เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน 428 คลื่นใต้น้ำ

Now you are reading เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน Chapter 428 คลื่นใต้น้ำ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 428 คลื่นใต้น้ำ

ขณะเดียวกัน เหล่าผู้อาวุโสของนิกายกระบี่สวรรค์ก็เหมือนจะสัมผัสได้

พวกเขาจึงส่งสายตาสื่อสารกันทันที จากนั้นก็สำแดงเคล็ดวิชาลับอย่างเงียบกริบ

ผ่านไปมิกี่อึดใจ

ดวงตาของพวกเขาทุกคนก็มีประกายบางอย่างที่ระยิบระยับ ราวกับมีสัญลักษณ์โบราณเปล่งแสงริบหรี่ออกมา

แต่เมื่อพวกเขาเงยหน้าขึ้นมองท้องนภา

วินาทีต่อมาพวกเขาแต่ละคนก็ดวงตาเบิกโพลง ท่าทางนิ่งค้างราวกับหินก็มิปาน

มิกี่อึดใจต่อมา

บางคนก็ยังคงนิ่งงัน มิสามารถดึงสติกลับมาได้

บ้างก็มีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก สายตาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ

บ้างก็ทำตาหยี ยิ้มกว้างจนหุบมิลง

เห็นดังนั้นเหยาห่าวหยานจึงได้ส่งกระแสจิตเตือนว่า “ทุกท่าน ระวังท่าทีของพวกเจ้าด้วย”

ทันทีที่สิ้นเสียง เหล่าผู้อาวุโสก็ชะงักไป ก่อนจะรีบกระแอมเล็กน้อย แล้วเก็บสีหน้าของตนเอง

“ท่านประมุข นี่มันเรื่องอันใดกันขอรับ ? ”

“ไอสีม่วงที่มีรูปร่างคล้ายมังกรยาวนับพันจั้งนั้น เหตุใดถึงมีพลังแห่งโชคมหาศาลเช่นนี้ได้ ตอนแรกข้าคิดว่าตาฝาดไปเสียด้วยซ้ำ”

“ต้องยอมรับว่า การมีโชคเช่นนี้มาหนุนนำ นิกายกระบี่สวรรค์ของเราจะต้องรุ่งเรืองไปได้อีกนับแสนปีอย่างแน่นอน”

“น่าเหลือเชื่อ ช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก ! ”

“แม้การทดสอบศิษย์ในครั้งนี้จะเกิดปัญหาขึ้นมากมาย อีกทั้งก่อนหน้านี้พลังแห่งโชคของนิกายกระบี่สวรรค์ของเรา จู่ ๆ ก็หายไปกว่าครึ่ง ทว่าไอสีม่วงที่มีรูปร่างคล้ายมังกรนี้ กลับเรียกพลังแห่งโชคที่หายไปก่อนหน้านี้กลับมาได้จนหมด”

“มิเพียงเท่านั้นการมีพลังโชคเช่นนี้หนุนนำ ต่อไปยามที่ตาเฒ่าเช่นพวกเราทะลวงระดับเชื่อว่าก็คงจะง่ายขึ้นอีกมากโข”

“……”

“……”

ระหว่างที่เหยาห้าวหยาน รวมถึงเหล่าผู้อาวุโสกำลังสื่อสารกัน ผ่านทางกระแสจิตอยู่นั้น

มิกี่อึดใจต่อมา

ภาพสุดอัศจรรย์ก็ปรากฏเกิดขึ้นอีก

เมื่อจู่ ๆ พวกเขาก็พบว่า ด้านบนศีรษะของเหล่าศิษย์หญิงที่ยืนอยู่บนจัตุรัสในเวลานี้ กำลังเกิดหมอกสีม่วงจาง ๆ ปรากฎขึ้น ก่อนจะค่อย ๆ ผสานเข้าไปภายในร่างกายของพวกนาง โดยมิทราบสาเหตุ

มิใช่ !

ถ้าจะกล่าวให้ถูก ก็คือ หมอกนั้นคงจะเป็นพลังแห่งโชค !

อีกทั้งยังเหมือนกับไอพลังสีม่วงที่มีรูปร่างคล้ายมังกร ที่ทอดตัวอยู่บนท้องนภามิมีผิด !

เมื่อเห็นภาพเช่นนี้มิเพียงแค่เหล่าผู้อาวุโสจะตกตะลึงจนอ้าปากค้างแล้ว แม้แต่เหยาห้าวหยานเองก็มีท่าทีนิ่งงันไปเช่นเดียวกัน

นี่มันเรื่องอันใดกันอีก ?

ศิษย์หญิงเหล่านี้ เหตุใดถึงมีพลังแห่งโชคหนุนนำได้ ?

เพราะเส้นทางในการฝึกเซียน พรสวรรค์ในวิถีเซียนนั้นถือว่าสำคัญอย่างมาก แต่หากตนเองนั้นโชคร้าย ต่อให้พรสวรรค์จะยอดเยี่ยมเพียงใด ก็ยังยากที่จะประสบความสำเร็จได้อยู่ดี

ในทางกลับกันหากมีพลังแห่งโชคหนุนนำ ต่อให้คุณสมบัติจะมิได้สูงส่งมากนัก แต่ตราบใดที่จิตใจยังแน่วแน่ มั่นคง ภายภาคหน้าอาจประสบความสำเร็จก็เป็นได้

แค่คิดก็รู้แล้วว่าพลังแห่งโชคนั้นสำคัญสำหรับผู้บำเพ็ญเพียรมากเพียงใด !

ทว่าศิษย์หญิงกลุ่มนี้ แม้จะมีคุณสมบัติวิถีเซียนที่มิดีเท่าไรนัก แต่เมื่อมีพลังแห่งโชคหนุนนำเช่นนี้ ความสำเร็จในภายภาคหน้าก็มีโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างแน่นอน

หลังจากนิ่งเงียบอยู่สักพัก มุมปากของเหยาห้าวหยานก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มมีเลศนัย พลางส่งกระแสจิตออกไปว่า “ผู้อาวุโสทุกท่าน ตอนนี้พวกเจ้าคงสบายใจขึ้นแล้วกระมัง ? ”

ทันทีที่สิ้นเสียง แม้เหล่าผู้อาวุโสจะยังมีสีหน้าสงสัยอยู่ แต่ก็อดมิได้ที่จะพยักหน้ารับ พร้อมรอยยิ้มแห้ง ๆ

เหยาห้าวหยานเองก็มิได้เอ่ยอันใดอีก และเขาได้เงยหน้าขึ้นมองไปยังด้านบนสุดของบันไดเมฆาที่มีเมฆปกคลุมเอาไว้อีกครั้ง จากนั้นก็ได้หมุนกายจากไป

การทดสอบศิษย์รอบนี้ยังคงดำเนินต่อไป

ส่วนเย่ฉางชิงที่ยังคงอยู่ในตำหนักเทพวาสนาด้านบนของบันไดเมฆานั้น ก็ยังคงดูดซับวาสนาภายในสระบัวอย่างต่อเนื่อง โดยเขาปรารถนาจะทะลวงตบะบารมีเป็นระดับไร้พ่ายภายในลมหายใจเดียว

ขณะเดียวกัน แคว้นเจี้ยนโจวที่อยู่ทางตอนกลางของสวรรค์บูรพา ซึ่งปกครองโดยราชวงศ์เซียนหมื่นกระบี่ที่สืบทอดมาหลายแสนปี

ภายในอาณาเขตเจี้ยนโจว

มิว่าสำนักเซียนน้อยใหญ่ ล้วนแล้วแต่ถ่ายทอดวิถีกระบี่ และอยู่ภายใต้การปกครองของราชวงศ์เซียนหมื่นกระบี่ทั้งสิ้น

ดังนั้นจึงมีคำกล่าวว่า สวรรค์บูรพา เจี้ยนโจวอันเป็นหนึ่งในสามพันแคว้น เป็นโลกของผู้บำเพ็ญเพียรกระบี่อย่างแท้จริง

……

……

ภายในเจี้ยนโจว

ดินแดนบรรพบุรุษของราชวงศ์เซียนหมื่นกระบี่

หน้าตำหนักโบราณที่ลอยอยู่เหนือสิ่งก่อสร้างเก่าแก่มากมาย โดยรอบมีป้ายทรงกระบี่ลอยอยู่

ชายชราสวมเสื้อผ้าป่านที่มีผมสีดอกเลาและหนวดยาวรุงรังผู้หนึ่ง กำลังนั่งสมาธิอยู่กลางอากาศด้านหน้าตำหนัก

ชายชรามีร่างกายสูบผอม ดวงตาลึกโบ๋ทว่าปิดสนิท ไร้ซึ่งไอพลังใด ๆ แผ่ออกมาจากร่าง ราวกับซากศพโบราณที่มีเพียงหนังหุ้มกระดูกอยู่เท่านั้น ดูแปลกตาทว่าชวนให้ขนลุกยิ่งนัก

ขณะเดียวกัน ด้านหน้าของชายชรายังมีภาพอักษรพู่กันภาพหนึ่งลอยอยู่

เนื้อหาในภาพอักษรพู่กันเป็นกวีบทหนึ่ง

แต่บนตัวอักษรทุกตัว ทุกเส้น ล้วนแฝงไว้ด้วยเจตนาแท้จริงของกระบี่มิสิ้นสุด

ขณะเดียวกัน บนอักษรพู่กันยังมีไอพลังวิถีกระบี่พรั่งพรูออกมามิหยุดอีกด้วย

หากเย่ฉางชิงอยู่ตรงนี้ด้วยล่ะก็ เชื่อว่าจะต้องจำได้ทันทีว่าภาพอักษรพู่กันภาพนี้ แท้จริงแล้วเป็นฝีมือของผู้ใด !

ใช่แล้ว !

ภาพอักษรพู่กันภาพนี้เป็นของเย่ฉางชิง เมื่อตอนอยู่ที่โลกเบื้องล่างได้มอบให้แก่ซือถูเจิ้นผิงนั่นเอง

เวลานี้ชายชรารูปร่างซูบผอมได้ส่ายหน้าไปมา ก่อนจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้น

ทว่าในวินาทีที่เขาลืมตาขึ้นมานั้น ไอกระบี่อันน่าสะพรึงกลัวสองสาย พลันสาดส่องออกมา ทำลายความว่างเปล่าตรงหน้าทันที

“ผู้ที่เป็นคนเขียนภาพอักษรพู่กันภาพนี้ มีความแตกฉานในวิถีกระบี่ในระดับใดกัน แม้ข้าจะสามารถรู้แจ้งจิตแท้สองชนิดในภาพนี้ได้ แต่กลับมิสามารถเข้าใจเจตนาที่แท้จริงของกระบี่ได้เลย ช่างน่ากลัวจริง ๆ ! ”

“อีกอย่าง หญ้าต้นเดียวก็ฟันตะวัน จันทรา และดวงดาวได้ ที่เจ้าหนุ่มคนนั้นเอ่ยถึง เป็นระดับสูงสุดของวิถีกระบี่จริง ๆ น่ะหรือ ? ”

ชายชราเพ่งมองไปยังภาพอักษรพู่กันตรงหน้า พลางอดที่จะครุ่นคิดมิได้

ทันทีที่สิ้นเสียง ชายชราร่างผอมที่สวมชุดผ้าแพร ศีรษะขาวโพลนผู้หนึ่งก็ปรากฏกายขึ้นตรงเชิงบันได

“ท่านบรรพบุรุษหลิงโจวมีข่าวแจ้งมาว่า หากมิมีสิ่งใดผิดพลาด น่าจะเป็นข่าวของตำหนักเทพวาสนาขอรับ”

ชายชราร่างผอมโค้งคำนับลง พลางเอ่ยขึ้นอย่างนอบน้อม

“หลิงโจว ? ”

ผู้เฒ่ารูปร่างซูบผอมหรี่ตาลง น้ำเสียงแหบแห้ง “มิน่าเล่าตามหามานานถึงเพียงนี้ กลับมิพบข่าวคราวเลยแม้แต่น้อย คิดมิถึงว่าเซียวเย่ฟานตอนนั้นจะข้ามมหาสมุทรแท้จริง เพื่อนำตำหนักเทพวาสนาไปซ่อนไว้ยังที่ห่างไกลอย่างหลิงโจวได้”

“แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้นก็ยังถูกข้าตามจนเจออยู่ดี ขอเพียงได้ตำหนักเทพวาสนามาครอง ข้าก็จะมีโอกาสก้าวสู่เส้นทางโบราณ เพื่อขึ้นไปยังแดนเซียนโบราณได้แล้ว”

ชายชราร่างผอมค่อย ๆ เอ่ยขึ้นว่า “ท่านบรรพบุรุษ ท่านสะกดตบะบารมีเอาไว้นานถึงเพียงนี้ ทว่าภายในมหาสมุทรแท้จริงมีอันตรายซุกซ่อนอยู่มากมาย หากมิระวังท่านอาจจะมิสามารถสะกดตบะบารมีเอาไว้ได้อีกนะขอรับ”

“มิเพียงเท่านั้น ภายในมหาสมุทรแท้จริงหลักการเต๋าต่าง ๆ ล้วนโกลาหลไปหมด หากไปกระตุ้นทัณฑ์สวรรค์พิฆาตเข้า อีกทั้งยังจะถูกโจมตีจากพลังเต๋าอันโกลาหลนี่อีก ถึงตอนนั้นท่านจะตกอยู่ในอันตราย อย่างมิเคยพบมาก่อนได้นะขอรับ ! ”

ผู้เฒ่ารูปร่างซูบผอมเหลือบมองภาพอักษรพู่กันที่ลอยอยู่ตรงหน้า ก่อนจะแค่นหัวเราะออกมา แล้วเอ่ยอย่างมั่นใจว่า “หากเป็นเมื่อก่อนข้าอาจจะลังเลก็จริง แต่ตอนนี้ข้ามีสุดยอดสมบัติเซียนเช่นนี้ ต่อให้เป็นทัณฑ์สวรรค์พิฆาตแล้วจะเยี่ยงไรเล่า ? ”

“อีกอย่าง ! ”

เอ่ยถึงตรงนี้ผู้เฒ่ารูปร่างซูบผอมก็หรี่ตาลง พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงอันเย็นชาว่า “ตอนนั้นเพื่อจะชิงตำหนักเทพวาสนา ทั้งเผ่าและสำนักต่าง ๆ เรียกได้ว่าบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก และมีหลายคนที่ก่อนตายจิตใจมิอาจปล่อยวางได้ จึงได้ประทับจิตวิญญาณของตนลงไปบนตำหนักเทพวาสนา”

“บัดนี้เมื่อตำหนักเทพวาสนาปรากฏขึ้นอีกครั้ง นั่นหมายความว่าเผ่าต่าง ๆ ก็คงจะรับรู้ได้เช่นกัน ดังนั้นข้าจึงจำเป็นจะต้องไปชิงตำหนักเทพวาสนาด้วยตนเอง”

ชายชราร่างผอมรู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมาในทันที

“เจ้าไปเตรียมตัวเถอะ”

ผู้เฒ่ารูปร่างซูบผอมโบกมือไปมา “ตอนนี้แม้ข้าจะมีสุดยอดสมบัติเซียนข้างกาย แต่ในมหาสมุทรทะเลแท้จริงมีการเปลี่ยนแปลงมากมาย และต้องใช้เวลาหลายปีจึงจะสามารถข้ามไปถึงอีกฝั่งได้”

ชายชราร่างผอมโค้งลงคำนับอีกครั้ง ก่อนจะหายตัวไป

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด