เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน 452 นี่เป็นโอกาสของข้าแล้ว

Now you are reading เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน Chapter 452 นี่เป็นโอกาสของข้าแล้ว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 452 นี่เป็นโอกาสของข้าแล้ว

ใกล้ยามอู่

หลังจากศิษย์ของนิกายกระบี่สวรรค์ที่อยู่ชั้นนอกเพิ่งจะส่งข่าวมา

ทันใดนั้น ทั้งนิกายกระบี่สวรรค์ก็เกิดความโกลาหลขึ้น

“นี่มันเกิดอันใดขึ้นกันแน่ ! ”

“ในบรรดาสี่สำนักเซียนใหญ่แห่งหลิงโจว วังเสวียนจีนับว่าเป็นสำนักที่แข็งแกร่งที่สุดแล้ว ทว่าเวลาเพียงแค่ค่ำคืนเดียว มิว่าจะเป็นเหล่าบรรพจารย์ที่มีตบะบารมีสูงส่ง หรือแม้แต่สุนัขที่อาศัยอยู่ในสำนัก ก็ล้วนถูกสังหารจนสิ้น ! ”

“น่าเหลือเชื่อ ช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก ทั่วทั้งสวรรค์บูรพามิมีคนที่น่ากลัวเช่นนี้อย่างแน่นอน ! ”

“กล่าวกันว่าในส่วนลึกของอีกฝั่งของมหาสมุทร แท้จริงมีสิ่งมีชีวิตโบราณอันน่ากลัวอาศัยอยู่มากมาย คงมิใช่ฝีมือของสิ่งมีชีวิตโบราณเหล่านั้นหรอกกระมัง ? ”

“หากเป็นเช่นนั้นจริง มิเท่ากับว่าพวกเราสี่สำนักเซียนใหญ่ กำลังเผชิญหน้ากับหายนะหรอกหรือ ? ”

“มิใช่กระมัง หากเป็นเช่นนั้นจริง ทั่วทั้งสวรรค์บูรพาคงนองไปด้วยเลือดแล้ว ! ”

“จริงสิ พวกเจ้าคิดว่าฝีมือเช่นนี้จะใช่นักพรตเสวียนจีและวิญญาณอาวุธตนนั้น ที่อยู่เบื้องหลังเขาหรือไม่ ? ”

“มีความเป็นไปได้ เพราะนักพรตเสวียนจีหลังจากพ่ายแพ้การเดิมพันหมาก จิตใจแห่งเต๋าของเขาแตกสลาย กายเนื้อถูกทำลาย มีความเป็นไปได้สูงที่เขาจะหากายเนื้อใหม่ ดังนั้นจึงต้องช่วงชิงพลังชีวิตของมนุษย์ เพื่อหล่อเลี้ยงร่างใหม่ของตนเอง”

“แต่ข้าว่าเรื่องนี้เป็นไปมิได้เด็ดขาด นอกเสียจากจิตแห่งเต๋าของนักพรตเสวียนจีจะแตกสลายจนธาตุไฟเข้าแทรก มิเช่นนั้นเหตุใดจะต้องลงมือสังหารพวกเดียวกันด้วยเล่า ? ”

“……”

“……”

ระหว่างที่เหล่าผู้อาวุโสกำลังตั้งข้อสงสัยต่าง ๆ นานาอยู่ภายในตำหนักพันกระบี่

ทันใดนั้นอู๋ไท่เหอและขงซิงเจี้ยนก็ได้ปรากฏกายขึ้น และทำให้ภายในตำหนักพันกระบี่ไร้เงียบเสียงลงในทันที

“ผู้น้อยคารวะท่านบรรพจารย์”

เหล่าผู้อาวุโสต่างลุกขึ้นยืน พร้อมโค้งคำนับให้แก่อู๋ไท่เหอและขงซิงเจี้ยน

อู๋ไท่เหอกระเอมเบา ๆ ก่อนจะกวาดตามองทุกคนแล้วเอ่ยขึ้นว่า “เรื่องของวังเสวียนจี ข้าและศิษย์น้องขงทราบข่าวแล้ว”

