เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน 432 ผู้อาวุโสท่านนี้เพิ่งจะเข้าสู่วิถีหมากได้มินานกระมัง ?

Now you are reading เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน Chapter 432 ผู้อาวุโสท่านนี้เพิ่งจะเข้าสู่วิถีหมากได้มินานกระมัง ? at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 432 ผู้อาวุโสท่านนี้เพิ่งจะเข้าสู่วิถีหมากได้มินานกระมัง ?

หลังจากที่หนานกงเสวียนจีตอบตกลงเข้ามาเป็นแขกอาวุโสของนิกายกระบี่สวรรค์แล้ว

มินาน เถาคุนก็พาพวกเขาทั้งหมดออกจากหอสุรา และมุ่งหน้าไปยังจวนเจ้าเมืองอย่างเร่งรีบ

เนื่องจากฟ้าค่อนข้างมืดแล้ว ขงซิงเจี้ยนจึงตัดสินใจค้างที่จวนเจ้าเมืองหนึ่งคืน พรุ่งนี้ถึงค่อยกลับนิกายกระบี่สวรรค์

ในสายตาของขงซิงเจี้ยนนั้น ต่อให้การเดิมพันหมากกับวังเสวียนจีในครั้งหน้าจะพ่ายแพ้อีกครั้ง แต่เมื่อมีหนานกงเสวียนจีเข้ามา

เชื่อว่าด้วยคุณสมบัติในวิถีหมากของหนานกงเสวียนจี คาดว่าคงใช้เวลามินานอาจจะสามารถอยู่เหนือวิถีหมาก ของนักพรตเสวียนจีแห่งวังเสวียนจีผู้นั้นก็เป็นได้

ดังนั้นหลังจากมาถึงจวนเจ้าเมืองแล้ว ขงซิงเจี้ยนก็ได้สั่งเถาคุนให้เตรียมสุรา ก่อนจะนั่งลงตรงข้ามกับหนานกงเสวียนจี ในห้องใต้หลังคาห้องหนึ่ง

ต่อจากนั้นขงซิงเจี้ยนก็ได้อธิบายเรื่องการกระจายอำนาจในหลิงโจว รวมทั้งเกียรติยศและประวัติศาสตร์อันยาวนานของนิกายกระบี่สวรรค์ให้หนานกงเสวียนจีฟัง

จากนั้นยังได้อวดอ้างถึงความแตกฉานที่สูงส่งในวิถีกระบี่ของตนเอง

ส่วนหนานกงเสวียนจี หลังจากได้ยินคำพูดที่จริงใจของขงซิงเจี้ยน

เขาก็ค่อย ๆ ลดเกราะป้องกันในใจตนเองลง และเริ่มเล่าเรื่องราวสุดอัศจรรย์ที่ได้พบในโลกเบื้องล่างให้ขงซิงเจี้ยนฟัง

แน่นอนว่าเรื่องอัศจรรย์นี้ย่อมหนีมิพ้น เรื่องของท่านเย่ที่เคยเร้นกายอยู่ที่เมืองเสี่ยวฉือท่านนั้น

ส่วนขงซิงเจี้ยนนั้นดูจะมิเห็นด้วย เนื่องจากโลกเบื้องล่างนั้นหลักเต๋าวิถีฟ้ามิสมบูรณ์ จะมีผู้ที่เก่งกาจเช่นนั้นได้เยี่ยงไรกัน ?

จากนั้นทั้งคู่ก็คุยกันไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งรู้ตัวอีกทีขอบฟ้าก็ค่อย ๆ สว่างขึ้น

“น้องหนานกง มิทันรู้ตัวฟ้าก็สว่างเสียแล้ว”

ขงซิงเจี้ยนลุกขึ้นยืน ก่อนจะเอ่ยกับหนานกงเสวียนจีด้วยรอยยิ้มว่า “เอาเช่นนี้ดีหรือไม่ พวกเราออกเดินทางกันตอนนี้เลย ข้าจะพาเจ้าไปพบกับศิษย์พี่ท่านนั้นของข้า ? ”

หนานกงเสวียนจีค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน ท่าทางสงบนิ่ง ก่อนจะพยักหน้ายิ้ม ๆ “ดีเหมือนกัน”

เมื่อเอ่ยจบทั้งสองคนก็ทะยานขึ้นฟ้า มุ่งหน้าไปทางนิกายกระบี่สวรรค์ในทันที

จนเวลาผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วยาม

ขงซิงเจี้ยนก็ได้พาเหาะข้ามเขตแดนของนิกายกระบี่สวรรค์ ตรงเข้าไปในส่วนลึกด้วยความรวดเร็ว

ก่อนที่คนทั้งสองจะโรยตัวลงมายังยอดเขาสตรีหยก

ผ่านไปมิกี่อึดใจ ร่างงามระหงในชุดสีขาวบริสุทธิ์ร่างหนึ่ง ก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าของคนทั้งสอง โดยมิมีสัญญาณใด ๆ มาก่อน

“เจ้าเพิ่งจะขึ้นมาจากโลกเบื้องล่างจริง ๆ น่ะหรือ ?”

หนิงซู่ซู่เหลือบมองหนานกงเสวียนจีด้วยความตกตะลึง ดวงตาคู่นั้นเผยความประหลาดใจออกมาอย่างห้ามมิอยู่ เพราะนับตั้งแต่หนิงซู่ซู่บำเพ็ญเพียรจนมาถึงตอนนี้ เคยเห็นคนจากโลกเบื้องล่างขึ้นมาบนสวรรค์บูรพามากมาย

แต่หลังจากที่พวกเขาประสบกับทัณฑ์สวรรค์แล้ว ทุกคนต่างก็ถูกทำลายตบะบารมี กลับไปเป็นเพียงผ้าขาวผืนหนึ่งเท่านั้น

ทว่าหนานกงเสวียนจีตรงหน้าผู้นี้ มิเพียงแต่สามารถรักษาตบะบารมีระดับมหายานเอาไว้ได้ อีกทั้งรอบกายยังมีไอพลังเต๋าบางเบา แผ่ออกมาอีกด้วย

‘ช่างพิสดารยิ่งนัก ! ’

‘หรือว่าหลักเต๋าวิถีฟ้าของโลกเบื้องล่าง สมบูรณ์แล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ’

‘หรือคนผู้นี้ได้รับโอกาสและวาสนาอันใหญ่หลวงมา ? ’

หนานกงเสวียนจีนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะประสานมือขึ้นคารวะ แล้วค่อยๆ เอ่ยว่า “เรียนผู้อาวุโส ผู้น้อยเพิ่งขึ้นมายังสวรรค์บูรพา เมื่อสามวันก่อนขอรับ”

หนิงซู่ซู่และขงซิงเจี้ยนส่งสายตาให้กันเล็กน้อย พลางพยักหน้าเบา ๆ

ตอนนั้นเอง ขงซิงเจี้ยนก็ได้เพ่งกระแสจิตแล้วเอ่ยว่า “ศิษย์น้องหนิง ความแตกฉานในวิถีหมากของคนผู้นี้สูงส่งมากจริง ๆ ข้าคิดว่าพวกเราต้องพาเขาไปพบศิษย์พี่อู๋สักครั้ง”

หนิงซู่ซู่ใคร่ครวญเล็กน้อย ก่อนจะตอบกลับไปว่า “รอบกายของคนผู้นี้แผ่ไอพลังออกมาด้วย ดังนั้นการให้เขาไปพบกับศิษย์พี่อู๋ถือเป็นเรื่องที่ดี”

“น้องหนานกง เจ้าอยากไปพบศิษย์พี่ของข้าท่านนั้นมิใช่หรือ ? ”

ขงซิงเจี้ยนลอบพยักหน้า ก่อนจะตบที่บ่าของหนานกงเสวียนจีเบา ๆ พร้อมกับเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เดี๋ยวข้าจะพาเจ้าไปพบ พวกเจ้าสองคนก็จะได้ประลองหมากกันด้วยเยี่ยงไรเล่า”

หนานกงเสวียนจีพยักหน้ารับ พลางตอบกลับไป ว่า “รบกวนแล้ว”

มินาน ขงซิงเจี้ยนและหนิงซู่ซู่ก็ได้พาหนานกงเสวียนจี มายังท้องฟ้าด้านบนป่าหินแห่งนั้นอีกครั้ง

ส่วนด้านล่างนั้น อู๋ไท่เหอยังคงนั่งอยู่ตรงกลางกระดานหมากมายาขนาดใหญ่

แต่ดูเหมือนว่าเมื่อความคิดของเขาเปลี่ยนไป บนกระดานหมากก็จะมีหมากขาวและหมากดำปรากฏขึ้น ราวกับประลองหมากกันอยู่

เมื่อได้เห็นภาพอันตระการตาเช่นนี้ หนานกงเสวียนจีที่หลงใหลในในวิถีหมากก็อดคิดตามมิได้ ก่อนจะเริ่มคาดเดากลหมากด้านล่างอย่างรวดเร็ว

ดังนั้นแม้ว่าภายในแววตาของเขาจะเปล่งประกายระยิบระยับ มีสัญญาลักษณ์ซับซ้อนมากมายปรากฏ ทว่าร่างของเขากลับแข็งค้างราวกับหิน

เห็นดังนั้นขงซิงเจี้ยนจึงชะงักไป บนใบหน้าชราเผยรอยยิ้มมีเลศนัยออกมา

ส่วนหนิงซู่ซู่กลับเลิกคิ้วเรียวยาวขึ้นมาน้อย ๆ ท่าทางดูสงสัยมิน้อย

หรือว่าผู้ที่บำเพ็ญเพียรวิถีแห่งหมาก ล้วนแต่มีท่าทางราวกับคนเสียสติเช่นนี้งั้นหรือ ?

จนเวลาผ่านไปเกือบสองชั่วยาม

ในที่สุดหนานกงเสวียนจีก็ได้สติขึ้นมาอีกครั้ง

ทว่าเขากลับส่ายหน้าไปมา พลางเอ่ยกับตนเองว่า

“หมากขาวเอาแต่บุกโจมตีอย่างเดียว ดูเหมือนมีพลังมากมายแต่ความจริงกลับเต็มไปด้วยช่องโหว่ แค่ถูกหมากดำจับได้เพียงครั้งเดียว ความได้เปรียบที่มีมาตลอดก่อนหน้านี้ก็กลายเป็นสูญเปล่าภายในพริบตา”

“การเดินหมากเช่นนี้ เหมือนที่ท่านเย่กล่าวเอาไว้ว่า มิควรจริง ๆ……”

ท่านเย่ ?

เมื่อได้ยินดังนั้น แววตาของหนิงซู่ซู่ก็มีประกายบางอย่างแวบผ่านในทันที ก่อนจะหันไปมองขงซิงเจี้ยน

“ท่านเย่ที่คนผู้นี้เอ่ยถึงเป็นผู้ใดกัน ? ”

หนิงซู่ซู่ส่งกระแสจิตถามออกไป

ขงซิงเจี้ยนหัวเราะอย่างมิใส่ใจ ก่อนจะตอบกลับว่า “ศิษย์น้องหนิง ตามที่เขาเล่ามาท่านเย่เป็นยอดฝีมือที่ไร้เทียมทานท่านหนึ่ง ที่รวบรวมวิถีเต๋ามากมายเอาไว้ในร่าง ถึงขนาดเป็นไปได้ว่าเป็นผู้ที่ลงไปจากสวรรค์บูรพาอีกด้วย”

หนิงซู่ซู่นิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะส่งกระแสจิตตอบกลับไป “กำแพงกั้นระหว่างทั้งสองโลกสร้างมาจากกฎที่ไร้เทียมทาน นับแต่อดีตเป็นต้นมามิเคยมีผู้ใดฝ่าฝืนกฎเช่นนี้ และลงไปที่โลกเบื้องล่างเลยแม้แต่คนเดียว”

“ข้าเองก็มิเชื่อเช่นกัน แต่คนผู้นี้กลับปักใจเชื่อเป็นอย่างมาก และคิดว่ามีคนเช่นนี้อยู่จริง ๆ ”

ขงซิงเจี้ยนยักไหล่เล็กน้อย พลางเอ่ยต่ออีกว่า “และเขายังได้บอกอีกว่าท่านเย่ผู้นั้น ได้กลับมายังสวรรค์บูรพาแล้ว ก่อนที่เขาจะขึ้นมาอีกด้วย”

หนิงซู่ซู่กะพริบตาปริบ ๆ พลางเอ่ยอย่างครุ่นคิดว่า “หมายความว่าท่านเย่ผู้นั้น มีความแตกฉานในวิถีหมากสูงส่งกว่าคนผู้นี้อีกเยี่ยงนั้นหรือ?”

เวลาผ่านไปอีกประมาณหนึ่งเคอ

อู๋ไท่เหอที่อยู่ด้านล่างเหมือนสัมผัสได้ จึงลืมตาขึ้นพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมอง

“ศิษย์น้องหนิง ศิษย์น้องขง คนผู้นี้คือผู้ใดงั้นหรือ ? ”

สายตาของอู๋ไท่เหอจ้องไปยังหนานกงเสวียนจี ราวกับจะทะลวงเข้าไปให้เห็นถึงจิตวิญญาณก็มิปาน

“ศิษย์พี่อู๋ คิดว่าท่านก็คงสัมผัสได้แล้วกระมัง ? ”

ขงซิงเจี้ยนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ใช่แล้ว น้องหนานกงบำเพ็ญเพียรวิถีแห่งหมาก เขาได้ยินว่าท่านยอมตัดทอนวิถีกระบี่ เพื่อเปลี่ยนมาบำเพ็ญเพียรวิถีแห่งหมาก ดังนั้นจึงยืนกรานที่จะมาพบท่านสักครั้งให้ได้ขอรับ”

อู๋ไท่เหอนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะฉีกยิ้มแห้ง ๆ ออกมา พร้อมเอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็ลงมาประลองกับข้าสักกระดานเถอะ”

ในตอนนั้นเองหนานกงเสวียนจีที่กำลังใจลอยก็เหมือนนึกบางอย่างขึ้นมาได้ ก่อนจะหันไปมองบนกระดานหมากที่อู๋ไท่เหอนั่งอยู่ในขณะนี้

“หมากขาวหากวางไว้ในตำแหน่งที่สิบสี่และแปดมาตัดกัน ก็ยังพอมีโอกาสรอดอยู่บ้าง”

สายตาของหนานกงเสวียนจีจ้องเขม็งไปที่ตำแหน่งดวงดาวบนกระดานหมาก พร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นตกใจ

ขณะเดียวกัน อู๋ไท่เหอก็สะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับไปมองตำแหน่งดวงดาวที่หนานกงเสวียนจีเอ่ยถึง

จากนั้นเขาก็ได้เพ่งสมาธิ ตำแหน่งดวงดาวที่หนานกงเสวียนจีเอ่ยถึงเมื่อครู่ เวลานี้ได้ก็ปรากฏหมากขาวเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งตัว

วินาทีต่อมา อู๋ไท่เหอก็เผยรอยยิ้มยินดีออกมา

ขณะเดียวกัน เขาก็รู้สึกเหมือนได้ทะลวงพันธนาการบางอย่างลง ทั่วทั้งร่างพลันแผ่คลื่นพลังเป็นชั้น ๆ รวมทั้งไอพลังหลังเต๋าจาง ๆ ออกมา

“คิดมิถึงว่ากลหมากที่รบกวนจิตใจข้ามาหลายปี วันนี้กลับถูกบุรุษหนุ่มผู้นี้ทำลายลงได้”

อู๋ไท่เหออดมิได้ที่จะเงยหน้าขึ้น พร้อมกับระเบิดเสียงหัวเราะออกมา “เด็กน้อย รีบมาประลองกับข้าสักกระดานเร็วเข้า”

เมื่อได้ยินดังนั้น หนานกงเสวียนจีก็นิ่งเงียบไปสักพัก ก่อนจะหันไปสบตากับหนิงซู่ซู่และขงซิงเจี้ยน

“ผู้อาวุโสท่านนี้เพิ่งจะเข้าสู่วิถีหมากได้มินานกระมัง ? ” หนานกงเสวียนจีเอ่ยถามออกมาตรง ๆ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด