เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน 431 ทาบทามหนานกงเสวียนจี

Now you are reading เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน Chapter 431 ทาบทามหนานกงเสวียนจี at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 431 ทาบทามหนานกงเสวียนจี

เสวียนจี ?

หนานกงเสวียนจี ?

เพียงแค่ได้ยินชื่อเหล่านี้

ขงซิงเจี้ยนก็ถึงกับนิ่งงัน และประกายเย็นชาได้พาดผ่านแววตาในทันที

“ยังมิต้องพูดถึงว่าข่าวนี้เชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหน แต่เพียงแค่นามที่เอ่ยออกมาก็ทำให้ข้าอยากจะไปสังหารคนผู้นี้เสียแล้ว”

ขงซิงเจี้ยนแค่นเสียงเบา ๆ ก่อนจะปรายตามองเหยาห้าวหยานและเอ่ยขึ้น

“ในเมื่อคนผู้นี้รู้แจ้งวิถีแห่งหมาก เช่นนั้นก็จำเป็นจะต้องไปทาบทามมา”

หนิงซู่ซู่นิ่งเงียบอยู่สักพัก ก็ได้เอ่ยกับขงซิงเจี้ยนว่า “ดังนั้นเจ้าจงไปเมืองหลานซีเพื่อพบคนผู้นี้ด้วยตนเองสักครั้งเถอะ”

ขงซิงเจี้ยนชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจออกมา “ก็ได้ ข้าจะไปเมืองหลานซีพบคนผู้นี้ด้วยตัวข้าเอง”

สิ้นเสียง ขงซิงเจี้ยนก็ทะยานขึ้นท้องฟ้าไปทันที

ระหว่างที่ฟ้าค่อย ๆ มืดลง

ขงซิงเจี้ยนที่เก็บซ่อนไอพลังเอาไว้ ก็ได้ปรากฏตัวขึ้นที่ด้านนอกเมืองหลานซี

และในตอนนี้บุรุษวัยกลางคนร่างกายกำยำ สวมอาภรณ์หรูหราผู้หนึ่งก็ได้เดินเข้ามาต้อนรับ

“ศิษย์เถาคุนคารวะท่านบรรพจารย์ขอรับ”

ผู้ที่มา ก็คือ เจ้าเมืองหลานซี

เถาคุนผู้ที่เคยบำเพ็ญเพียรเป็นศิษย์สายในมาก่อน ช่วงระยะเวลาหนึ่ง

หลังจากที่ได้รับข่าวจากนิกายกระบี่สวรรค์ เขาก็ได้มายื่นรอต้อนรับขงซิงเจี้ยนอยู่ที่หน้าประตูเมืองเพียงลำพัง

ขงซิงเจี้ยนมีใบหน้าเรียบเฉย ก่อนปรายตามองเถาคุนเล็กน้อยเท่านั้น

“หนานกงเสวียนจีผู้นั้น ยังอยู่ภายในเมืองหลานซีหรือไม่ ? ”

ขงซิงเจี้ยนเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“เรียนท่านบรรพจารย์ ยังอยู่ในเมืองหลานซีขอรับ”

เถาคุนตอบกลับด้วยความนอบน้อม “เดิมทีก่อนหน้านี้ศิษย์คิดจะไปทาบทามคนผู้นี้ ทว่าคนผู้นี้หาได้เข้าใจกฎของหลิงโจวไม่ ทั้งยังโอ้อวดว่าหากมีคนสามารถเอาชนะหมากของเขาได้ครึ่งแต้ม เขาถึงจะยอมเข้าไปอยู่สำนักของอีกฝ่าย”

ขงซิงเจี้ยนหัวเราะเสียงเย็น พลางเอ่ยอย่างมิแยแสว่า “หลายปีก่อนข้าก็เคยศึกษาวิถีหมากล้อมมาช่วงหนึ่ง วันนี้ข้าจะดูสิว่าความแตกฉานในวิถีหมากของคนผู้นี้ จะเก่งกาจเพียงใดกัน”

เอ่ยเพียงเท่านั้นขงซิงเจี้ยนก็เดินตามเถาคุนเข้าประตูเมืองหลานซีไป

ผ่านไปครึ่งชั่วยาม

ทั้งสองก็เดินมาถึงหน้าหอสุราแห่งหนึ่ง ที่บัดนี้ยังคงแน่นขนัดไปด้วยผู้คน

“ท่านบรรพจารย์ หนานกงเสวียนจีผู้นั้น เวลานี้อยู่ที่ชั้นสองของหอสุราขอรับ”

เถาคุนส่งกระแสจิตไปว่า “ต้องยอมรับว่าความแตกฉานในวิถีแห่งหมากล้อมของคนผู้นี้สูงมากจริง ๆ ก่อนหน้านี้แขกหลายคนของจวนเจ้าเมืองได้มาประลองฝีมือกับเขา ทว่ากลับวางได้มิเกินสิบตัวก็ล้วนแต่พ่ายแพ้ทั้งสิ้น”

“เวลานี้แม้ว่าภายในหอสุราจะมีผู้คนอยู่แน่นขนัด แต่ผ่านไปหลายชั่วยามแล้ว กลับมิมีผู้ใดขึ้นไปท้าดวลกับเขาอีก แม้แต่คนเดียวขอรับ”

ขงซิงเจี้ยนมิได้แสดงสีหน้าใด ๆ ออกมา เพียงแค่พยักหน้ารับรู้เท่านั้น

หลังจากนั้น ด้วยการนำทางของเถาคุน

ขงซิงเจี้ยนที่มีท่าทางราวกับเซียนผู้สูงส่งก็ได้เดินเอามือไพล่หลังเข้าไปภายในหอสุรา ที่มีขนาดมิใหญ่มากนักแห่งหนึ่งอย่างมิรีบร้อน

ขณะเดียวกันผู้คนทั้งในและนอกหอสุราเมื่อเห็นขงซิงเจี้ยนเดินเข้ามา ต่างก็หลีกทางให้ด้วยความสนใจ แต่เพราะวันนี้พวกเขาต่างเห็นผู้เฒ่าท่าทางราวกับเซียนผู้สูงส่งอย่างขงซิงเจี้ยนมามากแล้ว

ดังนั้นจึงมิได้ตื่นตระหนกใด ๆ

จนเวลาผ่านไปหนึ่งเคอ เมื่อขงซิงเจี้ยนและเถาคุนปรากฏตัวขึ้น ที่หัวบันไดชั้นสอง

ก็พบว่ามีบุรุษหนุ่มผู้มีใบหน้าชวนมอง สวมชุดบัณฑิตผู้หนึ่ง กำลังยืนเอามือไพล่หลังอยู่ที่หน้าต่าง

ส่วนด้านหลังของเขา มีกระดานหมากล้อมกระดานหนึ่งวางอยู่

“ตอนอยู่โลกเบื้องล่าง หากมิใช่เพราะได้พบยอดฝีมือที่ไร้เทียมทานบนเส้นทางวิถีแห่งหมากเช่นท่านเย่ ข้าจึงสามารถเอาชนะได้ทุกคน บัดนี้เมื่อขึ้นมายังโลกเบื้องบนก็ยังยากที่จะหาคู่ต่อสู้ได้อีก”

“เฮ้อ มิรู้ว่าตอนนี้ท่านเย่จะไปอยู่ส่วนใดของสวรรค์บูรพา หากมีโอกาสก็หวังว่าจะได้พบเขาอีกสักครั้ง ส่วนการจะขอเป็นศิษย์นั้น เกรงว่าคง……”

เอ่ยเพียงเท่านั้น บุรุษหนุ่มก็เหมือนสัมผัสได้ถึงบางอย่าง จึงหันกลับไปมอง

ขณะเดียวกัน เมื่อได้เห็นบุรุษหนุ่มนามว่าหนานกงเสวียนจีด้วยตาตนเอง

ขงซิงเจี้ยนก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างอดมิได้ ก่อนจะเผยท่าทางประหลาดใจออกมา

คนผู้นี้แม้จะเพิ่งขึ้นมาเบื้องบน แต่กลับมีตบะบารมีระดับมหายานแล้ว

มิเพียงเท่านั้นบนร่างของคนผู้นี้ ยังแผ่ไอพลังหลักเต๋าออกมาอีกด้วย

มิธรรมดาจริง ๆ !

ตอนนั้นเอง หนานกงเสวียนจีจึงเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาก่อนว่า “ท่านทั้งสองต้องการประลองหมากล้อมกับข้าใช่หรือไม่?”

เถาคุนกำลังจะเอ่ยอธิบาย แต่กลับถูกขงซิงเจี้ยนชิงเอ่ยขึ้นเสียก่อน พร้อมกับหัวเราะออกมา “ได้ยินว่าเจ้ามีความแตกฉานในวิถีหมากที่มิธรรมดา ข้าจึงได้ดั้นด้นมาเพื่อขอคำชี้แนะ”

หนานกงเสวียนจียิ้มออกมาน้อย ๆ ก่อนจะเอ่ยเชื้อเชิญ “เชิญนั่ง”

จากนั้นทั้งสองก็ได้นั่งลงเผชิญหน้ากัน ส่วนเถาคุนนั้นยืนอยู่ทางด้านหลังขงซิงเจี้ยน พลางเหลือบมองหนานกงเสวียนจีอยู่เป็นระยะ

“ท่านต้องการทายหมากเพื่อเดินก่อนหรือไม่ ? ”

หลังจากนั่งลงแล้ว หนานกงเสวียนจีก็ได้เอ่ยถามขงซิงเจี้ยนขึ้นมา

‘ทายหมากเพื่อเดินก่อน ? ’

‘ทายหมากเพื่อเดินก่อนอันใดกัน ! ’

‘มิใช่ประลองหมากกันหรอกหรือ ? ’

‘เจ้าจะมาสนใจเรื่องเล็กน้อยพวกนี้ทำไมกัน ! ’

‘ดูท่าก่อนหน้านี้ข้าคงคาดหวังในตัวเจ้าสูงเกินไปซะแล้ว ! ’

ขงซิงเจี้ยนปรายตามองหนานกงเสวียนจีเล็กน้อย ก่อนจะหยิบกล่องใส่หมากดำขึ้นมา

“เจ้าเด็กกว่า เจ้าเดินก่อนเถอะ”

ขงซิงเจี้ยนแสร้งเอ่ยออกมาราวกับผู้สูงส่ง

หนานกงเสวียนจีนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนที่มุมปากจะยกขึ้นเป็นรอยยิ้มมีเลศนัย

เขาเองก็มิได้ปฏิเสธ จากนั้นก็ใช้สองนิ้วคีบหมากขาวขึ้นมาหนึ่งตัว ก่อนจะวางลงไปบนกระดาน

ขงซิงเจี้ยนเหลือบมองตำแหน่งที่หนานกงเสวียนจีวางหมาก จากนั้นก็วางหมากของตนเองลงไปทันที โดยมิลังเล

จนเมื่อหนานกงเสวียนจีวางหมากตัวที่ห้า ก็ได้เงยหน้าขึ้นมองขงซิงเจี้ยน ก่อนจะเอ่ยถามตามตรงว่า “ผู้อาวุโสคงมิได้บำเพ็ญเพียรวิถีแห่งหมากกระมัง ? ”

ขงซิงเจี้ยนวางหมากอีกหนึ่งตัว แล้วจึงแสร้งเอ่ยออกไปว่า “ทำไมงั้นหรือ ? ”

หนานกงเสวียนจีส่ายหน้าไปมา พร้อมกับเอ่ยเรียบ ๆ ว่า “เพราะท่านแพ้แล้ว”

ห๊ะ ?

ขงซิงเจี้ยนมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ก่อนจะหรี่ตาลงและพิจารณาการเดินของหมากของทั้งสองฝ่าย บนกระดานอย่างละเอียดอีกครั้ง

เวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป

ขงซิงเจี้ยนก็กะพริบตาปริบ ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างมิเข้าใจ “ข้าแพ้เจ้าตรงไหนกัน ? ”

หนานกงเสวียนจีหัวเราะออกมา แล้วจึงค่อย ๆ วางหมากตัวที่หกลงไป

ในตอนนั้นเอง ขงซิงเจี้ยนถึงกับชะงักไป ก่อนที่จะเผยสีหน้ามิสู้ดีออกมา

นี่มัน ! ! !

ความแตกฉานในวิถีหมากล้อมของเด็กคนนี้สูงส่งเกินไปแล้ว !

ข้าวางหมากได้เพียงแค่ห้าตัว เขาก็สามารถมองรูปแบบการเดินหมากของข้าออก และบีบข้าจนตายได้แล้ว

น่ากลัว !

ช่างน่ากลัวยิ่งนัก !

หลังจากนิ่งเงียบอยู่สักพัก ขงซิงเจี้ยนก็วางหมากที่อยู่ในมือกลับลงกล่องอย่างเงียบ ๆ ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน “ถูกเจ้ามองออกเสียแล้ว ความจริงแล้วข้าบำเพ็ญเพียรวิถีกระบี่ หาใช่วิถีหมากไม่”

หนานกงเสวียนจึงเอ่ยออกมาตรง ๆ อย่างมิอ้อมค้อมใด ๆ อีก “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เชิญท่านทั้งสองกลับไปเถอะ”

ได้ยินดังนั้นเถาคุนที่ยืนอยู่ด้านหลังขงซิงเจี้ยน พลันคำรามก้องด้วยความโมโห “บังอาจ เจ้ารู้หรือไม่ว่าผู้อาวุโสที่นั่งอยู่หน้าเจ้าท่านนี้เป็นผู้ใดกัน ?”

“พ่อหนุ่ม ต้องยอมรับว่าความแตกฉานในวิถีหมากของเจ้านั้นช่างน่าประทับใจมากจริง ๆ ”

ขงซิงเจี้ยนโบกมือขัดเถาคุน ก่อนจะเอ่ยกับหนานกงเสวียนจี “หากเจ้าตกลงแล้วล่ะก็ ข้าสามารถให้เจ้าเข้านิกายกระบี่สวรรค์ของเรา ในฐานะแขกอาวุโสได้นะ”

ทันทีที่สิ้นเสียง เถาคุนก็มีสีหน้าตื่นตกใจ ท่าทางเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก เพราะที่ผ่านมาน้อยมากที่นิกายกระบี่สวรรค์จะมีแขกอาวุโส และหากได้เป็นแขกอาวุโสของนิกายกระบี่สวรรค์แล้ว

ตำแหน่งและอำนาจนั้นเทียบได้กับผู้อาวุโสสายในเลยทีเดียว

ยิ่งไปกว่านั้นท่านบรรพจารย์ยังเป็นผู้ที่เชื้อเชิญด้วยตนเองอีกด้วย

ทว่าหนานกงเสวียนจีกลับเอ่ยอย่างมิแยแสว่า “มิทราบว่านิกายกระบี่สวรรค์มียอดฝีมือที่บำเพ็ญเพียรวิถีแห่งหมากหรือไม่ ? ”

ขงซิงเจี้ยนยิ้มอย่างมีเลศนัย แล้วค่อย ๆ เอ่ยออกมาว่า “ศิษย์พี่ของข้าเดิมมีตบะบารมีระดับเซียนขั้นกลาง แต่บัดนี้กลับตัดทอนวิถีกระบี่ เปลี่ยนไปบำเพ็ญเพียรวิถีแห่งหมาก”

‘ระดับเซียน ? ’

‘คือระดับอันใดกัน ? ’

‘คงสูงกว่าระดับมหายานกระมัง ? ’

‘ดูท่านิกายกระบี่สวรรค์คงมิธรรมดาจริง ๆ ! ’

‘ยิ่งไปกว่านั้น บุคคลระดับนี้ยังเปลี่ยนมาบำเพ็ญเพียรวิถีแห่งหมาก จะต้องมีความกล้าหาญมากเพียงใดกัน ! ’

หลังจากลังเลเล็กน้อย หนานกงเสวียนจีก็ยิ้มออกมา ก่อนตอบกลับว่า “ข้าตกลง ! ”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด