวเย่น้องรัก เจ้าดูนี่สิ่งนี้เป็นของขวัญชิ้นที่สองที่ข้าเตรียมให้เจ้า”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ เซียวเย่ฟานก็สะบัดแขนเสื้อ ห้วงอากาศตรงหน้าของคนทั้งคู่พลันสั่นสะเทือนขึ้นมาอย่างรุนแรง
ทันใดนั้น ก็เกิดเสียงดังขึ้นราวกับระฆังใบใหญ่ สนั่นหวั่นไหวไปทั่ว พลังโกลาหลจำนวนมหาศาลราวกับกลุ่มเมฆาก็ปรากฏขึ้น เป็นภาพที่ตระการตาและอัศจรรย์ยิ่งนัก
เวลาผ่านไปมิกี่อึดใจ
หลังจากลำแสงหลากสีอันเจิดจ้าสายหนึ่งพุ่งขึ้นมา พร้อมไอพลังอันปั่นป่วน
โครงร่างของตำหนักโบราณหลังหนึ่งก็ค่อย ๆ ปรากฏสู่สายตา
มินานเมื่อตำหนักสัมฤทธิ์โบราณที่ดูลึกลับ ที่อบอวลไปด้วยหมอกหลากสี และแผ่กลิ่นอายโบราณปรากฏขึ้น
เซียวเย่ฟานจึงหันไปเอ่ยอย่างภาคภูมิใจว่า “เสี่ยวเย่น้องรัก ตำหนักสัมฤทธิ์โบราณหลังนี้มีนามว่า ตำหนักเทพวาสนา ตอนนั้นข้าเข้าไปในส่วนลึกของแดนต้องห้ามของสิ่งมีชีวิตแห่งหนึ่ง และได้ต่อสู้กับผู้แข็งแกร่งเผ่าต่าง ๆ จึงได้ของสิ่งนี้กลับมาด้วย”
ทว่าในตอนนั้นเอง เย่ฉางชิงกลับเพ่งสายตาไปที่ตำหนักสัมฤทธิ์โบราณลึกลับ และน่าตื่นตระหนกหลังนั้น
พูดไปก็แปลก มิรู้เหตุใดตอนที่เย่ฉางชิงได้เห็นตำหนักสัมฤทธิ์โบราณหลังนี้ กลับเกิดความรู้สึกคุ้นเคยขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ
‘นี่มันเรื่องอันใดกัน ?’
‘หรือข้าเคยเข้าไปในตำหนักลึกลับหลังนี้มาก่อน ?’
ขณะเดียวกัน เซียวเย่ฟานก็ถอนสายตากลับมา ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้มกับเย่ฉางชิงว่า “ตำหนักเทพวาสนานี้ ภายในเต็มไปด้วยโอกาสและวาสนาอันยิ่งใหญ่ดั่งเช่นนามของมัน”
ทว่าสิ่งที่ทำให้เซียวเย่ฟานรู้สึกผิดหวัง ก็คือ สีหน้าของเย่ฉางชิงเวลานี้ยังคงเรียบนิ่งเช่นเคย และเขาเพียงแค่พยักหน้าให้เขาน้อย ๆ ก่อนจะเดินตรงไปข้างหน้า
มิกี่อึดใจต่อมา
เมื่อเย่ฉางชิงเดินมาถึงหน้าประตูของตำหนักเทพวาสนา
วินาทีต่อมา เซียวเย่ฟานพลันมีสีหน้าเปลี่ยนไป ท่าทางของเขาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก
Comments