เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน 443 วิญญาณอาวุธอันน่าสะพรึงกลัว
ตอนที่ 443 วิญญาณอาวุธอันน่าสะพรึงกลัว
ทันใดนั้นเมื่อได้เห็นละอองเลือด ที่มีกลิ่นคาวคละคลุ้งลอยอยู่กลางอากาศ
ผู้แข็งแกร่งของสำนักเซียนใหญ่ทั้งสามต่างก็พากันสับสนในทันที
นี่คือนักพรตเสวียนจีที่ขึ้นสู่จุดสูงสุดของวิถีแห่งหมากเชียวนะ !
ผู้แข็งแกร่งที่ไร้เทียมทานที่สามารถก้าวเข้าสู่ระดับเทพพิภพได้ตลอดเวลา !
จะตายง่าย ๆ เช่นนี้งั้นหรือ ?
แค่นี้ ? ? ?
เพราะการบำเพ็ญเพียรวิถีเซียน เมื่อบำเพ็ญเพียรถึงขั้นท้าย ๆ ความเร็วในการบำเพ็ญเพียรก็จะยิ่งช้าลงและยากขึ้น
และเมื่อผู้แข็งแกร่งที่มีตบะบารมีระดับเดียวกัน แต่ขั้นย่อยของระดับตบะต่างกัน แม้จะเพียงแค่ระดับเดียว เมื่อทั้งสองต่อสู้กันฝ่ายที่ต่ำกว่าจึงมิอาจสู้ได้อยู่ดี
มิเพียงเท่านั้นต่อให้ระดับตบะบารมีเท่ากัน ขั้นย่อยของระดับเท่ากัน แต่ระดับความรู้แจ้งในวิถีของตน ก็ยังเป็นตัวแบ่งความแข็งแกร่งของพลังแต่ละคนอยู่ดี
ยิ่งกว่านั้นนักพรตเสวียนจียังเป็นผู้แข็งแกร่งที่ไร้เทียมทาน และสามารถก้าวเข้าสู่ระดับเทพพิภพได้ตลอดเวลาอีกด้วย
หากผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทานเช่นนี้เลือกที่จะพังพินาศไปด้วยกันแล้วล่ะก็ เช่นนั้นทั่วทั้งนิกายกระบี่สวรรค์คงมิมีผู้ใดรอดชีวิตไปได้อย่างแน่นอน
ดังนั้นเมื่อทุกคนเห็นร่างของนักพรตเสวียนจีแตกสลายกลายเป็นละอองเลือดอย่างง่ายดาย จึงรู้สึกตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก
น่าเหลือเชื่อ !
ช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก !
หลังจากลังเลอยู่สักพัก เหล่าผู้แข็งแกร่งของสำนักเซียนใหญ่ทั้งสามเหมือนจะนึกบางอย่างขึ้นมาได้
เสียงลึกลับที่จู่ ๆ ก็ดังขึ้นในโสตประสาทเมื่อครู่ !
มิใช่สิ !
กล่าวให้ถูกคงจะเป็นเสียงจากสวรรค์ !
“ทุกท่าน เมื่อครู่นี้มีเสียงลึกลับดังขึ้นในโสตประสาทของพวกท่านหรือไม่ ? ”
“เสียง ? นั่นมันเสียงสวรรค์ต่างหากเล่า”
“เรียกว่าเสียงสวรรค์ก็คงมิเกินจริงเท่าไรนัก ! ”
“ถูกต้อง หากมิมีเสียงสวรรค์นี้ล่ะก็ วันนี้เกรงว่าพวกเราหากมิตายก็คงเจ็บหนักเป็นแน่ ! ”
“แต่……เป็นเพราะอันใดกันแน่ ? ”
“เหตุใดในช่วงเวลาสำคัญถึงมีเสียงสวรรค์ดังขึ้นได้ แล้วเสียงสวรรค์นี้มาจากผู้แข็งแกร่งที่ไร้เทียมทานท่านใดกัน ? ”
“ที่ทุกท่านกล่าวมาล้วนแล้วแต่มีเหตุผลทั้งสิ้น แต่เรื่องนี้เกิดขึ้นที่นิกายกระบี่สวรรค์ คิดว่าเหล่าท่านพี่จากนิกายกระบี่สวรรค์คงจะรู้ดีที่สุดกระมัง ? ”
“หรือว่าภายในนิกายกระบี่สวรรค์ มีบุคคลที่ไร้เทียมทานซ่อนตัวอยู่ ? ”
เอ่ยถึงตรงนี้ คนของสำนักเซียนใหญ่ทั้งสองต่างก็ส่งสายตาสื่อสารกัน ก่อนจะค่อย ๆ หันไปมองพวกอู๋ไท่เหอ
“ทุกท่านอย่าได้เข้าใจผิด นิกายกระบี่สวรรค์ของเรามิมีบุคคลเช่นนั้นอยู่จริง ๆ ”
อู๋ไท่เหอมีท่าทางอ้ำอึ้งเล็กน้อย ก่อนจะรีบโบกมือปฏิเสธ
“ทุกท่านอย่าได้มองพวกข้าด้วยสายตาเช่นนี้ นิกายกระบี่สวรรค์ของเรามิมีบุคคลเช่นนั้นจริง ๆ มิเช่นนั้นพันปีมานี้ นิกายกระบี่สวรรค์ของเราจะยอมให้แดนบำเพ็ญเพียรโบราณบนเขาหยุนหลานตกไปอยู่ในมือของคนอื่นได้เยี่ยงไรกัน ? ”
ขงซิงเจี้ยนและอู๋ไท่เหอลอบสบตากันเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยเสริมขึ้น
ส่วนหนิงซู่ซู่นั้นมิถนัดที่จะโกหกผู้ใด จึงเพียงลอบชำเลืองมองด้านล่าง และมีท่าทีที่เย็นชาเช่นเคย
ต้องยอมรับว่าตอนที่เสียงของเย่ฉางชิงดังขึ้น อู๋ไท่เหอก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นเย่ฉางชิง
และพวกเขายังรู้อีกว่า ผู้ที่ผนึกตบะบารมีและความทรงจำของตนเองเพื่อมาฝึกฝนที่นี่อย่างเย่ฉางชิงนั้น ย่อมมิต้องการให้ผู้ใดรู้ตัวตนที่แท้จริงของเขา
หากพูดความจริงออกไป มิแน่ภายภาคหน้าคงมิได้มีเพียงแค่พวกเขา เกรงว่าแม้แต่นิกายกระบี่สวรรค์ก็จะต้องได้รับผลกรรมที่คาดมิถึงไปด้วยก็เป็นได้ ดังนั้นพวกเขาจะกล่าวออกไปมิได้ ต่อให้ตีให้ตายก็พูดมิได้อย่างเด็ดขาด
เมื่อได้ยินคำตอบเช่นนั้น ผู้แข็งแกร่งของสองสำนักเซียนใหญ่ที่เหลือต่างก็ขมวดคิ้วมุ่น พลางหันไปสบตากันอย่างอดมิได้
วินาทีต่อมา ท่าทีของพวกเขาก็แปรเปลี่ยนไป ทุกคนยกมือทั้งสองข้างขึ้น จากนั้นก็โค้งลงคำนับ
“พวกเราขอขอบคุณผู้อาวุโสที่ยื่นมือเข้ามาช่วย พระคุณในวันนี้ผู้น้อยจะจดจำเอาไว้ในใจขอรับ”
พวกเขารู้ดีว่าบุคคลที่ไร้เทียมทานท่านนี้มิต้องการปรากฏกาย ย่อมต้องมีเหตุผลของเขาเป็นแน่
และบุคคลที่ไร้เทียมทานเช่นนี้ ไหนเลยพวกเขาจะสามารถคาดเดาได้ ?
แต่การที่อีกฝ่ายยื่นมือเข้ามาช่วยพวกเขาในช่วงวิกฤต ผู้น้อยเช่นพวกเขาย่อมมิอาจที่จะเสียมารยาทได้ จึงต้องแสดงความเคารพออกมา เพราะมีความเป็นไปได้สูงที่อีกฝ่ายจะแอบมองอยู่
ขณะเดียวกันเมื่อเห็นภาพอันน่าขบขันเช่นนั้น
เย่ฉางชิงที่ยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนก็กระตุกยิ้มมุมปาก คล้ายกับกลั้นยิ้มเอาไว้มิอยู่
‘ยอดฝีมือที่ไร้เทียมทาน ? ’
‘ผู้อาวุโส ? ’
‘ข้าดูเหมือนเป็นคนเช่นนั้นหรือ ? ’
‘ตอนนี้ข้ามีตบะบารมีเพียงระดับแดนก่อกำเนิดเท่านั้น และขณะที่พวกเจ้าตกอยู่ในกลหมาก เป็นธรรมดาที่คนนอกจะมองเห็นอันใดได้ชัดเจนกว่าคนที่อยู่ภายในก็เท่านั้น’
‘จริงสิ ! ’
เย่ฉางชิงเหมือนจะนึกบางอย่างขึ้นมาได้กะทันหัน ดวงตาคมเปล่งประกายบางอย่างขึ้นมา
‘ดูจากวิธีการเดินหมากเมื่อครู่แล้ว เหตุใดถึงได้คล้ายกับวิธีการเดินหมากของเขาได้ ? ’
‘นี่มันเรื่องอันใดกันแน่ ! ’
‘อีกทั้งมิว่าจะเป็นโลกเบื้องล่าง หรือว่าสวรรค์บูรพาที่เขาอยู่ในเวลานี้ มิว่าจะกับคนหรือว่าสิ่งของก็มักจะเกิดความรู้สึกที่คุ้นเคยบางอย่างอยู่ร่ำไป’
‘หรือว่าหลังจากที่ข้ามาที่โลกบำเพ็ญเพียรแห่งนี้แล้ว มีความทรงจำบางส่วนขาดหายไปเยี่ยงนั้นรึ ? ’
‘หรือว่าข้าถูกคนสังหาร แล้วมาเกิดใหม่เป็นชาติที่สอง ? ’
‘มิใช่หรอกกระมัง ? ’
จนเวลาผ่านไปหลายอึดใจ
ขณะที่เย่ฉางชิงกำลังคิดใคร่ครวญ และคาดเดาตัวตนที่แท้จริงของตนเองอยู่นั้น
กระดานหมากที่ปกคลุมท้องฟ้าอยู่ จู่ ๆ ก็มิรู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น เมื่อมีหมอกสีดำจำนวนมหาศาลปะทุออกมา
มิเพียงเท่านั้นไอพลังและพลานุภาพอันน่าสะพรึงกลัวกลุ่มหนึ่ง ก็ได้แผ่พลังทำลายล้างกระจายออกไปภายในพริบตา
เกิดเสียงดัง ปั้ง !
กระดานหมากที่ปกคลุมท้องฟ้าภายในสำนักนิกายกระบี่สวรรค์ ราวกับจะถล่มลงมาก็มิปาน ความว่างเปล่าเกิดรอยแยกขึ้นเป็นเสี่ยง ๆ
ภาพเช่นนี้ช่างน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก !
ขณะเดียวกันผู้แข็งแกร่งของสำนักเซียนใหญ่ทั้งสามต่างก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป ท่าทางเต็มไปด้วยตื่นตระหนก
ด้วยพลานุภาพอันน่ากลัวที่กดทับลงมา ทำให้พวกเขาต่างร่วงลงสู่พื้นดิน ราวกับดาวหางที่กระแทกพื้นดิน
มินานภายใต้หมอกดำอันมหาศาล
ก็ได้มีร่างอันเลือนรางร่างหนึ่งปรากฏขึ้น
พร้อมกับมีเสียงที่แหบแห้งและเย็นเยียบดังขึ้นมา
“คิดมิถึงว่าพวกเจ้าจะสามารถทำลายกลหมากของนายท่าน หลบเลี่ยงการโจมตีของกลหมาก ทั้งยังสังหารเคอเสวียนจีได้เช่นนี้”
“แต่น่าเสียดายสิ่งที่พวกเจ้ามิรู้ก็คือ เขาเป็นศิษย์ผู้หนึ่งที่ข้าตั้งใจเลือกให้กับนายท่าน แม้ว่ากายเนื้อของเขาจะถูกทำลาย เหลือเพียงจิตวิญญาณ แต่พวกเจ้าทั้งหมดก็จะต้องชดใช้ด้วยชีวิตเช่นกัน”
ทันทีที่สิ้นเสียงระหว่างที่คนด้านล่างมีสีหน้าตื่นตระหนก และหันมามองหน้ากันด้วยความตกใจนั้น ก็มีร่าง ๆ หนึ่งปรากฏออกมาจากหมอกดำอันหนาแน่น
ก้าวเดินอยู่กลางอากาศ ก่อนทะลุหมอกดำและปรากฏสู่สายตาของทุกคน
ทันใดนั้นสิ่งที่มิมีผู้ใดคาดคิดก็คือ คนผู้นี้ก็คือนักพรตเสวียนจีที่ดับสูญไปนั่นเอง
แต่เขาในตอนนี้ที่ทุกคนเห็น คือ สภาวะของจิตวิญญาณเท่านั้น
“พวกเจ้าคงคิดมิถึงล่ะสิ ว่าข้ายังมีวิญญาณดั้งเดิมอีกส่วนหนึ่งเก็บเอาไว้ภายในกระดานหมากเฉียนคุน”
นักพรตเสวียนจีที่ร่างทั้งร่างดำทะมึนและมีแสงสีขาวดำลอยวนอยู่ ได้ปรายตามองเบื้องล่าง พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงอำมหิตว่า “พวกเจ้าทำลายกายเนื้อของข้า โจมตีจิตวิญญาณดั้งเดิมครึ่งหนึ่งของข้า วันนี้ข้าจะให้พวกเจ้าที่นี่ทุกคนตายให้หมด ! ”
เอ่ยเพียงเท่านั้นนักพรตเสวียนจีก็หมุนกายไปโค้งคำนับให้แก่ร่างอันเลือนรางร่างนั้น พลางเอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “ท่านวิญญาณอาวุธ ขอท่านได้โปรดลงมือกำจัดพวกมดปลวกเหล่านี้ด้วยเถอะขอรับ ! ”
ทันทีที่สิ้นเสียง พลานุภาพอันน่ากลัวที่ปกคลุมท้องฟ้าทั่วทั้งสำนักนิกายกระบี่สวรรค์ด้านในก็ได้เพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า และเริ่มกดดันทุกคนแทบจะภายในพริบตา
ภายใต้แรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัวนี้
มิว่าจะเป็นผู้แข็งแกร่งจากสำนักเซียนใหญ่ทั้งสาม หรือเหล่าผู้อาวุโสของนิกายกระบี่สวรรค์ ต่างก็มีร่างกายสั่นเทาอย่างรุนแรงในทันที จิตวิญญาณสั่นสะท้าน พลังวิญญาณภายในร่างกายก็ตีบตันจนมิสามารถโคจรได้
เวลาผ่านไปชั่วอึดใจ
ทุกคนในที่นั้นต่างมิสามารถทนรับแรงกดดันอันน่ากลัวนี้ได้อีก ก่อนจะพากันทรุดลงกับพื้น
บางคนก็คุกเข่าลงกับพื้น
ทว่าในตอนนั้นเองกลับมีร่างสูงโปร่งร่างหนึ่ง สามารถยืนอยู่บนจัตุรัสอย่างมิสะทกสะท้าน
ใช่แล้ว !
คนผู้นั้นก็คือ เย่ฉางชิง
Comments