เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน 442 สังหารนักพรตเสวียนจี
ตอนที่ 442 สังหารนักพรตเสวียนจี
ขณะที่ทั้งสองฝ่ายกำลังอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียด
เย่ฉางชิงกลับรู้สึกมึนงงขึ้นมา
‘นี่มันเรื่องอันใดกัน ! ’
‘เหตุใดจู่ ๆ ถึงจะต่อสู้กันขึ้นมา’
‘แล้ว……นักพรตเสวียนจีผู้นี้ เพียงแค่แพ้หมากกระดานเดียว ถึงกับคลุ้มคลั่งเพียงนี้เลยหรือ ? ’
‘หรือว่าสิทธิ์ในการครอบครองแดนบำเพ็ญเพียรโบราณสำคัญถึงเพียงนี้เชียวหรือ ? ’
‘อีกอย่างด้วยความสามารถของเขา ก็คงเอาชนะได้เพียงหนานกงเสวียนจีเท่านั้น หากกระดานต่อไปต้องประลองกับข้าล่ะก็’
‘อย่างอื่นข้ามิอาจรับประกันได้ แต่หากเป็นการประลองหมาก ข้ามั่นใจว่าจะสามารถทำให้เขาพ่ายแพ้ จนต้องกระอักเลือดออกมาได้อย่างแน่นอน’
‘อีกอย่างนิสัยเช่นนี้ยังบำเพ็ญเพียรวิถีแห่งหมากอันใดกัน กลับไปทำนาที่บ้านมิดีกว่าหรือ ? ’
เย่ฉางชิงอดมิได้ที่จะลอบเหน็บแนมภายในใจ จากนั้นก็ค่อย ๆ ถอนหายใจออกมา พลางเอ่ยว่า “ช่างเถอะ ข้าช่วยให้นิกายกระบี่สวรรค์ชนะการประลองหมากแล้ว เรื่องต่อจากนี้ข้าเองก็ไร้ความสามารถจะช่วยได้ ปล่อยพวกเขาจัดการไปก็แล้วกัน”
เอ่ยเพียงเท่านั้น เย่ฉางชิงก็ถอนสายตากลับมา จึงได้พบว่าข้างกายของเขาตอนนี้มิได้มีผู้ใดอยู่ด้วยอีกแล้ว
แต่ปัญหาก็คือตอนนี้เขามีตบะบารมีเพียงระดับแก่นก่อกำเนิดเท่านั้น หากทั้งสองฝ่ายเปิดศึกกันขึ้นมา ต้องเกิดการทำลายล้างอันน่าสะพรึงกลัวอย่างแน่นอน และการที่ข้างกายของเขามิมีผู้ใดอยู่ด้วยเลย มิเท่ากับว่ามิมีผู้ใดสามารถช่วยเขาได้เลยเยี่ยงนั้นหรือ ?
ยิ่งกว่านั้นหากถูกนักพรตเสวียนจีผู้นี้จับได้ขึ้นมา ว่าที่จริงแล้วข้าต่างหากที่เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการพ่ายแพ้ของเขา จะมิคลุ้มคลั่งจนกระโจนลงมาสังหารหรอกหรือ ?
เมื่อคิดได้ดังนั้น เย่ฉางชิงก็เหลือบไปเห็นพวกเหยาห้าวหยานที่ยืนอยู่ด้านหน้า ก่อนจะเดินเข้าไปหาอย่างเงียบ ๆ และปะปนอยู่ในฝูงชน
ทว่าในตอนนั้นเองกลุ่มคนที่อยู่ด้านบนก็ได้เริ่มเปิดศึกกันขึ้นมาจริง ๆ
นอกจากนักพรตเสวียนจีที่ทั้งร่างอบอวลไปด้วยไอพลังสีดำ และไอสังหารจำนวนมหาศาลแล้ว
คนอื่น ๆ ต่างก็มีแสงระยิบระยับเปล่งออกมารอบกาย ด้านหลังมีวงแสงที่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน พลังปราณมหาศาลปะทุขึ้น ช่างดูอัศจรรย์ยิ่งนัก
ผ่านไปมิกี่อึดใจ หลังจากนักพรตเสวียนจีถือกระดานหมากโบราณกระดานหนึ่งเอาไว้ในมือ รอบกายของเขาพลันเกิดการสั่นสะเทือนขึ้นมา ห้วงอากาศเกิดคลื่นแสงขึ้นเป็นชั้น ๆ อย่างต่อเนื่อง กลิ่นอายโบราณและความน่าสะพรึงกลัวได้แผ่ออกมาในพริบตา
ขณะเดียวกัน พวกอู๋ไท่เหอก็ได้นำของวิเศษของตนเองออกมาทันทีโดยมิลังเล
บางคนก็ถือกระบี่โบราณ ราวกับเซียนกระบี่แห่งยุค
หลังจากผสานพลังวิญญาณ กระบี่โบราณธรรมดาพลันลุกโชนขึ้นมาราวกับเปลวไฟ กระบี่แสงอันยิ่งใหญ่สายหนึ่งห่อหุ้มไปด้วยพลังอันแข็งแกร่งพุ่งขึ้นฟ้า
บางคนก็มีพิณโบราณลอยอยู่ด้านหน้า นิ้วทั้งสิบกดลงไปบนสายพิณเบา ๆ
เสียงพิณที่ดังกังวานราวกับเสียงแก้วแตกก็ดังขึ้น คลื่นพลังอันคมกริบสายหนึ่งก็ตัดผ่านอากาศ สาดประกายไฟระยิบระยับออกมา
บางคนก็มีเจดีย์โบราณหลังหนึ่งลอยอยู่ตรงหน้า สองมือทำท่ามุทราอย่างรวดเร็ว เจดีย์โบราณพลันส่องแสงอันเจิดจ้าออกมา และสั่นสะเทือนจนเกิดคลื่นแสงเป็นชั้น ๆ
เพียงพริบตาเจดีย์โบราณก็ขยายใหญ่ขึ้นร้อยเท่าอย่างรวดเร็ว……
ทว่านักพรตเสวียนจีที่เผชิญหน้ากับการร่วมมือของพวกอู๋ไท่เหอกลับหัวเราะร่าออกมา มุมปากกระตุกยิ้มชั่วร้ายออกมา
จากนั้นภาพอันพิสดารภาพหนึ่งก็ปรากฏขึ้น !
เมื่อกระดานหมากโบราณที่อยู่ในมือของนักพรตเสวียนจี แปรเปลี่ยนเป็นลำแสงสีดำสายหนึ่งพุ่งขึ้นฟ้า
จากนั้นทันทีที่กระดานหมากหยุดชะงัก ลำแสงสีดำไหลเวียน สัญลักษณ์มหามรรคาที่โบราณและซับซ้อนก็ปรากฏขึ้น
มิเพียงเท่านั้นกระดานหมากยังได้ขยายใหญ่ขึ้นหลายพันเท่าภายในพริบตา โดยมีนักพรตเสวียนจียืนอยู่ตรงกลาง ราวกับเมฆดำทะมึนปกคลุมไปทั่วท้องนภาก็มิปาน ช่างเป็นภาพที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก
“ในเมื่อพวกเจ้าเลือกที่จะเป็นศัตรูกับข้า เช่นนั้นวันนี้ก็จงตายซะเถอะ ! ”
นักพรตเสวียนจีหัวเราะออกมาอย่างชั่วร้าย ก่อนจะหลับตาลงมือทั้งสองข้างทำท่ามุทราอย่างรวดเร็ว
วินาทีต่อมา หลังจากพลังปราณจำนวนมหาศาลของเขาเกิดการแปรปรวน ไอพลังรอบกายปะทุขึ้น
แสงสีดำขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยพลังอันน่าสะพรึงกลัวสายหนึ่ง พลันสาดส่องลงมาจากกระดานหมาก จากนั้นก็พุ่งเข้าทำลายกระบี่แสงอันยิ่งใหญ่เล่มนั้นในทันที
มินานก็มีลำแสงสีขาวอันเจิดจ้าสายหนึ่งพุ่งลงมาจากกระดาน ซัดใส่คลื่นพลังมากมาย
หลังจากแสงสีดำและแสงสีขาวพุ่งลงมาอย่างต่อเนื่อง และทำลายการโจมตีของพวกอู๋ไท่เหอลงอย่างง่ายดาย
พวกอู๋ไท่เหอต่างหันไปสบตากันเล็กน้อย และระหว่างที่พวกเขาเตรียมตัวจะถอยออกจากขอบเขตการปกคลุมของกระดานหมาก เพื่อออกมาตั้งหลักและเตรียมโจมตีอีกครั้งนั้น
พวกเขาก็ได้พบว่าทั้งด้านหน้า ด้านหลัง และรอบ ๆ ตัวล้วนถูกปิดกั้นเอาไว้หมดแล้ว
“ท่านพี่อู๋ ตอนนี้ดูเหมือนว่าพวกเราจะมิมีทางให้ถอยอีกแล้ว”
“มิเป็นไร ในเมื่อมิอาจถอยได้ เช่นนั้นก็มาสู้ให้รู้แพ้รู้ชนะกันเถอะ ! ”
“มิเป็นไร นับตั้งแต่สู้กับสิ่งมีชีวิตโบราณในซากโบราณครั้งก่อน ผ่านมาเกือบห้าร้อยปีแล้ว ข้าก็มิเคยต่อสู้กับผู้ใดที่ทั้งตื่นเต้นและสนุกเช่นนี้มานานแล้ว”
“เช่นนั้นก็อย่าได้ออมมือกันอีก ! ”
ทุกคนปรึกษากันสักพัก จากนั้นก็ได้กระตุ้นพลังวิญญาณภายในร่างออกมาอย่างเต็มที่
ทันใดนั้น ท้องฟ้าที่ปกคลุมทั่วทั้งสำนักนิกายกระบี่สวรรค์ด้านใน ก็เกิดสั่นสะเทือนขึ้น และพลังปราณอันน่ากลัวแผ่ออกมา อีกทั้งยังมีลำแสงอันเจิดจ้าต่างพวยพุ่งออกมาอย่างต่อเนื่อง ทอดยาวออกไปหลายร้อยจั้ง ก่อนจะค่อย ๆ มลายหายไป
แค่คิดก็รู้แล้วว่าปรากฏการณ์เช่นนี้น่าสะพรึงกลัวเพียงใด !
ทว่าสิ่งที่ทำให้ทุกคนที่อยู่ด้านล่างตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก ก็คือ เมื่อเวลาผ่านไป นักพรตเสวียนจีที่ต่อสู้เพียงลำพัง และต้องรับมือกับผู้แข็งแกร่งของสำนักเซียนใหญ่ทั้งสาม
แต่เวลานี้เห็นได้ชัดว่าฝ่ายสำนักเซียนใหญ่ทั้งสามกลับอ่อนแรงลง
“คิดมิถึง……คิดมิถึงว่าพลังของนักพรตเสวียนจีจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ช่างน่าเหลือเชื่อจริง ๆ ! ”
“ข้ากลับมิคิดเช่นนั้น การที่นักพรตเสวียนจีสามารถต่อกรกับผู้แข็งแกร่งของสำนักเซียนใหญ่ทั้งสามได้เช่นนี้ เป็นเพราะกระดานหมากของเขา”
“แต่กระดานหมากเป็นของวิเศษเช่นไรกัน จึงสามารถปิดกั้นฟ้าดิน และยังสามารถปล่อยพลังโจมตีอันน่ากลัวออกมาได้มากมายเพียงนี้”
“อาวุธของท่านบรรพจารย์ทั้งสามล้วนแล้วแต่เป็นสมบัติเซียน สิ่งที่สามารถเอาชนะสมบัติเซียนได้ หรือว่ากระดานหมากจะเหนือกว่าสมบัติเซียนอีกงั้นหรือ ? ”
“เป็นไปได้ แต่ของวิเศษที่อยู่เหนือสมบัติเซียนคือสิ่งใดกัน ? ”
“……”
“……”
ขณะที่เหล่าผู้อาวุโสของนิกายกระบี่สวรรค์เงยหน้ามองท้องฟ้า พร้อมกับวิพากษ์วิจารณ์ไปต่าง ๆ นานานั้น
เย่ฉางชิงเองก็ได้เงยหน้าขึ้นมองเช่นกัน
แต่เขาเหมือนจะพบอันใดบางอย่าง ที่ซุกซ่อนอยู่ในแสงสีดำและแสงสีขาวที่เปลี่ยนไปมาบนกระดานหมากนั้น
‘ใช่แล้ว ! ’
การโจมตีด้วยกระดานหมาก หากจะกล่าวให้ถูกก็คือพลังโจมตีที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของกลหมาก
หากต้องการที่จะทำร้ายนักพรตเสวียนจีให้ได้ จำเป็นจะต้องหลบหลีกการเปลี่ยนแปลงของกลหมากให้ได้เสียก่อน
เวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป
เมื่อเห็นพวกอู๋ไท่เหอคอยรับมืออย่างสะเปะสะปะราวกับแมลงวันไร้หัว บางคนถึงกับได้รับบาดเจ็บหนัก บนกายโชกไปด้วยเลือด พลังเริ่มลดลง
ตอนนั้นเอง เย่ฉางชิงจึงถอนหายใจออกมาอย่างทนดูมิไหวอีกต่อไป ก่อนจะเพ่งกระแสจิต
“การโจมตีของกระดานหมากมาจากการเปลี่ยนแปลงของกลหมาก ตอนนี้พวกเจ้าจงฟังคำสั่งจากข้า หลบหลีกกลหมากให้ได้ แล้วฉวยโอกาสจู่โจมซะ”
ทันใดนั้นเสียงของเย่ฉางชิงก็ดังขึ้นในโสตประสาทของทุกคนที่อยู่บนท้องฟ้า ราวกับเสียงสวรรค์ก็มิปาน
อีกทั้งเสียงนี้ราวกับแฝงสุดยอดเคล็ดวิชาลับบางอย่างเอาไว้ ทำให้จิตใจที่กระวนกระวายของพวกเขาสงบลงอย่างรวดเร็ว
และสิ่งที่น่าเหลือเชื่อที่สุด ก็คือ เสียงของเย่ฉางชิงที่ดังก้องขึ้นในโสตประสาทของพวกเขานั้น กลับแตกต่างกันออกไป
“จุดดาว สิบหกกับสี่ ! ”
“จุดดาว สิบกับเก้า ! ”
“จุดดาว สิบสองกับห้า ! ”
“จุดดาว เก้า สิบสาม ! ”
“……”
“……”
หลังจากเสียงอันสงบนิ่งของเย่ฉางชิงดังขึ้น
อู๋ไท่เหอที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า พลันมีสีหน้าตกใจ ก่อนจะหันไปสบตากับคนอื่น ๆ
ขณะที่พวกเขาเปลี่ยนตำแหน่งที่ยืนตามคำสั่งของเสียงลึกลับนั้น จึงมิถูกกระดานหมากโจมตีอีก
มินานพวกเขาต่างก็รีบหาโอกาสโจมตีใส่นักพรตเสวียนจี ด้วยพลังทั้งหมดแทบจะพร้อมกันโดยมิลังเลใด ๆ อีก
ในตอนนั้นเองนักพรตเสวียนจีก็รับรู้ได้ถึงไอสังหารอันรุนแรง ก่อนจะเผยสีหน้าตื่นตระหนกขึ้นมาในทันที และดึงจิตวิญญาณออกมาจากกระดานหมากภายในพริบตา
ทว่าเพียงชั่วประกายไฟแลบ กระบี่แสงทำลายล้างก็ได้ทะลวงความว่างเปล่าและพุ่งตรงเข้ามา
ในเวลาเดียวกันก็มีเสียงพิณอันดุดันดังขึ้น คลื่นพลังอันรุนแรงหลายสายทำลายความว่างเปล่า ก่อนจะระเบิดออก และวินาทีถัดมาเจดีย์โบราณที่สูงหลายจั้งราวกับภูเขาเทพ แฝงพลังอันน่าสะพรึงกลัว ลอยลงมาจากฟากฟ้า……
เพียงเสี้ยววินาที ขณะที่นักพรตเสวียนจีลืมตาขึ้น ร่างกายของเขากลายเป็นละอองเลือด จิตวิญญาณแตกสลายในทันที
บัดนี้ผู้แข็งแกร่งที่สามารถก้าวสู่ระดับเทพพิภพได้ตลอดเวลาก็ได้ดับสูญลง !
Comments