เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน 15 นับจากนี้ไปศิษย์จะเปลี่ยนไปบำเพ็ญเพียรวิถีแห่งกระบี่

Now you are reading เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน Chapter 15 นับจากนี้ไปศิษย์จะเปลี่ยนไปบำเพ็ญเพียรวิถีแห่งกระบี่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 15  นับจากนี้ไปศิษย์จะเปลี่ยนไปบำเพ็ญเพียรวิถีแห่งกระบี่

วินาทีนั้นเยี่ยนปิงซินที่กำลังฝนหมึกอยู่ก็หยุดนิ่งไป

หลี่ฉางหมิงที่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มร่าเริงก่อนหน้านี้ก็ค่อย ๆ แข็งค้างขึ้น

ทั้งคู่เพ่งสมาธิพร้อมกัน สายตาของทั้งคู่ถูกสะกดอยู่บนพู่กันขนหมาป่าในมือของเย่ฉางชิง

พวกเขาอยากเห็นกับตาตัวเองว่ายอดคนเช่นท่านผู้อาวุโสเย่ ใช้วิธีใดในการใส่คลื่นปราณและเจตจำนงที่แท้จริงเข้าไปในภาพอักษรพู่กัน

บางทีช่วงเวลาเช่นนี้อาจเกิดขึ้นในชีวิตเพียงแค่ครั้งเดียวก็เป็นได้

ในที่สุดเย่ฉางชิงก็ขยับพู่กันที่อยู่ในมือ

เนื่องจากนี่เป็นครั้งแรกในรอบห้าปีที่เย่ฉางชิงได้เขียนพู่กันต่อหน้าผู้อื่นนับตั้งแต่มาอยู่ที่โลกเซียนแห่งนี้ อีกทั้งครั้งนี้ยังเป็นการพิสูจน์ความแตกฉานในด้านอักษรพู่กันของตนด้วย ดังนั้นก่อนจรดพู่กันเขาจึงตั้งใจและเพ่งสมาธิอย่างมาก

เริ่มแรกเขาก็ได้คิดถึงกลอนจันทร์จรัสเหนือเขาเทียนซาน ท่ามกลางทะเลหมอกอันกว้างใหญ่ก่อน จากนั้นก็ใคร่ครวญการจัดวางตัวหนังสือคร่าว ๆ ก่อนจะเริ่มจรดพู่กันลงไป

อาจเป็นเพราะจดจ่อมากเกินไป ราวกับเขาได้ลืมทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว มีสมาธิจดจ่ออยู่ที่ตัวอัษรเพียงเท่านั้น

‘จันทร์จรัสเหนือเขาเทียนซาน’

เย่ฉางชิงตวัดพู่กันอย่างรวดเร็ว

พริบตาเดียวอักษรทั้งห้าตัวก็ถูกเขียนขึ้นรวดเดียวจบ และในตอนที่เขาหยุดเพื่อเตรียมที่จะเขียนประโยคต่อไปนั้น ด้านหลังของเขาก็ปรากฏภาพลวงตาขึ้น

โดยภาพลวงตาที่ปรากฏขึ้นด้านหลังของเย่ฉางชิงนั้นมียอดเขาเซียนมากมายผุดขึ้น ภูเขาสูงใหญ่ซ้อนกันเป็นทิวแถวมิรู้จบ หนึ่งในนั้นมีต้นไม้โบราณตั้งตระหง่านเปล่งประกายออกมา

สายลมพัดผ่านเมฆหมอกที่ล่องลอยท่ามกลางทิวเขา ท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ผืนนั้นทำให้คนรู้สึกราวกับได้อยู่ในภาพนั้นจริง ๆ

เพียงพริบตาจันทราดวงหนึ่งก็ลอยขึ้นจากยอดเขา และมีหมู่เมฆเคลื่อนไหวอย่างช้า ๆ

‘ท่ามกลางทะเลหมอกอันกว้างใหญ่’

เย่ฉางชิงจรดพู่กันและตวัดอย่างรวดเร็วอีกครั้ง

พริบตาเดียวพู่กันถูกยกขึ้นพร้อมอักษรที่เขียนจนเสร็จสิ้น และในวินาทีนั้นภาพลวงตาอยู่ตรงเบื้องหลังของเขากลับดูสมจริงมากยิ่งขึ้น

ทำให้รู้สึกราวกับไปยืนอยู่บนยอดเขาที่สูงตระหง่าน ท่ามกลางทะเลหมอกและแสงจันทรา จนจิตใจเต้นรัวก่อนที่จะรู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบาย

ครั้งนี้มีสายลมพัดผ่าน

มิใช่ !

ครั้งนี้มิใช่สายลม แต่กลับเป็นปราณกระบี่มากมายนับไม่ถ้วนที่พุ่งเข้ามา

ในตอนนั้นเองเกิดรัศมีแห่งปราณกระบี่อันยิ่งใหญ่มากมายทะยานจากยอดเขาขึ้นสู่ท้องฟ้า

และในขณะเดียวกันทะเลเมฆหมอกก็ได้แปรเปลี่ยนเป็นเจตจำนงแห่งกระบี่ บ้างก็บินพุ่งไปมา บ้างก็ไหลไปอย่างอ่อนโยนและนุ่มนวลดุจสายน้ำ

สุดท้ายเมื่อเย่ฉางชิงประทับตราเสร็จ เขาก็พยักหน้าออกมาอย่างพอใจ

แต่เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นกลับพบว่าทั้งเยี่ยนปิงซินและหลี่ฉางหมิงนั้นมีสีหน้าที่ซีดเผือด ต่างยืนนิ่งมีแววตาที่ว่างเปล่าราวกับสติได้หลุดลอยไปเสียแล้ว

‘นี่มันอะไรกัน ? ’ เย่ฉางชิงที่เห็นดังนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น

‘ทำไมคนบนโลกนี้ถึงได้มีแต่คนแปลก ๆ นะ ? ’

‘เอะอะอะไรก็สติหลุดกันไปหมด ! ’

‘โดยเฉพาะเยี่ยนปิงซินผู้นี้’

‘ดูท่าทางนางเหมือนเป็นคนฉลาดเฉลียว แต่พอเล่นหมากล้อมกลับนิ่งเป็นท่อนไม้ ตอนนี้แค่เห็นตัวอักษรก็ถึงกับนิ่งอึ้งอยู่เยี่ยงนั้น’

‘ศิษย์ดินแดนไท่เสวียนผู้นี้ก็อีกคน’

‘ดูท่าทางหล่อเหลาสง่างาม แต่สุดท้ายเมื่อเจอข้าก็ทำราวกับตนนั้นเป็นเพียงคนรับใช้ อีกทั้งยังมองตัวอักษรอย่างบื้อใบ้อยู่เยี่ยงนี้อีกด้วย’

“โฮ่ง ! ” ในตอนนั้นเองก็ได้มีเสียงเห่าของสุนัขดังขึ้น เป็นราชันทมิฬที่เดินวางมาด กระดิกหางไปมาเข้ามายังเรือนด้านหลังพร้อมรอยยิ้มกว้าง

“กึก ! ”

เยี่ยนปิงซินและหลี่ฉางหมิงจึงได้สติอีกครั้ง ก่อนจะถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

เพราะเมื่อครู่นี้คนทั้งสองเกือบจะถูกวิถีกระบี่ที่น่ากลัวนั่นทำลายจิตวิญญาณไปเสียแล้ว นับเป็นช่วงที่ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายก็ว่าได้

‘เด็กสองคนนี้คงจะเสียสติไปแล้วจริง ๆ ตัวอักษรของนายท่านแฝงพลังเอาไว้นับอนันต์ ขนาดข้ายังมิกล้าแม้แต่จะแอบดู แต่พวกเจ้ากลับกล้ามองตรง ๆ เช่นนี้ได้เยี่ยงไร ? ’

