เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน 444 หรือผู้อาวุโสท่านนั้นก็คือบุรุษหนุ่มลึกลับผู้นี้งั้นหรือ ?
ตอนที่ 444 หรือผู้อาวุโสท่านนั้นก็คือบุรุษหนุ่มลึกลับผู้นี้งั้นหรือ ?
ต้องบอกว่าเย่ฉางชิงที่ยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนในเวลานี้ช่างดูสะดุดตายิ่งนัก ราวกับนกกระเรียนที่อยู่ท่ามกลางฝูงไก่ เพียงแต่ทุกคนในเวลานี้กำลังต้านทานพลานุภาพอันน่ากลัว ที่ราวกับถูกภูผาเทพมากมายกดอยู่บนร่าง จนมิมีอารมณ์จะมาสนใจเย่ฉางชิง
อีกอย่างผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของสี่สำนักเซียนใหญ่ ยังยากที่จะต้านทานพลานุภาพอันน่ากลัวนี้ได้ ยิ่งมิต้องพูดถึงเหล่าผู้อาวุโสฝ่ายในที่อยู่รอบกายของเย่ฉางชิง
ขณะเดียวกันเมื่อได้เห็นสถานการณ์คับขันตรงหน้า
เย่ฉางชิงก็นิ่งงัน รู้สึกราวกับมีเสียงวิ๊งดังขึ้นในโสตประสาท
‘นี่มันเรื่องอันใดกันอีกล่ะนี่ ! ’
‘พวกเขาดูเหมือนกำลังถูกแรงกดดันบางอย่างที่มองมิเห็นกดทับอยู่ แต่เหตุใดข้าถึงมิรู้สึกเลยแม้แต่นิดเดียว ? ’
‘หรือว่าข้าจะมีความเกี่ยวข้องอันใดกับวิญญาณอาวุธตนนั้นงั้นหรือ ? ’
‘อืม ! ’
‘ มีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นเช่นนั้น ! ’
‘มิเช่นนั้นด้วยพลังอันน่ากลัวของวิญญาณอาวุธตนนั้น จะละเว้นข้าทำไมกัน ? ’
‘ดูเป็นไปมิได้แม้แต่น้อย ! ’
‘ใช่แล้ว ! ’
‘เหตุใดเขาถึงได้ละเว้นข้ากัน ? ’
‘หรือก่อนที่ข้าจะปรากฏตัวที่เมืองเสี่ยวฉือ ข้าได้สูญเสียความทรงจำส่วนหนึ่งไปจริง ๆ ? ’
‘มิใช่กระมัง ! ’
‘คงมิใช่เช่นนั้นหรอกกระมัง ! ’
‘หากเป็นเช่นนั้นจริง ข้าเคยรู้จักกับวิญญาณอาวุธตนนี้ด้วยเยี่ยงนั้นหรือ ? ’
‘แต่ข้ารู้จักกับเขาจริง ๆ ก็จำเป็นจะต้องให้วิญญาณอาวุธตนนี้ยั้งมือ และปล่อยพวกเขาไปหรือไม่ ? ’
……
……
ขณะเดียวกัน เมื่อร่างของเย่ฉางชิงปรากฏและยังคงยืนตระหง่านอยู่เยี่ยงนั้น
นักพรตเสวียนจีที่ยืนอยู่กลางอากาศ และกำลังดูแคลนพวกมดปลวกอยู่นั้น ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปในทันที
“ท่านวิญญาณอาวุธ หรือว่าคนผู้นี้จะมีสมบัติที่ไร้เทียมทานอันใดติดกายอยู่เยี่ยงนั้นหรือขอรับ ? ”
นักพรตเสวียนจีอดมิได้ที่จะเอ่ยถามขึ้นเบา ๆ
ทว่าผู้ที่ถูกเรียกว่าท่านวิญญาณอาวุธ กลับมิได้ตอบกลับแต่อย่างใด
จนเวลาผ่านไปหลายอึดใจ
“เขา……เขา……เขาคงมิใช่นายท่านหรอกกระมัง ? ”
“เป็นไปมิได้……เป็นไปมิได้เด็ดขาด ด้วยฐานะของนายท่านจะมาปรากฏตัวที่สวรรค์บูรพาได้เยี่ยงไรกัน ? ”
“แต่……ลักษณะและท่าทางของคนผู้นี้ ช่างเหมือนกับนายท่านราวกับแกะ อีกทั้งไอพลังบนกายก็มีส่วนคล้ายมากจริง ๆ มิหนำซ้ำเขายังมิถูกพลังอันน่ากลัวกดดันแม้แต่น้อยอีกด้วย……”
“เข้าใจแล้ว……ข้าเข้าใจแล้ว……ต้องเป็นเช่นนี้แน่”
เสียงที่ค่อนข้างแหบแห้งดังขึ้นอย่างขาด ๆ หาย ๆ
นักพรตเสวียนจีขมวดคิ้วน้อย ๆ ก่อนจะเอ่ยถามด้วยสีหน้าสงสัย “ท่านวิญญาณอาวุธ หรือว่าแม้แต่อิทธิฤทธิ์ของท่านก็ยังสัมผัสมิได้ ว่าคนผู้นี้มีของวิเศษใดติดกายหรือขอรับ ? ”
ตอนนั้นเอง ทันทีที่สิ้นเสียงของนักพรตเสวียนจี
ระหว่างที่เย่ฉางชิงกำลังจะเอ่ยปากนั้น
ภาพที่ชวนแปลกประหลาดใจภาพหนึ่งก็เกิดขึ้น
พลานุภาพอันน่าสะพรึงกลัวที่ปกคลุมทั่วทั้งสำนักนิกายกระบี่สวรรค์ด้านใน พลันมลายหายไปในอากาศแทบจะในพริบตา
มิเพียงเท่านั้น กระดานหมากที่ปกคลุมท้องนภาราวกับกลุ่มเมฆ ก็ได้แปลงร่างกลับไปเป็นร่างเดิมภายในพริบตา จากนั้นก็เกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง จนเกิดรอยแยกขนาดใหญ่บนท้องฟ้า ก่อนจะหนีหายไป
เวลาผ่านไปมิกี่อึดใจ
เมื่อกระดานหมากปรากฏขึ้นอีกครั้งบนยอดเขาแห่งหนึ่ง ซึ่งไกลจากหลิงโจวพอสมควร ทว่ากลับมิรู้ว่าคือที่แห่งใดกันแน่
ทันใดนั้นหลังจากนักพรตเสวียนจีปรากฏกายขึ้นอีกครั้ง ร่างผอมบางร่างนั้นก็ปรากฏกายขึ้นแทบจะพร้อม ๆ กัน
ร่างนั้น คือ ผู้เฒ่าผมยาวที่แบ่งเป็นสีขาวและสีดำอย่างชัดเจน และสวมอาภรณ์สีดำ
แต่สิ่งที่แปลกประหลาดที่สุดก็คือ ดวงตาทั้งสองข้างของคนผู้นั้นกลับเป็นสีดำและสีขาวอย่างละข้าง
“ท่านวิญญาณอาวุธ นี่มันเกิดอันใดขึ้นกันแน่ขอรับ ? ”
นักพรตเสวียนจีขมวดคิ้วมุ่น ท่าทางเต็มไปด้วยความงุนงง พร้อมกับเอ่ยถามขึ้น
ผู้เฒ่าร่างผอมบางมีสีหน้าเข้มขึ้นทันที ประกายดำมืดพาดผ่านแววตาของเขา ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบว่า “นายท่าน……นายท่านมายังสวรรค์บูรพาแล้ว”
“นายท่าน ? ”
เมื่อได้ยินคำเรียกเช่นนี้จากปากของวิญญาณอาวุธ นักพรตเสวียนจีก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปในทันที อดมิได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าด้วยความหวาดหวั่น
วิญญาณอาวุธของกระดานหมากเฉียนคุนนี้เรียกได้ว่าผู้ไร้เทียมทานก็ว่าได้ เช่นนั้นนายท่านของเขาจะเป็นผู้ที่น่าสะพรึงกลัวขนาดไหนกัน !
‘มิน่าเชื่อ ! ’
‘น่าเหลือเชื่อจริง ๆ ! ’
‘แล้วนายท่านที่วิญญาณอาวุธเอ่ยถึง แท้จริงแล้วเป็นผู้ใดกันแน่ ? ’
‘หรือระหว่างที่อยู่ในนิกายกระบี่สวรรค์ก่อนหน้านี้ นายท่านผู้นั้นได้คอยขัดขวางอิทธิฤทธิ์ของวิญญาณอาวุธเยี่ยงนั้นหรือ ? ’
‘หรือว่านายท่านของเขาจะอยู่ในสามสำนักเซียนใหญ่ ? ’
‘จริงสิ ! ’
‘เป็นบุรุษหนุ่มที่มีใบหน้าหล่อเหลา ท่าทางสุภาพอ่อนโยนผู้นั้นงั้นหรือ ? ’
‘คงมิใช่บุรุษหนุ่มผู้นั้นหรอกกระมัง ? ’
ระหว่างที่นักพรตเสวียนจีกำลังไตร่ตรอง และคาดเดาไปต่าง ๆ นานานั้น
ผู้เฒ่าร่างผอมบางถอนสายตากลับมา ก่อนจะหันมาเอ่ยกับนักพรตเสวียนจีเสียงเรียบ
“ก่อนหน้านี้ข้าเองก็เคยสงสัยว่าเหตุใดบนสวรรค์บูรพา จึงได้มีคนที่สามารถแก้กลหมากของนายท่านได้ ตอนนี้ดูเหมือนว่าการที่กายเนื้อของเจ้าถูกทำลาย จิตวิญญาณเกินครึ่งแตกสลาย ล้วนแล้วแต่เป็นฝีมือของนายท่านทั้งสิ้น”
เมื่อได้ยินดังนั้น นักพรตเสวียนจีก็รู้สึกเย็นวาบไปทั่วทั้งตัวภายในพริบตา ก่อนร่างของเขาจะสั่นเทาขึ้นมาอย่างอดมิได้
“ท่านวิญญาณอาวุธ ท่านบอกว่า……จะแนะนำข้าให้กับนายท่านของท่านมิใช่หรือขอรับ ? ”
นักพรตเสวียนจีถึงกับถอยหลังกรูดโดยมิรู้ตัว พลางเอ่ยด้วยความตกตะลึง
“ถูกต้อง ตอนแรกข้าคิดเช่นนั้นจริง ๆ เพราะนายท่านนั้นเป็นคนที่เปลี่ยวเหงายิ่งนัก”
ผู้เฒ่าชุดดำโบกมือปัดไปมาแล้วเอ่ยว่า “แต่เจ้ามิควรไปปรากฏตัวที่สำนักเล็ก ๆ อย่างนิกายกระบี่สวรรค์ และยิ่งมิควรทำเรื่องต่ำช้าเพียงเพราะเดินหมากแพ้ ดังนั้นตอนนี้เจ้าจึงมิมีคุณสมบัติและคุณค่าใด ๆ อีกแล้ว”
“ยิ่งไปกว่านั้นเจ้ายังทำให้ข้าต้องแปดเปื้อนผลกรรม ที่มิอาจรับไหวไปกับเจ้าด้วย”
เอ่ยเพียงเท่านั้น ดวงตาของผู้เฒ่าชุดดำก็มีไอสังหารอันน่ากลัวพาดผ่าน พร้อมยื่นแขนไปข้างหน้า นิ้วทั้งห้ากางออก
ทันใดนั้น นักพรตเสวียนจีที่เดิมที่เหลือเพียงจิตวิญญาณดั้งเดิมอยู่แล้วก็แตกเป็นเสี่ยง ๆ ภายในพริบตา ถึงขนาดมิมีโอกาสได้เปล่งเสียงใด ๆ อีก
ซึ่งหมายความว่าบัดนี้นักพรตเสวียนจีผู้แข็งแกร่งที่สุดบนสวรรค์บูรพาได้ดับสูญอย่างแท้จริงแล้ว !
“ที่สวรรค์ลงทัณฑ์ครั้งก่อน ข้ายังสงสัยอยู่ว่าแท้จริงแล้วเป็นเพราะเหตุใด แต่บัดนี้ดูแล้วก็คงเป็นฝีมือของนายท่านด้วยสินะ”
“มิหนำซ้ำเจ้าคนไร้ความสามารถผู้นี้ ยังบุกมาหาเรื่องสำนักเล็ก ๆ อย่างนิกายกระบี่สวรรค์ ทั้งยังทำให้ข้าเกือบล่วงเกินนายท่านไปแล้ว”
“คนผู้นี้ต่อให้ตายไปแล้ว ก็ยังมิสาสมกับความผิด……”
จนเวลาผ่านไปนานเท่าไรมิรู้ได้
ในที่สุดผู้เฒ่าชุดดำก็สะบัดแขนอีกครั้ง ก่อนจะเกิดรอยแยกขนาดสิบกว่าจั้งขึ้นกลางอากาศ จากนั้นเขาก็ได้ก้าวเข้าไป
……
……
อีกด้านหนึ่ง
หลังจากที่นักพรตเสวียนจีและวิญญาณอาวุธตนนั้นหนีไปอย่างกะทันหัน
เวลาผ่านไปอีกหนึ่งก้านธูป
ผู้คนที่ทั้งนั่งและหมอบอยู่บนพื้นก็ทยอยได้สติขึ้นมา
“ทุกท่าน นี่มันเกิดอันใดขึ้นกันแน่”
“นักพรตเสวียนจีและวิญญาณอาวุธน่ากลัวตนนั้น เหตุใดจู่ ๆ ก็หนีไปเช่นนี้เล่า ? ”
“ใช่แล้ว ! พวกท่านว่าเป็นผู้อาวุโสที่ลงมือก่อนหน้านี้ ทำอันใดพวกเขาหรือเปล่านะ ? ”
“อืม คงจะเป็นเช่นนั้น ! ”
“จริงด้วย……จริงด้วย ข้าเดามิผิดว่าก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสท่านนั้น ได้ลอบมองมาโดยตลอด”
“จริงด้วย หากมิใช่เพราะผู้อาวุโสท่านนั้น วันนี้เกรงว่าพวกเราคงได้ตายอยู่ที่นี่เป็นแน่”
“……”
“……”
ระหว่างที่ผู้แข็งแกร่งของทั้งสี่สำนักเซียนที่ได้สติขึ้นมาแล้ว กำลังวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่นั้น
ก็ได้มีประกายบางอย่างพาดผ่านแววตาของหนิงซู่ซู่ ก่อนจะเหลือบมองไปที่เย่ฉางชิงที่อยู่มิไกลนัก
แต่การกระทำของนางหาได้รอดพ้นสายตาของผู้เฒ่าที่สวมเสื้อป่านท่านหนึ่ง ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามไม่
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ผู้เฒ่าที่สวมเสื้อป่านก็ได้มองตามสายตาของหนิงซู่ซู่ไปด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย
วินาทีต่อมา เมื่อเขาเหลือบไปเห็นเย่ฉางชิงที่ยืนอยู่มิไกลนัก ดวงตาพลันหรี่ลง ร่างทั้งร่างกลับนิ่งค้างราวกับหิน
‘คงมิใช่กระมัง ! ’
‘หรือผู้อาวุโสท่านนั้นก็คือบุรุษหนุ่มลึกลับผู้นี้งั้นหรือ ? ’
Comments