เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน 287 นักกินผู้น่ากลัว
ตอนที่ 287 นักกินผู้น่ากลัว
ทันใดนั้น ผู้แข็งแกร่งของปีศาจเผ่าต่าง ๆ พลันมีสีหน้าเปลี่ยนไป ท่าทางของทุกคนเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ
‘ผู้ที่เหนือกว่าจักรพรรดิ ? ’
‘คนผู้นั้นจะมีตบะบารมีระดับไหนกัน ? ’
‘น่าเหลือเชื่อ ! ’
‘ช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก ! ’
‘คาดมิถึงว่าจงหยวนจะมีผู้ที่น่ากลัวเช่นนี้อยู่ด้วย ! ’
‘ใช่แล้ว’
‘บรรพบุรุษของเผ่าจิ้งจอกวิญญาณตนนี้ได้เผยความลับต่อหน้าปีศาจทุกตนในเทือกเขาแดนใต้’
‘หรือว่านางเคยพบผู้ที่เหนือกว่าจักรพรรดิท่านนั้นมาแล้ว ? ’
‘เป็นไปมิได้ ! ’
‘นางเป็นถึงผู้แข็งแกร่งระดับจ้าวปีศาจ มิมีโอกาสที่จะเข้าไปในจงหยวนได้อย่างแน่นอน’
คิดถึงตรงนี้
“ถูซื่อ เจ้าอย่าพูดให้ทุกคนที่นี่ตกใจไปหน่อยเลย”
บรรพบุรุษของเผ่าพยัคฆ์ดำ เฮยฉางมู่ แสยะยิ้มออกมา ก่อนจะลุกขึ้นเอ่ยว่า “โลกใบนี้เป็นเพียงโลกใบเล็ก ๆ จักรพรรดิถือเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดแล้ว”
“ผู้ที่เหนือกว่าจักรพรรดิ จะมาอยู่บนโลกใบนี้ได้เยี่ยงไรกัน ? ”
ทันทีที่สิ้นเสียง ผู้แข็งแกร่งเผ่าอื่น ๆ ก็ลอบถอนหายใจออกมา ก่อนจะพุ่งเป้าไปที่ถูซื่อ
“จ้าวปีศาจฉางมู่พูดถูก ข้าว่าทั้งหมดนี้ก็เป็นเพียงคำพูดไร้สาระก็เท่านั้น”
“จริงด้วย จ้าวปีศาจถูซื่อ เหตุใดต้องดูถูกความสามารถของตนเองด้วยเล่า หรือว่าเผ่าจิ้งจอกวิญญาณของเจ้าลักลอบคบค้าสมาคมกับพวกมนุษย์จริง ๆ งั้นหรือ ? ”
“จ้าวปีศาจถูซื่อ เจ้าควรไตร่ตรองให้ดีนะ หากเผ่าจิ้งจอกวิญญาณของเจ้ากล้าหักหลังพวกเราชาวเทือกเขาแดนใต้ เชื่อว่าทุกคนที่นั่งอยู่ในที่นี่พร้อมจะไปกวาดล้างชิงชิวภายในคืนนี้อย่างแน่นอน”
“บัดนี้ความจริงเห็นได้ชัดว่าถูซื่อก็แค่ต้องการถ่วงเวลาพวกเราเอาไว้ ให้พวกมนุษย์เอาชนะฝ่ายมารทางแดนเหนือได้ จากนั้นก็จะมีเวลาตั้งรับและค่อยปะทะกับพวกเราอีกทีน่ะสิ ! ”
“ถูซื่อ คิดมิถึงว่าเผ่าจิ้งจอกวิญญาณของเจ้าจะต่ำช้าเช่นนี้”
“……”
“……”
ขณะเดียวกัน ระหว่างที่ถูซื่อรวมทั้งเผ่าจิ้งจอกวิญญาณของนางกำลังถูกผู้แข็งแกร่งจากเผ่าต่าง ๆ โจมตีด้วยวาจาอยู่นั้น
ชิวหลงที่นั่งอยู่ด้านหน้าสุดก็ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย ดวงตามีประกายความสับสนบางอย่างวาบผ่าน
“น้องชิวหลง เจ้าชำนาญเรื่องการทำนาย เจ้าคิดว่าที่ถูซื่อพูดมาเป็นความจริงหรือไม่ ? ”
ผู้เฒ่าหลังค่อมที่นั่งอยู่ชั้นบนสุดมองสีหน้าเคร่งขรึมของถูซื่อ พลางเพ่งกระแสจิตเอ่ยถามขึ้น
ชิวหลงนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าน้อย ๆ แล้วตอบกลับว่า “เรื่องนี้ช่างแปลกยิ่งนัก”
“ตอนนั้นร่างแยกของถูซื่อได้เข้าไปในจงหยวนอยู่คราหนึ่ง หลังจากนั้นนางก็ได้นำเรื่องที่ได้พบเห็น มารายงานให้ข้าทราบทั้งหมด”
เอ่ยถึงตรงนี้สีหน้าของชิวหลงก็เริ่มเคร่งเครียดขึ้น ก่อนเอ่ยต่อว่า “จากนั้นข้าก็ได้ใช้เคล็ดการทำนายคนผู้นี้ดู แต่คาดมิถึงว่าทั้งด้านหน้าและด้านหลังของคนผู้นี้กลับเลือนลางไปหมด มิหนำซ้ำตัวข้าเองยังถูกครอบงำโดยมิรู้ตัวอีกด้วย”
ผู้เฒ่าหลังค่อมพยักหน้า แล้วเพ่งกระแสจิตอีกครั้ง “หากเป็นเช่นนี้จริง ก็อาจจะเป็นไปได้”
ตอนนั้นเองบุรุษวัยกลางคนท่าทางสง่างามก็ยกยิ้มมีเลศนัยขึ้น แล้วส่งกระแสจิตเอ่ยแทรกขึ้นว่า “ข้ามองว่าต่อให้จงหยวนจะมีผู้ที่แข็งแกร่งเช่นนั้นอยู่จริง หากเขายื่นมือเข้ามายุ่งกับศึกทางโลกในครานี้ จะต้องได้รับผลกรรมไปด้วยอย่างแน่นอน”
“อีกทั้งที่นี่ยังเป็นเพียงโลกใบเล็ก ๆ หากผู้ที่เหนือกว่าจักรพรรดิเช่นนั้น กล้าลงมือย่อมต้องประสบวิถีฟ้าครอบงำ”
“เช่นนั้นข้ามองว่าเขามิเพียงจะมิยื่นมือเข้ามายุ่งเรื่องเทือกเขาแดนใต้แล้ว คงมิกล้ายื่นมือเข้าไปยุ่งเรื่องระหว่างจงหยวนและดินแดนร้างทางเหนืออีกด้วย”
สตรีรูปร่างอวนอั๋นที่นั่งถัดไปจากบุรุษวัยกลางคนท่าทางสง่างาม พยักหน้าเห็นด้วยพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “ไป๋จื่อพูดถูก หากเขาเป็นผู้ที่เหนือกว่าจักรพรรดิจริง ย่อมมิมีทางเอาตัวเองเข้ามาแปดเปื้อนกับผลกรรมเช่นนี้แน่นอน”
“อีกทั้งต่อให้เขายื่นมือเข้ามาจริง ย่อมถูกวิถีฟ้าของโลกใบนี้จำกัดเอาไว้ ส่วนการถูกครอบงำนั้นก็มิใช่ว่าจะเป็นไปมิได้”
ทันทีที่เอ่ยจบ ถูซื่อที่ถูกปีศาจเผ่าต่าง ๆ เอ่ยโจมตีต่าง ๆ นานา ก็หันไปมองทางเฮยฉางมู่
“เฮยฉางมู่ ในเมื่อเจ้าเอ่ยเช่นนี้ ข้าก็อยากจะถามเจ้าเช่นกัน”
ดวงตาทั้งสองข้างของถูซื่อเปล่งประกายเย็นชาจนน่าหวั่นเกรงออกมา พร้อมคำรามก้องว่า “เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าหกปีก่อน เฮยฉางหลิงตายเช่นไรกันแน่ ? ”
“ถูกผู้ใดสังหารกัน ? ”
“ห๊ะ ! ”
ทันทีที่ถูซื่อเอ่ยถามออกมา
ทุกคนต่างก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป พร้อมกับหันไปมองทางเฮยฉางมู่ที่มีร่างกายกำยำ แต่กลับมีสีหน้าเขียวคล้ำ
มินาน เมื่อเห็นเฮยฉางมู่ถึงกับพูดมิออก
“เจ้ามิรู้ แต่ข้ารู้ ! ”
ถูซื่อก็ได้เอ่ยประโยคที่ทำให้ทุกคนต้องตกใจจนแทบหล่นจากเก้าอี้ ด้วยสีหน้าเย็นชา “เฮยฉางหลิงหาได้ตายด้วยน้ำมือของผู้อาวุโสท่านนั้นไม่ หากแต่เป็นเพียงคนรับใช้ผู้หนึ่งของเขาเท่านั้น มิหนำซ้ำยังถูกสังหารภายในพริบตาอีกด้วย”
“ส่วนสาเหตุที่แท้จริงที่เขาสังหารเหยฉางหลิงนั้นเพียงเพราะผู้อาวุโสท่านนั้นอยากกินเนื้อเสือดำ หาใช่เป็นเพราะเฮยฉางหลิงบุกเข้าไปในจงหยวนไม่”
ความจริงแล้วเรื่องที่ผู้อาวุโสเย่ท่านนั้นกินร่างเดิมของเฮยฉางหลิง ถูซื่อเองก็เพิ่งจะทราบจากปากของถูสือซานในภายหลังเช่นกัน
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงการคาดเดาของถูสือซานเท่านั้น
สาเหตุก็เพราะผู้อาวุโสเย่ท่านนั้นชอบนำเนื้อเสือดำมาต้อนรับแขก
ส่วนเหตุผลที่ถูซื่อเอ่ยเรื่องนี้ออกมาก็เพราะ
นางถูกเฮยฉางมู่ไล่ต้อนจนหมดหนทางแล้วนั่นเอง
ทันใดนั้นภายในตำหนักหินอันกว้างใหญ่ ก็ตกอยู่ในความเงียบสงัดราวกับไร้ซึ่งผู้คนอีกครั้ง
ส่วนผู้แข็งแกร่งจากเผ่าต่าง ๆ เวลานี้ต่างก็มองหน้ากันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ซึ่งเหตุผลหลัก ๆ ที่พวกเขาต้องการเข้าไปในจงหยวนก็คือ
เพียงเพื่อต้องการหาของที่ใช้ในการบำเพ็ญเพียร รวมทั้งสืบหาโบราณสถานที่เหล่าบรรพบุรุษทิ้งเอาไว้ มิแน่อาจจะได้รับการถ่ายทอดอะไรบางอย่างจากสมัยบรรพกาล และทำให้เกิดการบรรลุอีกครั้งก็เป็นได้
ทว่าบัดนี้จงหยวนกลับมีนักกินผู้น่ากลัวเช่นนี้เร้นกายอยู่
ใช่แล้ว !
เป็นนักกินผู้น่ากลัวจริง ๆ !
แม้แต่ผู้แข็งแกร่งระดับจ้าวปีศาจแค่อยากกินก็จะต้องกินให้ได้ อีกทั้งผู้แข็งแกร่งระดับจ้าวปีศาจยังถูกสังหารภายในพริบตา ด้วยน้ำมือของคนรับใช้ผู้หนึ่งเท่านั้น
พวกเขารู้ดีว่า
ต่อหน้าคนผู้นั้น ต่อให้มีผู้แข็งแกร่งระดับจ้าวปีศาจมากมายกว่านี้ ก็เปล่าประโยชน์
และกว่าที่พวกเขาสามารถมีตบะบารมีเช่นทุกวันนี้ได้ ต้องประสบกับความยากลำบากมากมายเพียงใด
บัดนี้จักรพรรดิมารตนนั้นออกมาโลกภายนอกได้แล้ว สงครามระหว่างจงหยวนและดินแดนรกร้างทางเหนือจะต้องเปิดฉากขึ้นในเร็ว ๆ นี้อย่างแน่นอน
และการที่ปีศาจเผ่าต่าง ๆ ต้องการจะบุกเข้าทางใต้ของจงหยวน เชื่อว่าคงมิได้ลำบากเกินไปนัก
แต่เข้าโจมตีจงหยวนได้ แล้วเยี่ยงไรเล่า ?
หากวันใดวันหนึ่งผู้ที่เหนือกว่าจักรพรรดิท่านั้นเกิดเบื่อขึ้นมา อยากจะลองชิมรสชาติของจ้าวปีศาจตนใดขึ้นมาอีก
เช่นนั้นจ้าวปีศาจมิตนใดก็ตนหนึ่งที่นั่งอยู่ในที่นี่ มิเท่ากับต้องกลายเป็นอาหารอันโอชะเข้าสักวันหรอกหรือ ?
ป่าเถื่อน !
ช่างป่าเถื่อนยิ่งนัก !
เช่นนี้ต่อให้บุกเข้าจงหยวนได้ ทว่าในทุก ๆ วันต้องอยู่อย่างอกสั่นขวัญแขวน มิสู้อยู่ในเทือกเขาแดนใต้อย่างสงบสุขต่อไปยังจะดีเสียกว่า
คิดถึงตรงนี้ ผู้แข็งแกร่งจากเผ่าต่าง ๆ ก็มีสีหน้าลังเลขึ้นมาอย่างอดมิได้
มินานจ้าวปีศาจวานรที่ก่อนหน้านี้ร้องตะโกนว่าจะเป็นทัพหน้าให้ก็ได้ลุกขึ้นยืน พลางส่งยิ้มแห้ง ๆ ออกมา “ทุกท่าน ข้าคิดว่าพวกเราอยู่ที่เทือกเขาแดนใต้ก็มิเลวเหมือนกัน ที่นี่มีทิวทัศน์ที่งดงาม เหมาะแก่การใช้ชีวิตยามชรามากทีเดียว”
ทันทีที่สิ้นเสียง ก็มีเสียงอีกมากมายเอ่ยสนับสนุนในทำนองเดียวกัน
“จ้าวปีศาจวานรพูดมามีเหตุผล ข้าคิดว่าอากาศในจงหยวนจะต้องมิบริสุทธิ์เท่าอากาศในเทือกเขาแดนใต้ของเราอย่างแน่นอน”
“ก่อนหน้านี้ข้าเคยบอกแล้วว่า แม้พวกเราจะเป็นปีศาจแต่ก็ต้องการความสงบ พวกเราจึงจะก้าวไปได้ไกล วัน ๆ เอาแต่เข่นฆ่ากัน ช่างไร้อารยธรรมสิ้นดี”
“ท่านพี่ท่านนี้พูดได้ถูกต้องแล้ว ข้าเองก็สัมผัสได้ว่าอีกแสนปีข้าก็จะถึงเวลาจำกัดของข้าแล้ว หากเทียบกับการต้องบุกเข้าจงหยวน มิสู้นั่งตกปลาอยู่ที่เทือกเขาแดนใต้ยังจะมีความสุขเสียกว่า”
ตอนนั้นเอง
“เปรี้ยง ! ”
พลังอันน่าสะพรึงกลัวพลันพวยพุ่งออกมา ก่อนปกคลุมไปทั่วทั้งตำหนักหิน
บุรุษวัยกลางคนผู้สวมชุดบัณฑิตที่นั่งอยู่ด้านหน้าสุดได้ลุกขึ้นยืน พลังปราณปะทุอยู่รอบกาย พร้อมทั้งปล่อยไอพลังอันน่ากลัวออกมา
“จ้าวปีศาจถูซื่อ ในเมื่อเผ่าจิ้งจอกวิญญาณของพวกเจ้าต้องการที่จะอยู่ที่เทือกเขาแดนใต้ เช่นนั้นก็จงอยู่ที่เทือกเขาแดนใต้ไปให้ตลอดล่ะ”
บุรุษวัยกลางคนที่สวมชุดบัณฑิตเอ่ยด้วยท่าทางเย็นชาและน่าเกรงขาม ก่อนจะกวาดตามองถูซื่อเล็กน้อย “แต่เผ่าที่เหลือพรุ่งนี้ให้มารวมตัวกันที่ชายแดนทางใต้ของจงหยวน”
“และข้าขอบอกพวกเจ้าไว้ก่อนนะว่า เป็นไปได้ว่าจงหยวนอาจจะมีผู้ที่เหนือกว่าจักรพรรดิอยู่จริง ๆ แต่ศึกใหญ่เช่นนี้ผู้ที่อยู่ในระดับนั้น หากยื่นมือเข้ามายุ่งจริง ๆ ย่อมได้รับผลกรรมอย่างแน่นอน”
“ยิ่งไปกว่านั้น เยี่ยงไรเสียโลกใบนี้ก็เป็นเพียงโลกใบเล็ก ๆ หากเขาลงมือจริงย่อมถูกวิถีฟ้าจัดการ และประสบวิถีฟ้าครอบงำอย่างแน่นอน”
เอ่ยถึงตรงนี้บุรุษวัยกลางคนที่สวมชุดบัณฑิตก็ระเบิดไอสังหารอันน่าสะพรึงกลัวออกมา พร้อมกับเอ่ยเสียงเข้ม “จงหยวนมีสิ่งที่บรรพบุรุษเผ่าปีศาจของพวกเราหลงเหลือเอาไว้มากมาย หากพวกเจ้าต้องการที่จะก้าวขึ้นสู่ระดับที่สูงกว่า อยากที่จะบรรลุเป็นเซียน ก็จำเป็นจะต้องอาศัยสิ่งที่เหล่าบรรพบุรุษหลงเหลือเอาไว้”
“อีกอย่างหากมีเผ่าใดอยากที่จะอยู่เทือกเขาแดนใต้ต่อ ก็เท่ากับเป็นการหักหลังพวกพ้อง เรื่องนี้หมายความเช่นไรข้าคงมิต้องบอกกระมัง”
เอ่ยจบบุรุษวัยกลางคนที่สวมชุดบัณฑิตก็เพ่งกระแสจิตออกไป “จ้าวปีศาจถูซื่อ นับแต่นี้ต่อไปข้าขอสั่งห้ามเจ้ามิให้ออกจากชิงชิวแม้แต่ครึ่งก้าว คนของเผ่าจิ้งจอกวิญญาณของเจ้าก็ห้ามก้าวเข้าไปในจงหยวน มิเช่นนั้นข้าจะทำลายเผ่าของเจ้าเสียด้วยน้ำมือข้าเอง”
ถูซื่อจ้องเขม็งไปยังบุรุษวัยกลางคนที่สวมชุดบัณฑิต
นางแค่นหัวเราะอยู่ในใจ ‘รอให้ถูสือซานได้เป็นจักรพรรดิของเผ่าปีศาจเมื่อใด ข้าจะดูสิว่าเจ้าจะทำลายเผ่าจิ้งจอกวิญญาณของข้าได้อย่างที่พูดหรือไม่’
คิดแล้วถูซื่อก็หันไปเหลือบมองถูซานเหยาที่อยู่ทางด้านหลัง ก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากตำหนักหินในทันที
Comments