ราชันทมิฬแสยะยิ้มก่อนจะมองเยี่ยนปิงซินและหลี่ฉางหมิงด้วยสายตาดูแคลน

เย่ฉางชิงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้กำลังเตรียมที่จะพักผ่อน เมื่อเห็นเยี่ยนปิงซินและหลี่ฉางหมิงได้สติแล้ว จึงเอ่ยถามยิ้ม ๆ ว่า “พวกเจ้าสองคนมิเป็นอะไรใช่หรือไม่ ? ”

เยี่ยนปิงซินและหลี่ฉางหมิงสบตากันครู่หนึ่ง จากนั้นจึงค่อย ๆ พยักหน้าให้

เย่ฉางชิงหันไปถามหลี่ฉางหมิงว่า “ท่านพอใจอักษรพู่กันภาพนี้หรือไม่ ? ”

หลี่ฉางหมิงนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะรีบพยักหน้ารับ

‘ดูท่าท่านบรรพจารย์คงจะมอบภาพที่แฝงไปด้วยเจตจำนงที่แท้จริงแห่งกระบี่มากมายนี้ให้ข้าจริง ๆ ’

‘นี่ช่างเป็นโชคดีของข้าเหลือเกิน ! ’

เย่ฉางชิงพยักหน้า และเอ่ยขึ้นยิ้ม ๆ ว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ตอนนี้ก็เย็นมากแล้ว ข้าจะม้วนภาพให้นะ เจ้านำกลับไปติดเองก็แล้วกัน”

“ฉางหมิงขอบคุณผู้อาวุโสขอรับ” หลี่ฉางหมิงคำนับให้แก่เย่ฉางชิงอย่างนอบน้อม ก่อนจะยืดตัวขึ้นแล้วรับม้วนอักษรพู่กันนั้นไปอย่างระมัดระวัง

“ผู้อาวุโส เช่นนั้นฉางหมิงขอตัวลากลับก่อนนะขอรับ” หลังจากเก็บม้วนอักษรพู่กันเรียบร้อยแล้ว หลี่ฉางหมิงก็คำนับอีกครั้งก่อนจะก้าวถอยหลังไปสองก้าว และรีบหมุนตัวจากไปทันที

เมื่อเห็นหลี่ฉางหมิงจากไปแล้ว เย่ฉางชิงจึงได้ถอนหายใจออกมา

เขามิได้กินเนื้อมานานแล้ว วันนี้เขาซื้อหมูสามชั้นมา 2 ชั่งก็เพียงพอสำหรับเขาและเยี่ยนปิงซินแล้ว

เมื่อดูจากท่าทีนอบน้อมที่หลี่ฉางหมิงมีต่อเขาแล้ว หากเขาเกิดมิรับคำขอของอีกฝ่าย บวกกับหลี่ฉางหมิงเป็นคนดื้อรั้น เขาคงจะอยู่เช่นนั้นมิยอมไปไหนเป็นแน่

หากเป็นเช่นนั้นเขาควรทำเยี่ยงไรดี ?

หากต้องไล่หลี่ฉางหมิงไปก็คงจะมิดีนัก ?

อีกทั้งหลี่ฉางหมิงเองก็เป็นถึงผู้บำเพ็ญเพียร เยี่ยงไรเสียก็ต้องไว้หน้าเขาบ้าง

อีกอย่างที่สำคัญที่สุดก็คือตนนั้นหาใช่คู่ต่อสู้ของหลี่ฉางหมิงไม่ ?