“แต่เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงการสร้างของหวาดวิตก จนส่งผลกระทบต่อการบำเพ็ญเพียรปกติของศิษย์ในนิกายกระบี่สวรรค์ของเรา ดังนั้นข้าหวังว่าเรื่องนี้ให้คนรู้น้อยมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งดี”

เอ่ยเพียงเท่านั้น

“และทุกคนก็มิต้องเป็นกังวลเพราะเรื่องนี้มากจนเกินไปนัก”

ขงซิงเจี้ยนเอ่ยด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความมั่นใจและเสริมขึ้นว่า “ข้าสามารถรับประกันได้ว่าต่อให้ทั้งหลิงโจว หรือแม้แต่ทั้งสวรรค์บูรพาต้องพบกับหายนะอันน่ากลัว นิกายกระบี่สวรรค์ของเราก็จะมิได้รับอันตรายใด ๆ อย่างแน่นอน”

เมื่อได้ยินดังนั้น ทุกคนที่อยู่ในที่นั้นนอกจากผู้อาวุโสสูงสุดอย่างเหลิ่งซินหานที่ขมวดคิ้วน้อย ๆ แล้ว ผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ล้วนแล้วแต่มีสีหน้างุนงง อดมิได้ที่จะหันมามองหน้ากัน

วังเสวียนจียังประสบกับหายนะอันน่ากลัวถึงเพียงนั้น แล้วนิกายกระบี่สวรรค์จะสามารถต้านทานได้จริง ๆ น่ะหรือ ?

เอาความมั่นใจมาจากไหนกัน ?

ท่านบรรพจารย์ พวกเราต่างก็เป็นผู้ใหญ่กันหมดแล้ว อีกทั้งยังอยู่กันมาหลายร้อยปีถึงขนาดพันปีก็มี ท่านอย่าโกหกพกลมจะดีกว่า !

เมื่อเห็นเหล่าผู้อาวุโสมองมาที่ตนเองตาปริบ ๆ มุมปากของขงซิงเจี้ยนก็โค้งขึ้น พลางเอ่ยถามออกไปว่า “พวกเจ้ามิเชื่อข้าเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

ทุกคนต่างพากันพยักหน้าน้อย ๆ ก่อนจะได้สติขึ้นมาแล้วรีบส่ายหน้าให้ทันที

เมื่อเห็นดังนั้น ขงซิงเจี้ยนก็กระตุกยิ้มมุมปากอย่างอดมิได้

“ศิษย์น้องขง”

อู๋ไท่เหอเรียกขงซิงเจี้ยนเสียงเรียบ ก่อนจะเอ่ยกับทุกคนว่า “พวกเจ้ามิจำเป็นต้องสงสัยในเรื่องนี้ เหมือนกับที่ศิษย์น้องขงกล่าวไว้ ตอนนี้นิกายกระบี่สวรรค์ของเรามีความสามารถที่จะต้านทานหายนะทั้งปวงที่จะเกิดขึ้นได้จริง ๆ ”

เอ่ยจบอู๋ไท่เหอก็โบกมือเบา ๆ เป็นสัญญาณให้ทุกคนแยกย้าย

มินานหลังจากทุกคนจากไปแล้ว ภายในตำหนักพันกระบี่ขนาดใหญ่บัดนี้ จึงเหลือเพียงอู๋ไท่เหอ ขงซิงเจี้ยน และเหยาห้าวหยานสามคนเท่านั้น

“ท่านบรรพจารย์อู๋และท่านบรรพจารย์ขง ท่านหมายถึงผู้อาวุโสเย่หรือขอรับ ? ”

เหยาห้าวหยานลังเลอยู่พักใหญ่ จนสุดท้ายก็อดมิได้ที่จะเอ่ยถามขึ้น

“จนถึงบัดนี้แล้วเจ้ายังมิเชื่อใจข้าอีกเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

มุมปากของขงซิงเจี้ยนกระตุกขึ้น ก่อนจะเอ่ยอย่างระอาว่า “เมื่อวานข้าได้บอกเจ้าไปอย่างชัดเจนแล้ว แต่เจ้าก็ยังคงสงสัยอีกเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“เหยาห้าวหยาน ข้ามิได้อยากจะว่าเจ้าหรอกนะ แต่สติปัญญาของเจ้านั้นคงมีปัญหาจริง ๆ อีกทั้งยังมีปัญหามากอีกด้วย ! ”

“ศิษย์น้องขง ก็พอได้แล้ว”

อู๋ไท่เหอปรายตามองขงซิงเจี้ยน ก่อนจะเอ่ยอย่างเคร่งขรึมว่า “ห้าวหยานนั้น เยี่ยงไรซะเขาก็เป็นถึงประมุขคนปัจจุบันของนิกายกระบี่สวรรค์ของเรา หากแม้แต่บรรพจารย์อย่างเจ้ายังกล้าฉีกหน้าเขาเช่นนี้ แล้วจะให้เขาเป็นที่เคารพของทุกคนได้เยี่ยงไรกัน ? ”

หลังจากได้ยินประโยคนี้แล้ว

แม้เหยาห้าวหยานจะมิได้แสดงสีหน้าใด ๆ ออกมามากนัก แต่ความเสียใจที่สะสมมานานหลายปีก็ถูกปลดปล่อยออกมาในทันที

หากมิใช่เพราะฐานะที่ค้ำคออยู่ล่ะก็ ประมุขนิกายกระบี่สวรรค์เช่นเขาอยากจะเข้าไปกอดอู๋ไท่เหอ แล้วร้องไห้คร่ำครวญออกมาเสียจริง ๆ

จนเวลาผ่านไปประมาณชั่วเวลาจิบชาหนึ่งถ้วย

ศิษย์ผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มของหอคุมกฎผู้หนึ่งก็ได้ก้าวเข้ามาในตำหนักพันกระบี่ด้วยความรีบร้อน

“ท่านบรรพจารย์ ท่านประมุข คนของนิกายจื่ออวิ๋นและจวนหนานหลิงขอเข้าพบขอรับ”

ศิษย์หอคุมกฎคุกเข่าลงข้างหนึ่ง พร้อมกับเอ่ยรายงาน

“ให้พวกเขาเข้ามาได้”

“ขอรับ ! ”

หลังจากศิษย์หอคุมกฎรับคำสั่ง ก็เดินออกไป

จากนั้นขงซิงเจี้ยนก็ได้ลูบหนวดของตนเอง พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ข้ารู้อยู่แล้ว วังเสวียนจีประสบกับหายนะอันเลวร้ายเช่นนี้ คนของนิกายจื่ออวิ๋นและจวนหนานหลิงจะต้องวิ่งแจ้นมาขอการคุ้มครองจากพวกเราเป็นแน่”

“ศิษย์น้องขง ในเมื่อพวกเรารับปากสองสำนักเซียนใหญ่ไปแล้ว ช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ เจ้าอย่าได้สร้างเงื่อนไขอันใดที่โหดร้ายอีกล่ะ”

อู๋ไท่เหอชำเลืองมองขงซิงเจี้ยน ก่อนจะเอ่ยเตือนอีกว่า “หากท่านเย่ทราบถึงการกระทำของเจ้าขึ้นมาและเกิดมิพอใจ ถึงตอนนั้นจะเกิดปัญหาได้”

ขงซิงเจี้ยนมีนิ่งตะลึงไปเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้ารับคำในทันที

เหยาห้าวหยานที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ได้ยินดังนั้น ก็อดมิได้ที่จะพยักหน้าน้อย ๆ ตามไปด้วย

มินาน ระหว่างที่อู๋ไท่เหอและขงซิงเจี้ยนกำลังพูดคุยเรื่องทั่วไปอยู่นั้น

ศิษย์หอคุมกฎก็ได้เดินนำเหล่าผู้อาวุโสของนิกายจื่ออวิ๋น และคนของจวนหนานหลิงกลุ่มหนึ่งเข้ามายังตำหนักพันกระบี่ ด้วยความเร่งรีบ

“พี่อู๋ คิดว่าท่านคงทราบข่าวแล้วใช่หรือไม่”

“วังเสวียนจีที่เป็นหนึ่งในสี่สำนักเซียนใหญ่แห่งหลิงโจวของพวกเรา ภายในคืนเดียวคนนับแสนกลับตายอย่างอนาถ ! ”

“พี่อู๋ คนผู้นั้นต้องโหดเหี้ยมขนาดไหนกันถึงได้ สังหารผู้คนได้อย่างเลือดเย็นถึงเพียงนี้ ช่างน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก ! ”

“พี่ขง ตอนนี้ดูเหมือนว่าพวกเราต้องรีบสร้างค่ายกลห้วงเวลาจริง ๆ เสียแล้ว มิเช่นนั้นผู้ที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ มิว่าจะปรากฏตัวที่นิกายจื่ออวิ๋นหรือว่าจวนหนานหลิง ล้วนแต่จะสร้างหายนะอันเลวร้ายทั้งสิ้น ! ”

“ทุกท่าน มิต้องร้อนรนไป พวกเรานั่งลงแล้วค่อยว่ากันเถอะ”

……

……

ขณะเดียวกัน ระหว่างที่เหล่าผู้อาวุโสของสำนักเซียนใหญ่ทั้งสามได้มารวมตัวกันที่นิกายกระบี่สวรรค์ และกำลังปรึกษาหารือกันอยู่นั้น

บนยอดเขาแห่งหนึ่งที่มิไกลจากเมืองกระบี่สวรรค์มากนัก

ผู้เฒ่าร่างผอมที่มีผมและหนวดเป็นสีขาวและดำอย่างละข้าง และได้สะกดพลังตนเองเอาไว้ราวกับหินแกะสลักก็มิปาน

ผ่านไปเนิ่นนาน

“แม้ว่าการกำจัดเคอเสวียนจีและคนของวังเสวียนจีจะพอบรรเทาผลกรรมนี้ลงไปได้บ้าง แต่หากมิมีสิ่งใดผิดพลาดแล้วล่ะก็ นายท่านจะต้องรับรู้ได้อย่างแน่นอน……”

เอ่ยเพียงเท่านั้น ผู้เฒ่าชุดดำก็ขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะรีบส่ายหน้าแรง ๆ ……

“มิใช่ ๆ หากเรื่องเกิดขึ้นตรงหน้า ด้วยนิสัยของนายท่านเพียงแค่เขาเพ่งสมาธิก็สามารถทำให้ข้าหายไปในพริบตาได้แล้ว ทว่าครั้งนี้เขากลับมิได้ลงมือ”

ผู้เฒ่าชุดดำขมวดคิ้วแน่น พลางพึมพำกับตนเองต่อว่า “อีกอย่างนายท่านสะกดไอพลังของตนเองเอาไว้ หากมิใช่เพราะรูปลักษณ์และลักษณะท่าทางของเขาแล้วล่ะก็ ตอนนั้นข้าเองก็คงจะยังมิรู้”

“จริงสิ นายท่านเคยบอกว่า เขาเกิดมาก็เป็นคนที่ไร้พ่ายจึงมิเคยได้สัมผัสกับการบำเพ็ญเพียรที่ยากลำบาก การที่นายท่านปรากฏตัวในสถานที่เล็ก ๆ อย่างสวรรค์บูรพาเช่นนี้ บางทีอาจเพราะต้องการสัมผัสถึงความลำบากในการบำเพ็ญเพียรของสรรพสัตว์ก็เป็นได้”

เอ่ยถึงตรงนี้ดวงตาที่เป็นสีขาวข้างหนึ่ง สีดำข้างหนึ่ง ของผู้เฒ่าชุดดำ ก็เปล่งประกายระยิบระยับออกมา

“หากข้าสามารถคอยเวียนอยู่ใกล้ ๆ นายท่านได้ บางทีสักวันหนึ่งข้าอาจจะกลับไปอยู่ข้างกายและรับใช้นายท่านได้อีกครั้ง”

ผู้เฒ่าชุดดำจู่ ๆ ก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา พลางเอ่ยอย่างตื่นเต้นยินดีว่า “นี่เป็นโอกาสของข้าแล้ว ! ”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด