เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน 456 ท่านเย่ ศิษย์ทำได้หรือขอรับ ?
ตอนที่ 456 ท่านเย่ ศิษย์ทำได้หรือขอรับ ?
“เจี้ยนอู๋เหิน ที่ข้ากล่าวกับเจ้าก่อนหน้านี้เข้าหูซ้ายทะลุหูขวาไปหมดแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
เมื่อสัมผัสได้ว่าเจี้ยนอู๋เหินมิได้เดินตามหลังมา
ขงซิงเจี้ยนก็หยุดฝีเท้าลง แล้วหันไปชำเลืองมองเจี้ยนอู๋เหินที่ยังยืนตะลึงงันอยู่ที่เดิม
วินาทีต่อมา เขาจึงหรี่ตาลงพลางส่งกระแสจิตออกไป ด้วยน้ำเสียงที่แฝงเอาไว้ด้วยความเกรี้ยวกราดในหัวของเจี้ยนอู๋เหิน
เฮือก !
เจี้ยนอู๋เหินสะดุ้งขึ้นมาสุดตัว ก่อนจะรีบเดินตามไปอย่างมิชอบใจนัก
หลังจากเย่ฉางชิงได้เชิญขงซิงเจี้ยนนั่งลงแล้ว เจี้ยนอู๋เหินก็ได้แต่ยืนนิ่ง ๆ อยู่ด้านหลังของเขา
“มิทราบว่า……ท่านนี้คือ ? ”
เย่ฉางชิงลอบพิจารณาเจี้ยนอู๋เหินเล็กน้อย เมื่อเห็นท่าทางที่ดูมิธรรมดา จึงเอ่ยถามขึ้นอย่างอดมิได้
“เขาน่ะหรือ……เขาเป็นเพียงศิษย์สายในผู้หนึ่งเท่านั้นขอรับ”
ขงซิงเจี้ยนหันไปส่งสายตาให้กับเจี้ยนอู๋เหิน ก่อนจะยิ้มประจบออกมา “ท่านเย่ ความจริงแล้วเรือนหลังนี้ค่อนข้างกว้างขวาง แม้จะมีค่ายกลปกคลุมด้านบนเอาไว้ เพื่อป้องกันฝุ่นควันจากภายนอก แต่บางครั้งเวลาเข้าออกก็ยากจะเลี่ยงฝุ่นผงที่ลอยเข้ามาได้”
“ดังนั้นผู้น้อยจึงพาศิษย์สายในคนนี้มาคอยดูแลท่าน อีกทั้งยังมิได้บอกท่านล่วงหน้า ขอท่านเย่อย่าได้ถือสาเลยนะขอรับ”
เย่ฉางชิงนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนจะปรายตามองเจี้ยนอู๋เหิน
‘พาศิษย์สายในคนหนึ่งมาเพื่อคอยรับใช้ข้า นับว่าให้เกียรติมากจริง ๆ ’
‘แต่นิกายกระบี่สวรรค์ออกจะใหญ่โต ทั้งสำนักชั้นในมิมีศิษย์หญิงเลยสักคนเยี่ยงนั้นหรือ ? ’
‘ต่อให้สายในจะมิมี แต่เป็นสายนอกก็ได้นี่นา’
‘อีกอย่างแม้คนผู้นี้จะมีใบหน้าหล่อเหลาเพียงใด แต่เยี่ยงไรซะก็เป็นศิษย์ชายอยู่ดี’
‘พวกเจ้าทำเช่นนี้ต้องการอันใดจากข้ากันแน่ ? ’
‘คิดว่าข้าชอบเพศเดียวกันเยี่ยงนั้นหรือ ? ’
‘หรือคิดว่าข้ากำลังฝึกวิชามารที่ต้องลดหยินเพิ่มหยางเยี่ยงนั้นหรือ ? ’
‘นี่มันเรื่องไร้สาระอันใดกัน ! ’
แม้ว่าภายในใจของเย่ฉางชิงจะอดพร่ำบ่นมิได้ ทว่าภายนอกเขาก็ยังคงยิ้มแย้มออกมา พร้อมกับโบกมืออย่างมิถือสา
“ท่านกล่าวเกินไปแล้ว”
เย่ฉางชิงหัวเราะออกมาอย่างสบายอารมณ์ “แม้ปกติข้าจะค่อนข้างชอบความสงบ แต่บางครั้งการมีคนพูดคุยด้วยก็มิใช่สิ่งเลวร้ายอันใด”
ขงซิงเจี้ยนพ่นลมหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ท่านเย่ หากศิษย์ผู้นี้กล้าล่วงเกินท่าน สามารถลงโทษเขาได้ตามสบายเลยนะขอรับ”
“หรือขอเพียงแค่ท่านสั่งมา ผู้น้อยจะมาจัดการทำลายรากฐานเต๋าของเขา และขับออกจากนิกายกระบี่สวรรค์ รวมถึงจัดการอาจารย์ของเขาเองขอรับ”
ทันทีที่สิ้นเสียงเจี้ยนอู๋เหินก็กลืนน้ำลายอึกใหญ่ ก่อนจะรีบคุกเข่าลงข้างหนึ่ง
“ท่านบรรพจารย์ขง ได้โปรดวางใจหากศิษย์กล้าล่วงเกินท่านเย่ ศิษย์น้อมรับการลงโทษทุกอย่างขอรับ”
ขงซิงเจี้ยนหันไปเอ่ยต่อ “ทำให้ได้อย่างที่เจ้ากล่าวด้วยล่ะ”
เห็นท่าทางเช่นนี้ของเจี้ยนอู๋เหิน เย่ฉางชิงจึงพยักหน้าและเอ่ยถามขึ้นว่า “เจ้ามีนามว่าอันใดงั้นหรือ ? ”
เจี้ยนอู๋เหินตอบอย่างนอบน้อมว่า “เรียนท่านเย่ ศิษย์ เจี้ยนอู๋เหิน ขอรับ”
เย่ฉางชิงจึงเอ่ยว่า “ในเมื่อเจ้ามีนามว่าเจี้ยนอู๋เหิน เช่นนั้นวันหน้าข้าจะเรียกเจ้าว่าเสี่ยวเจี้ยนก็แล้วกัน”
เจี้ยนอู๋เหินก้มหน้าลงด้วยความนอบน้อม “ศิษย์น้อมรับคำสั่งท่านเย่ขอรับ”
เย่ฉางชิงพยักหน้าอย่างรู้สึกระอา
เขารู้ดีว่าศิษย์ของนิกายในโลกบำเพ็ญเพียรเช่นนี้ เนื่องจากถูกกฎต่าง ๆ ของสำนักควบคุมเอาไว้เป็นเวลานาน จึงทำให้มีนิสัยดูแข็งทื่ออย่างเลียงมิได้
หากจะเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาสั้น ๆ นั้น คงเป็นไปได้ยาก
“ดื่มชาเถอะ”
เย่ฉางชิงเอ่ยกับขงซิงเจี้ยน พลางอธิบายด้วยรอยยิ้มว่า “ใบชานี้ข้านำมาจากโลกเบื้องล่าง ต้นชาเหล่านั้นข้าล้วนเป็นคนปลูกเอง ทว่ารสชาติกลับมิเลวเลยทีเดียว”
ขงซิงเจี้ยนพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มกว้าง จากนั้นก็ใช้มือทั้งสองข้างยกจอกชาขึ้นจิบเบา ๆ
ทว่าทันทีที่น้ำชาอันใสบริสุทธิ์เข้าปาก ร่างของเขาก็เกิดการสั่นเทา ดวงตาถึงกับเบิกโพลงขึ้นมาในทันที
นี่มัน ! ! !
‘หรือว่านี่ก็คือชารู้แจ้งในตำนานงั้นหรือ ? ’
น้ำชาใสบริสุทธิ์ แต่เมื่อเข้าปากไปแล้ว ราวกับกลั่นมาจากไอพลังที่บริสุทธิ์จำนวนมหาศาล !
‘ใช่แล้ว !’
‘นี่จะต้องเป็นชาที่ต้มมาจากใบชารู้แจ้งในตำนานเป็นแน่ !’
‘อีกอย่างท่านเย่ยังบอกว่าต้นชาเหล่านี้เขาเป็นคนปลูกเองกับมือ ถ้าเช่นนั้นตัวตนที่แท้จริงของท่านเย่เก่งกาจเพียงใดกันแน่ ! ’
‘น่าเหลือเชื่อ ! ’
‘คาดมิถึงจริง ๆ ! ’
“ชาของข้ามีปัญหาอันใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
เห็นขงซิงเจี้ยนจิบชาไปหนึ่งอึก จากนั้นก็นิ่งงันไป
เย่ฉางชิงจึงอดมิได้ที่จะเลิกคิ้วขึ้น พลางเอ่ยถามออกมาด้วยความสงสัย
ขงซิงเจี้ยนจึงได้สติขึ้นมา ก่อนจะยกชาขึ้นดื่มชาจนหมดจอก พร้อมกับรีบลุกขึ้นอย่างร้อนรน “ท่านเย่ ผู้น้อยนึกขึ้นได้ว่ามีเรื่องหนึ่งที่ต้องไปจัดการ วันนี้คงต้องขอตัวลาก่อนนะขอรับ”
เอ่ยเพียงเท่านั้น ขงซิงเจี้ยนก็โค้งคำนับให้แก่เย่ฉางชิงอีกครั้ง จากนั้นก็จากไปอย่างรวดเร็ว
มิเพียงเท่านั้น ขงซิงเจี้ยนที่รีบออกนอกประตูไปแล้ว กลับอดมิได้ที่จะหันหลังมามองด้วยความหวาดหวั่น
วินาทีต่อมา เขาก็ได้แปลงร่างเป็นสายรุ้งและเหาะไปทางขอบฟ้าที่อยู่ไกลออกไปในทันใด เกิดเป็นปรากฏการณ์ที่ตระการตาอย่างมาก
มิกี่อึดใจต่อมา
ในที่สุดเขาก็ได้มาหยุดอยู่บนยอดเขาลูกหนึ่งที่ห่างออกมาหลายสิบลี้
“ชารู้แจ้ง นี่คือพลานุภาพของชารู้แจ้งงั้นหรือ ? ”
ทวารทั้งเจ็ดของขงซิงเจี้ยนบัดนี้ได้มีไอสีขาวพวยพุ่งออกมา พลังปราณมหาศาลรอบกายปะทุขึ้นอย่างรุนแรง พร้อมกับเสียงหัวเราะด้วยความยินดี “ชารู้แจ้งแค่หนึ่งจอกก็สามารถทำให้ข้าได้พบโอกาสในการบรรลุ น่าเหลือเชื่อ ช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก ! ”
ตอนนั้นเอง ด้านหลังของขงซิงเจี้ยนก็มีร่าง ๆ หนึ่งปรากฏกายขึ้นอย่างเงียบเชียบ
“ศิษย์น้องขง เจ้ามาที่นี่ได้เยี่ยงไร ? ”
อู๋ไท่เหอสัมผัสได้ถึงไอพลังของขงซิงเจี้ยนเล็กน้อย ก่อนที่สีหน้าของเขาจะเปลี่ยนไปและถามออกมาด้วยความประหลาดใจว่า “เจ้าจะบรรลุแล้วงั้นหรือ ? ”
ขงซิงเจี้ยนหัวเราะเสียงดังมิหยุด “ศิษย์พี่อู๋ ข้าคิดว่าชีวิตนี้จะหยุดอยู่ที่ระดับในตอนนี้เสียแล้ว แต่สุดท้ายเพราะได้ดื่มชารู้แจ้งของท่านเย่ไปหนึ่งจอก เพียงพริบตาก็สามารถรับรู้ได้ถึงโอกาสในการบรรลุเสียแล้ว”
ชารู้แจ้ง ?
อู๋ไท่เหอนิ่งงัน ใบหน้าเต็มไปด้วยความงุนงง
‘ชารู้แจ้งเป็นของวิเศษเช่นไรนั้น บรรพจารย์นิกายกระบี่สวรรค์ที่มีชีวิตอยู่มาหลายพันปีผู้นี้ย่อมเคยผ่านหูผ่านตามาบ้าง’
‘ทว่าตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ชารู้แจ้งกลับมีบันทึกประปรายอยู่ในตำราบางเล่มเท่านั้น ดังนั้นผู้แข็งแกร่งวิถีเซียนจำนวนมาก ล้วนเชื่อว่าสวรรค์บูรพาหาได้มีวาสนาที่สุดจะหยั่งเช่นนี้ไม่’
‘แต่บัดนี้ขงซิงเจี้ยนกลับบอกว่าเขาเพิ่งจะดื่มชารู้แจ้งเข้าไป’
‘เช่นนี้จะให้เขาเชื่อคำพูดนี้ได้เยี่ยงไร ?’
‘มิใช่สิ !’
‘ท่านเย่ ! ’
‘หากเป็นท่านเย่ บางทีก็อาจเป็นไปได้’
เมื่อคิดได้ดังนั้น ระหว่างที่อู๋ไท่เหอกำลังจะเอ่ยปากถามอีกครั้งนั้น
ขงซิงเจี้ยนกลับชิงเอ่ยขึ้นมาอย่างรีบร้อนว่า “ศิษย์พี่อู๋ ท่านช่วยข้าที ข้าสะกดเอาไว้มิไหวแล้ว ข้าต้องบรรลุที่นี่เดี๋ยวนี้”
อู๋ไท่เหอเม้มริมฝีปากเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าและตอบรับเสียงเบา
……
……
อีกด้านหนึ่ง
หลังจากมองตามแผ่นหลังของขงซิงเจี้ยนจนหายลับจากสายตาไปแล้ว
เย่ฉางชิงก็ถอนสายตากลับมองเจี้ยนอู๋เหิน ที่ยืนตัวตรงด้วยท่าทางเคารพนอบน้อม ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เสี่ยวเจี้ยน เจ้ามิต้องยืนอยู่ตรงนั้นหรอก นั่งลงดื่มชากับข้าเถอะ”
เจี้ยนอู๋เหินกลอกตาไปรอบ ๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยท่าทางจริงจังว่า “ท่านเย่มีฐานะสูงส่ง ศิษย์มิมีคุณสมบัติพอที่จะนั่งร่วมโต๊ะกับท่านหรอกขอรับ”
“อยู่กับข้ามิต้องมีพิธีรีตองอันใดมากมายหรอก”
เย่ฉางชิงยิ้มออกมาอย่างมิใส่ใจ พร้อมเอ่ยเสริมว่า “อีกอย่างการบำเพ็ญเพียรก็ถือเป็นการฝึกฝนจิตใจ แสวงหาสภาพจิตใจที่เป็นธรรมชาติ หากยึดติดกับกฎเกณฑ์ที่ล้าหลัง จะทำให้เราสูญเสียตัวตนเดิมก็เป็นได้”
ต้องบอกว่าเย่ฉางชิงเองก็มิรู้ว่าช่วงนี้ตัวเขานั้นเป็นอันใดไปกันแน่ แต่เวลาเอ่ยปากพูดออกมา ทุกสิ่งล้วนเกี่ยวข้องกับการบำเพ็ญเพียรทั้งสิ้น
มิหนำซ้ำยังฟังดูจริงจังมากอีกด้วย
ขณะเดียวกัน เมื่อเจี้ยนอู๋เหินได้ยินคำกล่าวเหล่านี้ กลับรู้สึกตรงกันข้าม
‘สมแล้วที่เป็นยอดฝีมือที่ไร้เทียมทาน ขนาดคำกล่าวยังเต็มไปด้วยหลักการ’
‘หลักการที่ลึกล้ำเช่นนี้ ข้าต้องจดบันทึกเอาไว้เสียแล้ว มิเช่นนั้นก็มิต่างอันใดกับการพลาดวาสนาครั้งใหญ่เป็นแน่’
เจี้ยนอู๋เหินปรายตามองเย่ฉางชิง ก่อนจะทอดถอนใจออกมา ‘อีกอย่างท่านเย่ผู้นี้ยังมีใบหน้าที่หล่อเหลายิ่งนัก เป็นเครื่องยืนยันความคิดเรื่องรูปลักษณ์และคุณสมบัติ ที่ข้าเอ่ยก่อนหน้านี้ได้เป็นอย่างดี’
จากนั้นเย่ฉางชิงก็เอ่ยปากเชื้อเชิญอีกครั้ง “นั่งเถอะ”
ครั้งนี้เจี้ยนอู๋เหินมีสีหน้าลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยอย่างมิมั่นใจว่า “ท่านเย่ ศิษย์นั่งได้จริงหรือขอรับ”
เย่ฉางชิงจึงพยักหน้าแทนคำตอบให้เขาอีกครั้ง
Comments