……………………

อีกด้านหนึ่ง

หลี่ฉางหมิงที่มีใบหน้าเรียบนิ่งแต่หลังจากที่เขาออกมาจากเมืองเสี่ยวฉือแล้ว ใบหน้าหล่อเหลาก็เผยความดีใจขึ้นมาอย่างปิดมิมิด

“คิดมิถึงว่าท่านบรรพจารย์ที่มาจากสวรรค์จะเรียบง่ายและอ่อนโยนเช่นนี้ จิตวิญญาณเช่นนี้ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก”

หลี่ฉางหมิงหยิบภาพอักษรพู่กันออกมาจากแหวนเก็บสมบัติด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะพึมพำกับตัวเองว่า “บรรพจารย์มอบอักษรพู่กันนี้ให้แก่ข้า คงต้องมีเหตุผลของเขาเป็นแน่”

หลังจากไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาของหลี่ฉางหมิงก็เป็นประกายขึ้น ก่อนจะตบที่หน้าผากของตนเองเบา ๆ ขณะเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้ม “อักษรพู่กันนี้แฝงเจตจำนงที่แท้ของกระบี่จริงไว้มากมาย บรรพจารย์คงอยากจะให้ข้าบำเพ็ญเพียรวิถีกระบี่เป็นแน่”

“ใช่แล้ว ต้องเป็นเช่นนั้นแน่ ! ”

หลี่ฉางหมิงมีแววตาที่แน่วแน่ เขาเก็บอักษรพู่กันกลับเข้าแหวนเก็บสมบัติอย่างระมัดระวังอีกครั้ง จากนั้นก็ทะยานขึ้นฟ้าไปยังเขาไท่เสวียนราวกับสายรุ้งเส้นหนึ่ง

ผ่านไปราวครึ่งชั่วยามสายรุ้งเส้นนั้นก็มาบรรจบลงที่ยอดเขาไท่เสวียน

แต่หลี่ฉางหมิงมิได้ไปที่เรือนฉางหมิง แต่กลับตรงไปที่ตำหนักไท่เสวียนแทน

“ฉางหมิง เจ้ามาหาอาจารย์มีเรื่องอันใดหรือ ? ”

นักพรตฉางเสวียนที่ยืนเอามือไพล่หลังอยู่หน้าประตูตำหนักไท่เสวียน เมื่อเห็นหลี่ฉางหมิงเดินเข้ามาด้วยความรีบร้อน จึงถามออกมาพร้อมรอยยิ้มที่อ่อนโยน

หลี่ฉางหมิงโค้งคำนับ ก่อนเอ่ยอย่างขึงขังว่า “ท่านอาจารย์ ศิษย์มีเรื่องอยากจะปรึกษาขอรับ”

“มีเรื่องอันใดหรือ ? ”

นักพรตฉางเสวียนลูบที่เคราตัวเองพลางมองใบหน้าของหลี่ฉางหมิง ก่อนส่ายหน้าน้อย ๆ พร้อมรอยยิ้ม “ฉางหมิง อาจารย์รู้ว่าเจ้ากังวลเรื่องที่อาจารย์แต่งตั้งให้อู๋ซวงเป็นผู้สืบทอดหญิงใช่หรือไม่ ? ”

หลี่ฉางหมิงส่ายหน้าไปมา แล้วเอ่ยขึ้นอย่างหนักแน่นขณะเงยหน้าขึ้นมองนักพรตฉางเสวียน “เรียนอาจารย์ หาใช่เรื่องนั้นไม่ขอรับ”

นักพรตฉางเสวียนพยักหน้าด้วยความโล่งอก แล้วจึงเอ่ยว่า “เช่นนั้นเจ้ามาหาอาจารย์มีเรื่องอันใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

หลี่ฉางหมิงเอ่ยออกมาโดยมิลังเลว่า “อาจารย์ขอรับ ศิษย์ตัดสินใจแล้วนับจากนี้ไปศิษย์จะเปลี่ยนไปบำเพ็ญเพียรวิถีแห่งกระบี่แทนขอรับ”

“อะไรนะ ? ” นักพรตฉางเสวียนมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที

Related

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด