เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน 423 ข้าให้เขามาด้วยเหตุผลอันใดนะ?

Now you are reading เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน Chapter 423 ข้าให้เขามาด้วยเหตุผลอันใดนะ? at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 423 ข้าให้เขามาด้วยเหตุผลอันใดนะ?

เมื่อเย่ฉางชิงเดินมาที่หน้าตำหนักเทพวาสนา ก็ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะใช้มือทั้งสองข้างผลักไปที่ประตูสัมฤทธิ์สองบานนั้น

วินาทีต่อมา !

แอ๊ด !

หลังจากเสียงดังแสบแก้วหูดังขึ้น ก็ได้มีคลื่นพลังพวยพุ่งออกมาในทันที

ตำหนักเทพวาสนาที่มิรู้ว่าถูกผนึกเอาไว้นานเท่าไรหลังนี้ กลับถูกเย่ฉางชิงเปิดออกได้อย่างง่ายดาย

ทันใดนั้น ภาพตรงหน้าก็ทำให้เซียวเย่ฟานรู้สึกตื่นเต้นอย่างที่มิเคยมีมาก่อน เพราะตำหนักเทพวาสนาหลังนี้ เขาต้องไปที่แดนต้องห้ามของสิ่งมีชีวิตโบราณแห่งหนึ่ง ผ่านความเป็นความตาย ต่อสู้กับผู้แข็งแกร่งเผ่าต่าง ๆ เพื่อนำมันกลับมา ด้วยความยากลำบาก

อีกทั้งตอนนั้นที่เขาก่อตั้งนิกายบนดินแดนที่ค่อนข้างห่างไกลอย่างหลิงโจว ก็เพื่อต้องการตบตาผู้คน

แต่เขากลับคิดมิถึงว่า แม้จะเสี่ยงอันตรายชิงตำหนักเทพวาสนามาได้ ทว่ากลับมิสามารถเปิดประตูได้ ตอนแรกเขาคิดว่าเป็นเพราะตบะบารมีของตนเองนั้นยังสูงส่งมิพอ ทว่าต่อมาแม้เขาจะก้าวเข้าสู่ระดับเทพพิภพในตำนานแล้ว ก็ยังคงมิสามารถเปิดประตูสัมฤทธิ์ เพื่อรับสุดยอดวาสนาภายในได้อยู่ดี

แต่บนสวรรค์บูรพา ขอเพียงก้าวสู่ระดับเทพพิภพ ก็จะต้องก้าวเข้าสู่เส้นทางโบราณ ไปยังแดนเซียนโบราณต่อ มิเช่นนั้นทุกขณะจะต้องถูกทัณฑ์สวรรค์พิฆาต และอาจทำให้ผู้แข็งแกร่งระดับเทพพิภพดับสูญได้

ด้วยเหตุนี้เขาจึงใช้เวลาถึงหนึ่งร้อยปี ในทำนายและเห็นการปรากฏตัวของเย่ฉางชิง

ขณะเดียวกัน ก็ได้ทิ้งส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณดั้งเดิม และตำหนักเทพวาสนาเอาไว้บนโลกอีกใบ ด้านบนบันไดเมฆาที่เขาสร้างขึ้น

ทว่าเวลานี้เมื่อเห็นเย่ฉางชิงสามารถเปิดตำหนักเทพวาสนาได้ ภายในใจของเซียวเย่ฟานนั้นจึงรู้สึกสับสนมากเป็นอย่างมาก !

แน่นอนว่าเขาสามารถช่วงชิงโอกาส ตอนที่เย่ฉางชิงเปิดตำหนักเทพวาสนาออก เข้าจู่โจมเย่ฉางชิงอย่างกะทันหัน จากนั้นก็ชิงสุดยอดวาสนาในตำหนักเทพวาสนาไปเสีย

ส่วนจิตวิญญาณดั้งเดิมส่วนนี้ หลังจากได้รับสุดยอดวาสนาภายในตำหนักเทพวาสนาแล้ว ก็สามารถพัฒนากลายเป็นร่างแยกร่างหนึ่งได้ จากนั้นค่อยเดินไปในเส้นทางแดนเซียนโบราณ

แต่เขากลับมิกล้าพอ !

ใช่แล้ว !

เขามิกล้า !

ตอนแรกที่เขาทำนายและเห็นการปรากฏตัวของเย่ฉางชิงนั้น

มิเพียงบนกายของเย่ฉางชิงจะปกคลุมเอาไว้ด้วยพลังแห่งโชคอันน่ากลัวแล้ว ทว่ารอบกายของเขายังเต็มไปด้วยพลังโกลาหล ซึ่งหมายความว่าบุคคลเช่นนี้ ภายภาคหน้าจะต้องได้ขึ้นไปในจุดที่สูงที่สุด ชนิดที่เขามิอาจคาดคิดได้ !

หรือความจริงแล้วคนผู้นี้แข็งแกร่งอย่างมิอาจเทียบเคียงได้ เพียงแต่ด้วยตบะบารมีของเขาในตอนนี้ยังต่ำอยู่ จึงทำให้เขามิรู้ตัวก็เท่านั้น

ดังนั้นตัวเขาที่กำลังรู้สึกหงุดหงิด ทว่ากลับทำอันใดคนผู้นี้มิได้ จึงได้ลองใคร่ครวญดูอีกที จนเกิดความคิดอันหาญกล้าอย่างหนึ่งขึ้นมา

ในเมื่อผลกรรมนี้เขามิสามารถรับไหว เช่นนั้นก็ขอดูดซับโชคบางส่วนของอีกฝ่าย โดยใช้วิธีการบางอย่างแทนก็แล้วกัน

อีกอย่าง หากอีกฝ่ายสามารถเปิดตำหนักเทพวาสนาได้จริง ขอเพียงเขาได้เห็นสักแวบหนึ่ง ก็นับว่าช่วยคลายความรู้สึกเสียใจลงไปได้บ้างแล้ว

เมื่อเวลาผ่านไปได้ประมาณหนึ่งก้านธูป

เมื่อเย่ฉางชิงค่อย ๆ ดันประตูสัมฤทธิ์ของตำหนักเทพวาสนาออก ภายในพริบตาก็มีแสงหลากสีอันเจิดจ้ามากมายส่องออกมา และระหว่างที่ประตูสัมฤทธิ์ได้ปิดลงเองอีกครั้ง แสงหลากสีมากมายเมื่อครู่ก็ค่อย ๆ หรี่ลง

ในที่สุดเซียวเย่ฟานก็ได้สติขึ้นมา

เพียงแต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกเสียดายเป็นอย่างมากก็คือ เขากลับมองภายในตำหนักเทพวาสนามิชัด ว่าแท้จริงแล้วข้างในเป็นเช่นไรกันแน่ !

“แต่ถึงแม้ว่าจะมองเห็นมิชัดว่าภายในตำหนักเทพวาสนา แท้จริงแล้วมีสุดยอดวาสนาเช่นไรซ่อนอยู่ แต่ข้าก็ควรจะพอใจได้แล้ว”

เซียวเย่ฟานขอบตาแดงก่ำ บนใบหน้ามีหยาดน้ำตารินไหล มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มฝืดเฝื่อน พลางพึมพำว่า “อีกอย่างข้าได้สาบานเป็นพี่น้องกับเสี่ยวเย่ไปแล้ว”

“ด้วยคุณสมบัติและที่มาอันลึกลับของเขาแล้ว เชื่อว่าหลังจากที่ได้รับสุดยอดวาสนาภายในตำหนักเทพวาสนาแล้ว พวกเราสองคนพี่น้องจะต้องได้พบกันที่แดนเซียนโบราณอีกครั้งเร็ว ๆ นี้เป็นแน่”

เอ่ยเพียงเท่านั้น เซียวเย่ฟานก็โบกมือให้กับประตูสัมฤทธิ์ของตำหนักเทพวาสนาที่ปิดสนิทลง เพื่อเป็นการบอกลาเย่ฉางชิง

มิกี่อึดใจต่อมา

รอบกายของเขาก็เกิดสั่นสะเทือน และมีระลอกคลื่นขึ้นเป็นชั้น ๆ จากนั้นร่างของเขาก็ค่อย ๆ เลือนรางหายไป

……

……

อีกด้านหนึ่ง

นิกายกระบี่สวรรค์

ภายในตำหนักพันกระบี่

เมื่อศิษย์หอคุมกฎโยนซ่งจืออวี่เข้าไปในตำหนักใหญ่ ราวกับสุนัขที่ตายแล้วตัวหนึ่ง

ก็พบว่าเวลานี้ท่านประมุขเหยาห้าวหยาน รวมถึงผู้อาวุโสทุกท่าน เอาแต่จ้องภาพมายาด้านบน ด้วยท่าทางเคร่งเครียดอย่างมาก

พวกเขาจึงมิกล้ารบกวน จึงหมุนกายและออกจากตำหนักใหญ่ไปทันที

จนผ่านไปได้ประมาณครึ่งชั่วยาม

หลังจากเย่ฉางชิงหายเข้าไปในกลุ่มเมฆ และมองมิเห็นแล้ว

“นานเท่าใดแล้ว คิดมิถึงว่าในที่สุดจะมีคนก้าวขึ้นบันไดเมฆา จนถึงขั้นที่หนึ่งร้อยได้สำเร็จ ! ”

เหยาห้าวหยานอดมิได้ที่จะทอดถอนใจออกมา ด้วยสีหน้าว้าวุ่นใน “เช่นนี้ก็หมายความว่าความลับอันยิ่งใหญ่ที่ถูกปิดเอาไว้มาหลายปี และครอบงำนิกายกระบี่สวรรค์มามิรู้กี่รุ่นต่อกี่รุ่น ในที่สุดก็ถูกเปิดออกแล้วสินะ”

ทันทีที่สิ้นเสียง ผู้อาวุโสกลุ่มหนึ่งก็ทยอยเอ่ยขึ้นว่า

“ท่านประมุขกล่าวถูก หากโลกบนหอเมฆาหนึ่งร้อยขั้น ซ่อนสุดยอดโอกาสและวาสนาเอาไว้ ก็นับเป็นข่าวดีสำหรับนิกายกระบี่สวรรค์ของเราเลยนะ ! ”

“ใช่แล้ว หลายพันปีมานี้นิกายกระบี่สวรรค์ของเรา ต้องตกเป็นอยู่อันดับสุดท้ายของสี่สำนักเซียนใหญ่ในหลิงโจว หลังจากความลับอันยิ่งใหญ่นี้เปิดเผยออกมา พลังของนิกายกระบี่สวรรค์จะต้องพุ่งสูงขึ้นอย่างแน่นอน”

“ทุกท่าน ข้ากลับมิคิดเช่นนั้น”

“คนผู้นี้มาเข้าร่วมการทดสอบในครั้งนี้ แสดงว่าตบะบารมีก็คงมิได้สูงส่งอันใด ดังนั้นต่อให้เขาได้รับวาสนาอันพลิกฟ้า จากโลกหลังบันไดเมฆาขั้นที่ร้อย เชื่อว่ากว่าเขาจะแข็งแกร่งขึ้นนั้น ยังต้องใช้เวลาอีกนาน”

“จริงสิ พวกเจ้าว่าคนผู้นี้จะใช่ท่านประมุขคนแรกของนิกายกระบี่สวรรค์ของเรากลับชาติมาเกิดหรือไม่ ? ”

“เพราะตามที่ตำราโบราณบันทึกเอาไว้ ความลับที่อยู่ด้านบนของบันไดเมฆาขั้นที่ร้อยเป็นสิ่งที่ท่านประมุขคนแรกทิ้งเอาไว้ และตลอดหลายร้อยปีมานี้ นิกายกระบี่สวรรค์ของเราก็เรียกได้ว่าเสื่อมโทรมลงทุกวัน โชคของนิกายของเราก็ลดลงไปมิน้อย”

“และที่สุดวันนี้ก็มีคนก้าวขึ้นบันไดเมฆาขั้นที่หนึ่งร้อยได้สำเร็จ ! ”

“ตาเฒ่าเฉา การคาดเดาของเจ้านั้นมีเหตุผลมิน้อย อีกทั้งนับตั้งแต่ครั้งแรกที่ข้าเห็นคนผู้นี้ ก็คิดว่ามีความเป็นไปได้อย่างมาก ที่คนผู้นี้จะเป็นท่านประมุขท่านแรกกลับชาติมาเกิด”

“……”

“……”

ขณะที่ทุกคนต่างสันนิฐานกันไปต่าง ๆ นานานั้น

ในที่สุดก็มีผู้อาวุโสท่านหนึ่งสังเกตเห็นซ่งจืออวี่ที่มีเลือดโซมกาย นอนกองอยู่กลางตำหนัก

“ท่านประมุข คนผู้นี้คือ……?”

ผู้อาวุโสท่านนั้นหันไปมองทางเหยาห้าวหยานที่กำลังมีสีหน้าปีติยินดี พร้อมเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย

ได้ยินดังนั้น เหยาห้าวหยานก็ได้สติขึ้นมา พร้อมกับถามอย่างสงสัยเช่นกัน “เจ้าเป็นผู้ใดกัน ? ”

ผู้ใดกันงั้นหรือ ?

เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ ซ่งจืออวี่ที่เดิมมีอาการหนักเจียนตาย ราวกับถูกทำร้ายซ้ำ ๆ อีกครั้ง

ทันใดนั้น ร่างสูงโปร่งของเขาก็กระตุกอย่างแรง พร้อมกับกระอักเลือดออกมา

‘ผู้ใดกันงั้นหรือ ?’

‘พวกเจ้าถามว่าข้าเป็นผู้ใดงั้นหรือ ?’

‘เดิมทีข้าตั้งใจจะมารายงานเรื่องการทดสอบบันไดเมฆากับตาเฒ่าอย่างพวกเจ้า แต่สุดท้ายกลับถูกพวกศิษย์หอคุมกฎที่ไร้ความรู้สึกกลุ่มนั้น รุมทำร้ายเข้าโดยมิฟังเหตุผลใด ๆ จนเจ็บหนักปางตายเช่นนี้’

‘จากนั้นก็ถูกนำมาโยนไว้ที่นี่ ทว่าตาเฒ่าอย่างพวกเจ้ากลับมิสนใจข้าเลยแม้แต่น้อย’

‘มาบัดนี้ยังมีหน้ามาถามอีกหรือว่าข้าเป็นผู้ใด ?’

‘พวกเจ้ามิได้เป็นคนสั่งการพวกไร้ความรู้สึกพวกนั้นหรอกหรือ ? ’

เมื่อคิดได้ดังนั้น ร่างของซ่งจืออวี่ก็กระตุกขึ้นมาอย่างแรง หลังจากกระอักเลือดออกมามิหยุด

ในที่สุดก็รู้สึกโมโหจนถึงขั้นหมดสติไป

“ท่านประมุข ไอพลังของคนผู้นี้เหมือนจะคุ้น ๆ นะขอรับ ”

ผู้อาวุโสท่านหนึ่งลุกขึ้นเดินสำรวจไปรอบกายซ่งจืออวี่ พลางเอ่ยอย่างครุ่นคิดว่า “อืม……เหมือนจะเป็นศิษย์สายสืบทอดของผู้อาวุโสสูงสุดผู้นั้น”

“ใช่แล้ว เป็นเขา……ซ่งจืออวี่ ! ”

ทันใดนั้นก็ได้มีผู้อาวุโสอีกท่านลุกขึ้น เดินมาตรงหน้าของซ่งจืออวี่ พลางทอดถอนใจออกมา “ศิษย์หอคุมกฎคงจะลงมือหนักไปหน่อย สภาพของเขาเช่นนี้ เกรงว่าแม้แต่ผู้อาวุโสสูงสุดก็คงจะจำมิได้กระมัง”

ได้ยินดังนั้น เหยาห้าวหยานขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางลูบหนวดของตนเองและเอ่ยถามขึ้นว่า “จริงสิ ข้าให้เขามาด้วยเหตุผลอันใดนะ ? ”

ผู้อาวุโสทุกท่าน “……”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด