เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน 440 เป็นท่านเย่จริง ๆ
ตอนที่ 440 เป็นท่านเย่จริง ๆ
ทันทีที่สิ้นเสียงเย่ฉางชิง ทั้งขงซิงเจี้ยนและหนิงซู่ซู่ก็มีท่าทีนิ่งอึ้งไปในทันที
ภาพอักษรพู่กันที่เขียนส่ง ๆ ภาพหนึ่ง กลับแฝงสุดยอดเจตนาแท้จริงของกระบี่เอาไว้
เพลงที่ดีดขึ้นเพลงหนึ่งก็แฝงวิถีแห่งดนตรีอันล้ำลึกเอาไว้ ทั้งยังสามารถทำให้หนิงซู่ซู่พบโอกาสในการบรรลุอีกด้วย
ตอนนี้แม้จะบอกว่ามิเข้าใจวิถีแห่งเต๋า แต่กลับบอกว่าเดินหมากเป็น
อีกทั้งดูจากท่าทางแล้วเหมือนจะชื่นชอบการเดินหมากอีกด้วย
ดังนั้นหากมิมีสิ่งใดผิดพลาดล่ะก็ ตัวตนที่แท้จริงของเย่ฉางชิงมีความเป็นไปได้สูง ที่จะมีความแตกฉานในวิถีหมากสูงส่งกว่าวิถีอื่น ๆ
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดขงซิงเจี้ยนก็คิดถึงคำกล่าว ก่อนหน้านี้ของเย่ฉางชิงขึ้นมาได้
ผู้อาวุโสของนิกายกระบี่สวรรค์ล้วนแล้ว แต่เดินหมากกันเช่นนี้เยี่ยงนั้นหรือ ?
เมื่อคิดได้ดังนั้น ใบหน้าของขงซิงเจี้ยนก็ปรากฏรอยยิ้มกว้างออกมา ก่อนจะอธิบายว่า “น้องเย่ นิกายกระบี่สวรรค์ของเราเน้นการสืบทอดวิถีกระบี่ตามชื่อของนิกาย ดังนั้นน้อยคนนักที่จะเลือกบำเพ็ญเพียรวิถีอื่น”
“ส่วนพวกเขาสองคนข้างบนนั้น คนหนึ่งคือนักพรตเสวียนจีแห่งวังเสวียนจี อีกคนหนึ่งเป็นแขกอาวุโสคนใหม่ของนิกายกระบี่สวรรค์ของเรามีนามว่า หนานกงเสวียนจี……”
“ช้าก่อน ! ”
เมื่อได้ยินชื่อที่คุ้นหูอย่าง หนานกงเสวียนจี เย่ฉางชิงก็รีบยกมือขึ้นขัดขงซิงเจี้ยนในทันที
“ตอนที่ข้าอยู่โลกเบื้องล่างก็ได้รู้จักผู้เฒ่าท่านหนึ่งนามว่า หนานกงเสวียนจี อีกทั้งก่อนที่ข้าจะจากมาด้วยระดับตบะบารมีของเขา ดูเหมือนว่าจะอยู่ในระดับที่ขึ้นมายังสวรรค์บูรพาได้แล้ว”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ แววตาของเย่ฉางชิงก็เปล่งประกายขึ้นมาทันที พลางเอ่ยถามอย่างครุ่นคิดว่า “มิทราบว่าหนานกงเสวียนจีผู้นี้เพิ่งจะขึ้นมาจากโลกเบื้องล่างใช่หรือไม่ ? ”
ได้ยินดังนั้น รอยยิ้มบนใบหน้าของขงซิงเจี้ยนพลันแข็งค้างไปทันที พร้อมกับกะพริบตาปริบ ๆ
หนิงซู่ซู่เองก็นิ่งงัน ก่อนจะพยักหน้ารับน้อย ๆ พลางเอ่ยออกมาเสียงนุ่มว่า “คนผู้นี้เพิ่งจะขึ้นมาจากโลกเบื้องล่างจริง ๆ ”
“มิน่าเล่าก่อนหน้านี้ตอนอยู่บนบันไดเมฆา ข้าถึงรู้สึกว่าวิธีการเดินหมากช่างดูคุ้นเคยนัก ที่แท้เป็นเขานี่เอง นับเป็นเรื่องดีจริง ๆ ที่ได้พบสหายเก่า”
ทว่าเย่ฉางชิงกลับเผยสีหน้าสับสนออกมา ขณะเดียวกันภายในใจก็เกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้น
ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นน้อย ๆ แล้วเอ่ยว่า “จริงสิ หากมิมีสิ่งใดผิดพลาดล่ะก็ นักพรตเสวียนจีผู้นี้ก็คงมาจากโลกใบเดียวกันกับข้ากระมัง ? ”
หลังจากได้ยินคำกล่าวของเย่ฉางชิง ขงซิงเจี้ยนและหนิงซู่ซู่ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปอีกครั้ง พร้อมหันไปสบตากัน
ตอนนี้ดูเหมือนว่าหากมิมีสิ่งใดผิดพลาด เย่ฉางชิง ก็คือท่านเย่ที่หนานกงเสวียนจีเอ่ยถึงบ่อย ๆ
นี่ก็หมายความว่า หนานกงเสวียนจีเคยได้รับการชี้แนะจากเย่ฉางชิง
มิหนำซ้ำตอนนี้ยังเอ่ยถึงนักพรตเสวียนจีขึ้นมาอีก หรือว่านักพรตเสวียนจีเองก็ได้รับการชี้แนะจากเขาเช่นกัน ?
แต่เช่นนี้มันมิถูกต้องนี่นา !
ดูจากท่าทางที่นักพรตเสวียนจีแสดงออกมาก่อนหน้านี้ ราวกับมีอคติบางอย่างกับเย่ฉางชิง
ตอนนั้นเอง อู๋ไท่เหอก็ค่อย ๆ เดินเข้ามา
“ศิษย์น้องขง ศิษย์น้องหนิง ท่านนี้คือ”
อู๋ไท่เหอลอบพินิจเย่ฉางชิงเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นพร้อมรอยยิ้ม
“ศิษย์พี่อู๋ เขาก็คือคนที่ก่อนหน้านี้ข้าเคยเล่าให้ท่านฟัง”
ขงซิงเจี้ยนเอ่ยออกมานิ่งๆ “หากมิมีสิ่งใดผิดพลาด เขาก็คือท่านเย่ที่น้องหนานกงเอ่ยถึงบ่อย ๆ อีกด้วย”
ผู้เก่งกาจที่ผนึกตบะบารมีและความทรงจำของตนเอง บำเพ็ญเพียรวิถีเต๋ามากมาย !
ท่านเย่ !
ท่านเย่ที่หนานกงเสวียนจีเอ่ยถึง !
ภายในใจของอู๋ไท่เหอจึงกระตุกขึ้นทันที พลางสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่อย่างอดมิได้
“ที่แท้……ที่แท้ก็น้องเย่นี่เอง นับถือนับถือ”
อู๋ไท่เหอฉีกยิ้มฝืดเฝื่อนออกมา ทันใดนั้นก็มิรู้จะเรียกขานเย่ฉางชิงเช่นไรดี จึงทำได้เพียงเรียกน้องเย่ตามขงซิงเจี้ยนเท่านั้น
เย่ฉางชิงประสานมือคารวะตอบ
“จริงสิ นักพรตเสวียนจีท่านนั้น มิใช่คนของนิกายกระบี่สวรรค์ เหตุใดถึงมาปรากฏตัวที่นี่ได้ ? ” เย่ฉางชิงเอ่ยถามขึ้น
อู๋ไท่เหอเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “น้องเย่ เรื่องเป็นเช่นนี้……”
เวลาผ่านไปหนึ่งเค่อ
อู๋ไท่เหอก็ได้เล่าเรื่องราวบุญคุณความแค้นหลายพันปี ระหว่างนิกายกระบี่สวรรค์และวังเสวียนจีให้เย่ฉางชิงฟังอย่างคร่าว ๆ
ทว่าวินาทีต่อมา สีหน้าของเย่ฉางชิงกลับเย็นชาลง ก่อนจะแค่นเสียง “หึ” ออกมา
‘สิ่งที่เรียกว่าแดนบำเพ็ญเพียรโบราณ สำหรับนิกายฝึกเซียนมีความหมายเช่นไรนั้น !’
‘เขาเองก็มิได้มีเข้าใจมากมายนัก’
‘แต่ดูจากบุญคุณความแค้นหลายพันปี รวมทั้งน้ำเสียงของอู๋ไท่เหอแล้ว’
‘แดนบำเพ็ญเพียรโบราณแห่งนี้หาใช่สถานที่ธรรมดาอย่างที่คิดไม่’
มิเพียงเท่านั้น พวกอู๋ไท่เหอแม้จะยังมิรู้ว่าเขาได้สาบานเป็นพี่น้องกับเซียวเย่ฟานแล้ว ตอนนี้ก็นับได้ว่าเป็นบรรพจารย์ท่านหนึ่งของพวกเขา แต่มิได้หมายความว่าเขาจะปล่อยผ่านไปเช่นนี้ได้
มิเช่นนั้นหลังจากการประลองหมากจบลง เขาจะมีหน้านำกระบี่หยกวิญญาณดำออกมา เพื่อแสดงตัวว่าเป็นบรรพบุรุษได้เยี่ยงไรกัน ?
ในการบำเพ็ญเพียรต่อจากนี้ จะมีสิทธิอันใดไปใช้ทรัพยากรในการบำเพ็ญเพียรของนิกายกระบี่สวรรค์กัน ? และที่สำคัญที่สุดก็คือ ทั้งสองฝ่ายเพียงแต่เดิมพันหมาก หาใช่การประลองตบะบารมีและฝีมือไม่
อีกอย่างก็คือ ตอนที่อยู่เมืองหลวงของแคว้นต้าเอี้ยน ภาพกลหมากปริศนาที่นักพรตเสวียนจีทิ้งเอาไว้เหล่านั้น เหมือนจงใจกลั่นแกล้งเขาก็มิปาน
เรื่องนี้ทำให้เย่ฉางชิงอยากจะเอาชนะเจ้าของภาพกลหมากปริศนาเหล่านั้นซึ่ง ๆ หน้ามานานแล้ว
หลังจากนิ่งเงียบอยู่สักพัก
“ก่อนหน้านี้ชนะหนึ่งแพ้หนึ่ง และการประลองกระดานที่สามนี้ จะเป็นการตัดสินผู้มีสิทธิ์ครอบครองแดนบำเพ็ญเพียรโบราณแห่งนั้นแล้วใช่หรือไม่?”
เย่ฉางชิงเอ่ยถามด้วยท่าทางเรียบนิ่ง
พวกอู๋ไท่เหอนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้ารับ
เย่ฉางชิงจึงเอ่ยอีกว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนั้นสามารถให้หนานกงเสวียนจีลงมาก่อน แล้วให้ข้าขึ้นไปประลองกับนักพรตเสวียนจีแทนได้หรือไม่ ? ”
“คือ ? ”
พวกอู๋ไท่เหอส่งสายตาสื่อสารกัน พร้อมกับมีท่าทางลังเล
เปลี่ยนตัวระหว่างการประลอง
เรื่องเช่นนี้แม้มิเคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่ก็มิมีผู้ใดเคยตั้งกติกาเช่นนี้มาก่อนเช่นกัน
เมื่อเห็นทั้งสามคนมีสีหน้าลังเล
ดวงตาของเย่ฉางชิงพลันเปล่งประกายบางอย่างขึ้นมา
ลืมไปซะสนิท !
ตอนนี้ข้ามีตบะบารมีระดับแดนก่อกำเนิดแล้ว สามารถส่งกระแสจิตได้โดยมิมีผู้ใดรู้ เพื่อชี้แนะวิธีการเดินหมากให้หนานกงเสวียนจีได้นี่นา
“เอาเช่นนี้ก็แล้วกัน ตอนนี้การประลองระหว่างทั้งคู่ได้เริ่มไปแล้ว คงมิเหมาะที่จะเปลี่ยนตัวตอนนี้”
เย่ฉางชิงจึงลองเพ่งกระแสจิตไปว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนั้นข้าจะใช้วิธีส่งกระแสจิตไปชี้แนะวิธีการเดินหมากให้กับหนานกงเสวียนจีแทนก็แล้วกัน”
เมื่อได้ยินดังนั้น พวกอู๋ไท่เหอก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป ก่อนจะเห็นด้วยอย่างยิ่ง
และด้วยระดับตบะของพวกเขาสามคนในตอนนี้
ขณะที่เย่ฉางชิงส่งกระแสจิตมานั้น พวกเขาเองก็มิได้สึกใด ๆ แม้แต่น้อย
ส่วนนักพรตเสวียนจีในตอนนี้ เยี่ยงไรซะก็ยังมิได้ก้าวสู่ระดับเทพพิภพ ดังนั้นก็มิน่าจะสัมผัสได้เช่นกัน ดังนั้นพวกเขาจึงมิได้คัดค้านใด ๆ
มินานเย่ฉางชิงก็หัวเราะออกมา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองหนานกงเสวียนจีที่อยู่ด้านบน
“วิธีการเดินหมากของคนผู้นี้แม้จะมีการเปลี่ยนแปลง แต่ต่อให้เปลี่ยนแปลงไปร้อยพันหมื่นวิธี ทว่าหลักการก็ยังคงเดิม”
“สามารถวางหมากที่ตำแหน่งดวงดาวที่สิบเก้าได้ แม้ดูเหมือนจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ แต่ความจริงแล้วคือ การช่วงชิงโอกาสมา”
ทันใดนั้น น้ำเสียงที่สงบนิ่งของเย่ฉางชิง ก็ดังขึ้นในโสตประสาทของหนานกงเสวียนจีราวกับเสียงสวรรค์
ส่วนหนานกงเสวียนจีที่เวลานี้กำลังตกอยู่ในสภาพอึดอัดใจ เพราะสถานการณ์บนกระดานหมาก ทันทีที่ได้ยินน้ำเสียงที่สงบนิ่งและคุ้นเคยเสียงนี้
จิตใจของเขาก็รู้สึกสั่นเทาขึ้นมาทันที ก่อนจะปรายตามองลงไปยังเบื้องล่างอย่างอดมิได้
วินาทีต่อมา เมื่อหนานกงเสวียนจีได้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคย ก็นิ่งค้างราวกับหินภายในพริบตา
‘ท่านเย่ !’
‘เป็นท่านเย่จริง ๆ ! ’
Comments