เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน 447 พวกท่านเรียกข้าว่าท่านเย่ก็พอ

Now you are reading เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน Chapter 447 พวกท่านเรียกข้าว่าท่านเย่ก็พอ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 447 พวกท่านเรียกข้าว่าท่านเย่ก็พอ

เย่ฉางชิงยิ้มออกมา พร้อมกับพยักหน้าน้อย ๆ

เมื่อเห็นเหยาห้าวหยานที่สวมชุดอันหรูหรา ท่าทางมิธรรมดา เดินนำผู้อาวุโสสองท่านเข้ามาอย่างรีบร้อน

เขาก็อดมิได้ที่จะเอ่ยถามขึ้นว่า “ท่านนี้คือ…… ? ”

ขงซิงเจี้ยนเหลือบมองตามสายตาของเย่ฉางชิง ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้มอย่างมิใส่ใจว่า “เขาน่ะหรือ เขามีนามว่าเหยาห้าวหยาน เป็นประมุขนิกายกระบี่สวรรค์คนปัจจุบัน”

ประมุข ?

เย่ฉางชิง: (⊙?⊙)

‘ประมุขของนิกายกระบี่สวรรค์ถูกเรียกใช้ไปมาเช่นนี้ เช่นนั้นสามคนข้าง ๆ นี้มีฐานะอันใดกัน ? ’

‘บรรพจารย์ของนิกายกระบี่สวรรค์ ? ’

‘มิใช่กระมัง ! ’

‘อีกอย่างพวกเขาสามคนมีท่าทีที่สุภาพต่อข้าเช่นนี้’

‘มิใช่มโนว่าข้าเป็นยอดฝีมือที่ไร้เทียมทานอันใดอีกหรอกกระมัง ? ’

‘สมองของผู้ฝึกเซียนเหล่านี้เป็นอันใดกันไปหมด ? ’

‘ข้ามิเข้าใจเลยจริง ๆ ! ’

เมื่อคิดถึงตรงนี้ ใบหน้าของเย่ฉางชิงก็เผยสีหน้าสับสนออกมา

ก่อนหน้านี้เขายังคิดอยู่ว่าควรจะเอากระบี่หยกวิญญาณดำ ไปหาประมุขของนิกายกระบี่สวรรค์ เพื่อพิสูจน์ว่าตนนั้นได้สาบานเป็นพี่น้องกับเซียวเย่ฟานแล้ว และนับตามศักดิ์เขาจะถือว่าเป็นบรรพบุรุษของนิกายกระบี่สวรรค์ท่านหนึ่งแล้ว จากนั้นก็จะสามารถใช้ทรัพยากรในการบำเพ็ญเพียรต่าง ๆ ได้อย่างเต็มที่

ทว่าตอนนี้ตัวเขากลับถูกบรรพจารย์ทั้งสามท่านของนิกายกระบี่สวรรค์ มโนว่าเป็นยอดฝีมือที่ไร้เทียมทานอันใดนั่นไปเสียแล้ว

นี่ก็หมายความว่า เพียงแค่เขาออกคำสั่ง บรรพจารย์ทั้งสามท่านของนิกายกระบี่สวรรค์ก็พร้อมจะทำตามที่เขาสั่งเยี่ยงนั้นหรือ

‘ ที่นี้เขาควรจะทำเช่นไรดี ? ’

‘ช่างลำบากใจยิ่งนัก ! ’

หลังจากลังเลเล็กน้อย แววตาของเย่ฉางชิงก็เปล่งประกายขึ้น

‘เกือบลืมไปเลย พี่เซียวที่ตื๊อให้ข้าสาบานเป็นพี่น้องด้วย เป็นประมุขคนแรกของนิกายกระบี่สวรรค์ ตามฐานะแล้วคงจะอยู่เหนือกว่าพวกเขาทั้งสามคนเป็นแน่’

‘ดังนั้นข้าเป็นน้องร่วมสาบานของพี่เซียว ตามศักดิ์แล้วก็ย่อมสูงกว่าพวกเจ้าหนึ่งขั้น……’

เย่ฉางชิงลอบไตร่ตรองอยู่ในใจ สุดท้ายจึงตัดสินใจว่าจะเปิดเผยตนเอง ให้บรรพจารย์ทั้งสามท่านของนิกายกระบี่สวรรค์ได้รู้

“น้องเย่ เจ้ามิเป็นอันใดใช่หรือไม่ ? ”

เมื่อเห็นสีหน้าของเย่ฉางชิงเปลี่ยนไป อู๋ไท่เหอจึงได้ลองถามหยั่งเชิงดู

ได้ยินดังนั้น เย่ฉางชิงจึงได้สติขึ้นมา ก่อนจะโบกมือปฏิเสธเบาๆ “ข้ามิเป็นไร พวกเราไปกันเถอะ”

จากนั้นอู๋ไท่เหอก็เดินนำพวกเขาตรงไปยังตำหนักพันกระบี่

ตอนนั้นเองเมื่อเห็นเหล่าบรรพจารย์ รวมถึงเย่ฉางชิงเดินตรงไปยังตำหนักพันกระบี่

ผู้อาวุโสท่านหนึ่งที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เหยาห้าวหยานก็อดมิได้ที่จะถามขึ้นว่า “ท่านประมุข บุรุษหนุ่มผู้นี้เป็นผู้ใดกันแน่ ท่านบรรพจารย์ทั้งสามถึงได้ให้เกียรติเขาถึงเพียงนี้ ? ”

“หากข้าเดามิผิดล่ะก็ คนผู้นี้ก็คือบุรุษหนุ่มที่ก้าวขึ้นบันไดเมฆาถึงขั้นที่ร้อยผู้นั้น”

เหยาห้าวหยานขมวดคิ้วแน่น แต่ท่าทางกลับเต็มไปด้วยความงุนงงสงสัย “ส่วนท่าทีของท่านบรรพจารย์ทั้งสามที่มีต่อเขา ข้าเองก็มิเข้าใจเช่นกัน แต่หากมิมีสิ่งใดผิดพลาด คงจะเกี่ยวกับความลับด้านบนบันไดเมฆากระมัง ? ”

“เป็นคนผู้นี้นี่เอง มิน่าเล่าก่อนหน้านี้ข้าถึงรู้สึกคุ้นหน้านัก”

“เอาเช่นนี้ พวกเจ้าพาผู้อาวุโสหนานกงไปส่งที่ตำหนักพักฟื้นก่อน ข้าจะไปดูที่ตำหนักพันกระบี่สักหน่อย เยี่ยงไรซะข้าก็เป็นประมุขของนิกายกระบี่สวรรค์ มีสิทธิ์ที่จะรู้ว่าด้านบนบันไดเมฆาก้าวที่ร้อยแท้จริงแล้วซุกซ่อนความลับอันใดเอาไว้กันแน่”

“ท่านประมุขพูดมีเหตุผล เป็นถึงประมุขของนิกายกระบี่สวรรค์ มิว่าจะด้วยเหตุใดก็ควรมีสิทธิ์ที่จะได้รู้”

……

……

อีกด้านหนึ่ง

หลังจากก้าวเข้ามาในตำหนักพันกระบี่ อู๋ไท่เหอรวมถึงขงซิงเจี้ยนก็ได้เชื้อเชิญให้เย่ฉางชิงนั่งลงที่ตำแหน่งบนสุด

จากนั้นอู๋ไท่เหอเลือกที่จะนั่งข้าง ๆ เย่ฉางชิง ส่วนขงซิงเจี้ยนและหนิงซู่ซู่ก็ได้นั่งลงตรงข้ามกัน

หลังจากเรียบเรียงคำกล่าวอยู่สักพัก

เย่ฉางชิงก็เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาก่อนว่า “มิทราบว่าท่านทั้งสามรู้นามของท่านประมุขคนแรกของนิกายกระบี่สวรรค์หรือไม่ ? ”

เมื่อได้ยินดังนั้น พวกอู๋ไท่เหอก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที พลางส่งสายตาสื่อสารกันทันที

‘หมายความว่าเยี่ยงไรกัน ! ’

‘หรือผู้อาวุโสท่านนี้จะมีความเกี่ยวข้องกับท่านประมุขคนแรกเยี่ยงนั้นหรือ ? ’

‘ไหนบอกว่าเขาผนึกความทรงจำและตบะบารมีเอาไว้เยี่ยงไรเล่า ? ’

‘ความทรงจำถูกเปิดออกแล้วงั้นหรือ ? ’

‘ มิน่าจะใช่ ! ’

เมื่อคิดถึงตรงนี้

สูด ! ทั้งสามต่างก็พากันสูดลมหายใจเข้าปอดทันที

“น้อง……เย่ หรือว่าเจ้ารู้จักกับท่านบรรพบุรุษเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

อู๋ไท่เหอใจกระตุกเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถามออกมาอย่างระมัดระวัง

“มากกว่ารู้จักเสียอีก”

เย่ฉางชิงยิ้มกว้าง แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งว่า “ข้ากับพี่เซียวได้สาบานเป็นพี่น้องกันแล้ว”

เอ่ยเพียงเท่านั้น เย่ฉางชิงก็เพ่งสมาธิแล้วหยิบกระบี่หยกวิญญาณดำออกมาจากแหวนเก็บสมบัติ

ทันใดนั้นแสงสีดำก็เปล่งขึ้นมาในทันที กระบี่หยกสีดำโบราณเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นในมือของเย่ฉางชิง

ขณะเดียวกันกลิ่นอายความเก่าแก่ พลันแผ่กระจายไปทั่ว

ทันใดนั้น พวกอู๋ไท่เหอต่างก็ตกตะลึงจนอ้าปากค้าง ร่างแข็งค้างราวกับหิน

ข้ากับพี่เซียวได้สาบานเป็นพี่น้องกัน !

‘เขาได้สาบานเป็นพี่น้องกับท่านบรรพบุรุษที่ขึ้นไปยังแดนเทพบรรพกาลด้วยเยี่ยงนั้นหรือ ! ’

‘นี่ก็หมายความว่าเย่ฉางชิงมาจากแดนเทพบรรพกาลจริง ๆ ! ’

ขณะเดียวกันยังได้สาบานเป็นพี่น้องกับท่านประมุขคนแรกเซียวเย่ฟาน หรือก็คือบรรพบุรุษของพวกเขา !

แสดงว่าก่อนหน้านี้ขงซิงเจี้ยนและหนิงซู่ซู่เข้าใจเย่ฉางชิงผิดไปจริง ๆ

มีความเป็นไปได้ว่าเย่ฉางชิงจะผนึกตบะบารมีเอาไว้ แต่หาได้ผนึกความทรงจำของตนเองไม่

อีกอย่างกระบี่หยกโบราณในมือของเขาตอนนี้ คือกระบี่หยกวิญญาณดำเล่มแม่ที่ท่านประมุขคนแรกนำติดตัวไปด้วยมิใช่หรือ ?

เช่นนี้ข้อสงสัยหลายอย่างที่ผ่านมาก็กระจ่างแล้ว

ทั้งการที่เย่ฉางชิงมอบภาพอักษรพู่กัน ที่แฝงเจตนาแท้จริงของกระบี่อันลึกล้ำให้แก่ขงซิงเจี้ยน หรือใช้วิถีแห่งดนตรีช่วยให้หนิงซู่ซู่บรรลุตบะบารมีได้ รวมถึงเหตุผลที่ค่ายกลบนบันไดเมฆามิสามารถทำอันใดเขาได้

จนเวลาผ่านไปครู่ใหญ่

พวกอู๋ไท่เหอก็ได้ลุกขึ้นยืนพร้อม ๆ กัน ก่อนจะโค้งคำนับให้แก่เย่ฉางชิง

“ผู้น้อยคารวะผู้อาวุโสเย่”

พวกอู๋ไท่เหอโค้งคารวะ พร้อมกับเอ่ยขึ้นอย่างนอบน้อม

ได้ยินดังนั้นเหยาห้าวหยานที่เพิ่งจะก้าวเข้ามาในตำหนักพันกระบี่ก็ถึงกับนิ่งงันไปทันที สมองขาวโพลนไปหมด อีกทั้งยังมีเสียงอื้ออึ้งดังขึ้นในโสตประสาทมิหยุด

‘ผู้อาวุโส ? ’

เมื่อได้รับการเรียกขานว่าผู้อาวุโสจากท่านบรรพจารย์ทั้งสามได้ อีกทั้งท่านบรรพจารย์ยังคำนับให้ด้วยความนอบน้อมเช่นนี้อีก

‘บุคคลเช่นนี้แท้จริงแล้วเป็นผู้ใดกันแน่ ? ’

‘นี่มัน ! ! !’

‘นี่มันเรื่องอันใดกันแน่ ! ’

‘ตอนนี้ข้างงไปหมดแล้ว ! ’

‘ผู้ใดก็ได้ช่วยอธิบายให้ข้าฟังที ! ’

ทว่ามินานหลังจากนั้น กระบี่หยกวิญญาณดำที่อยู่ภายในแหวนเก็บสมบัติเกิดของเขาก็สั่นขึ้นอย่างรุนแรง จากนั้นก็จู่โจมพื้นว่างภายในแหวนเก็บสมบัติอย่างบ้าคลั่ง

เหยาห้าวหยานจึงได้สติขึ้นมา

วินาทีต่อมา

แกร๊ก ! ก็ได้มีเสียง ๆ หนึ่งก็ดังขึ้น จากนั้นก็แสงสีดำสายหนึ่งพุ่งทะลุแหวนเก็บสมบัติออกมา

แต่สิ่งที่ทำให้เหยาห้าวหยานตื่นตระหนกยิ่งกว่านั้น ก็คือ กระบี่หยกวิญญาณดำกลับพุ่งไปทางบรรพจารย์ทั้งสาม และบุรุษหนุ่มที่มิรู้ว่าเป็นผู้ใดมาจากไหนผู้นั้น

ทว่าขณะที่เหยาห้าวหยานกำลังส่งเสียงร้องเตือนออกไปนั้น

ก็มีแสงสีดำสายหนึ่งพุ่งออกมาจากบุรุษที่มิรู้ว่าเป็นผู้ใดมาจากไหนผู้นั้น

เพียงเสี้ยววินาทีเมื่อแสงสีดำสองสายก็ปะทะกัน ทั้งสองต่างก็เกี่ยวพันกันเอาไว้และลอยอยู่กลางอากาศ พลางส่งเสียงคำรามต่ำออกมา

‘กระบี่หยกวิญญาณดำอีกเล่มในตำนานเยี่ยงนั้นหรือ ! ’

‘เหมือนจะเข้าใจบ้างแล้ว……’

เหยาห้าวหยานอ้าปากค้าง จ้องเขม็งไปยังภาพตรงหน้า ภายในใจอดมิได้ที่จะทอดถอนใจออกมา

ขณะเดียวกัน เย่ฉางชิงเองก็ได้เงยหน้าขึ้นมองบนอากาศเล็กน้อย ก่อนจะถอนสายตากลับมาแล้วเอ่ยอย่างสบาย ๆ ว่า “มิต้องเรียกผู้อาวุโสเย่หรอก หากมิเหลือบ่ากว่าแรงพวกท่านเรียกข้าว่าท่านเย่ก็พอ”

‘ท่านเย่ ? ’

พวกอู๋ไท่เหอสบตากันเล็กน้อย แล้วจึงเอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “คารวะท่านเย่”

“ตอนนี้ดูเหมือนว่ากระบี่หยกวิญญาณดำแม่ลูก ได้รวมเป็นหนึ่งแล้วกระมัง”

เย่ฉางชิงพยักหน้า แล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็เก็บกระบี่หยกวิญญาณดำเอาไว้ที่นี่เถอะ เพราะถือว่าเป็นสมบัติของประมุขนิกายกระบี่สวรรค์”

เมื่อเห็นปรากฏการณ์สุดอัศจรรย์ ที่กระบี่สองเล่มเกี่ยวรัดและรวมเป็นหนึ่ง ลอยคว้างอยู่กลางอากาศ แม้ภายนอกเย่ฉางชิงจะดูปกติ ทว่าภายในใจกลับรู้สึกชอกช้ำมิน้อย

ปรากฏการณ์เช่นนี้ แสดงว่ากระบี่หยกวิญญาณดำนี้จะต้องมิใช่กระบี่ธรรมดาอย่างแน่นอน

ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ข้ายังเป็นผู้บำเพ็ญเพียรวิถีกระบี่อีกด้วย !

แต่เยี่ยงไรซะนี่ก็เป็นของประจำกายของประมุขนิกายกระบี่สวรรค์

แม้ฐานะในตอนนี้ของข้าจะสูงส่ง สามารถใช้ทรัพยากรในการบำเพ็ญเพียรทั้งหมดของนิกายกระบี่สวรรค์ได้ตามที่ใจต้องการ ทว่ากระบี่หยกวิญญาณดำก็ยังเป็นของประจำกายของประมุขนิกายกระบี่สวรรค์อยู่ดี มิว่าด้วยเหตุผลใด ข้าก็มิสามารถนำมาใช้ได้

อีกอย่างฐานะของข้าในตอนนี้เป็นถึงผู้อาวุโสที่สุดของนิกายกระบี่สวรรค์ พบหน้าครั้งแรกก็ควรจะสงวนท่าทีเอาไว้ก่อน

เมื่อคิดได้ดังนั้นเย่ฉางชิงจึงมิเก็บเรื่องนี้มาใส่ใจอีก

เรื่องที่สำคัญในตอนนี้ก็คือการบำเพ็ญเพียร เพื่อให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้น และก้าวขึ้นจุดสูงสุดของวิถีเซียนเช่นผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่น ๆ

“ท่านทั้งสาม ต่อไปข้าอาจจะต้องบำเพ็ญเพียรอยู่ที่นี่สักระยะหนึ่ง ดังนั้นคงต้องรบกวนทุกท่านด้วย”

เย่ฉางชิงลุกขึ้นยืน พร้อมกับเอ่ยขึ้น

พวกอู๋ไท่เหอตกตะลึงไปเล็กน้อย ก่อนจะรีบฉีกยิ้มออกมา “ท่าน……ท่านเย่ ท่านและประมุขคนแรกของนิกายกระบี่สวรรค์ได้สาบานเป็นพี่น้องกันแล้ว บัดนี้ท่านก็เปรียบเสมือนผู้อาวุโสของพวกเรา เช่นนี้จะเรียกว่ารบกวนได้เยี่ยงไรกันขอรับ”

เย่ฉางชิงสบตากับอู๋ไท่เหอเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้ายิ้ม ๆ

“ท่านเย่ เอาเช่นนี้ก็แล้วกัน”

ขงซิงเจี้ยนเอ่ยด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า “ท่านไปพร้อมกับพวกเรา หากท่านชอบยอดเขาลูกไหน ก็สามารถเลือกที่จะพักอยู่ที่ยอดเขานั้นได้เลย ท่านเห็นเป็นเยี่ยงไรขอรับ ? ”

“ก็ดีเหมือนกัน ! ”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด