เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ [九个哥哥团宠小甜包]บทที่ 340 โดดเด่น
บทที่ 340 โดดเด่น
บทที่ 340 โดดเด่น
เสิ่นจื่อเจินพาเด็กทั้งหกคนไปสอบอย่างเอิกเกริก เด็ก ๆ ทั้งหกแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าธรรมดา ต่อให้พลัดหลงอยู่ท่ามกลางผู้คนก็หาไม่เจอ
แต่ทว่า… พวกเขาทั้งหกคนล้วนหน้าตาไม่ธรรมดา
ฉืออี้หย่วนเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา แม้ว่าจะยืนอยู่ท่ามกลางเด็กจากตระกูลซู รูปลักษณ์ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลย
ต้องบอกเลยว่าถึงเด็กตระกูลซูจะเติบโตมาในชนบท แต่พื้นฐานเป็นคนหน้าตาดีอยู่แล้ว
คนกลุ่มนี้ส่งเสียงจ้อกแจ้กคุยเรื่องเนื้อหาบางจุดที่ยังคลุมเครือ ทั้งยังบอกอีกว่าวิธีแก้ปัญหาของเสี่ยวเถียนเหมือนจะทำให้ดีขึ้นจริง ๆ
ส่วนเสิ่นจื่อเจินที่เดินอยู่ในวงสนทนาของเด็ก ๆ ได้ฟังบทสนทนาเหล่านั้นแล้วก็เอาแต่ยิ้มแย้ม เมื่อเดินทางมาถึงก็พบว่าหน้าประตูโรงเรียนมีคนรออยู่จำนวนมาก เสียงดังจอแจไปทั่วท้องถนน
ในบรรดาฝูงชนเป็นผู้ใหญ่ไปแล้วส่วนหนึ่ง และเด็กอีกส่วนหนึ่ง สีหน้าพวกเขาล้วนแต่เป็นกังวลยามเห็นฉากอันงดงามตรงหน้า เสี่ยวเถียนอดหัวเราะคิกคักไม่ได้
ที่แท้ยุคนี้มีผู้ปกครองพาลูกมาสอบแล้วหรือเนี่ย?
อีกอย่าง ไม่ว่าจะช่วงเวลาไหน เด็ก ๆ ล้วนเป็นความหวังอันนิรันดร์ของพ่อแม่เสมอเลย
ใครบ้างจะไม่หวังให้ลูกตัวเองมีหน้ามีตากันล่ะ?
ท่ามกลางกองทัพผู้เข้าสอบและการสอบอันยิ่งใหญ่ กลุ่มของเสี่ยวเถียนสะดุดสายตาผู้คนมากที่สุด เพราะแต่ละครอบครัวพาเด็ก ๆ มาสอบอย่างมากก็แค่สองคนเท่านั้น แต่พวกเขามีเด็กถึงหกคนปรากฏตัวพร้อมกัน
ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ เด็กหกคนนี้มีหน้าตาที่โดดเด่น แม้อยู่กลางกลุ่มคนจำนวนมากก็ยังโดดเด่นเหนือคนทั่วไป
ใครหลายคนจับจ้องมาที่เสิ่นจื่อเจินราวกับอยากจะดูว่าเขาเป็นใคร ทำไมถึงมีลูก ๆ วัยเดียวกันเยอะขนาดนี้
เดิมทีเสิ่นจื่อเจินเองก็เป็นครูอยู่แล้ว จึงคุ้นเคยกับการโดนจ้องมอง และไม่รู้สึกว่ามันมีปัญหาอะไร แต่กับเด็ก ๆ ที่ถูกมองเช่นนั้นก็ค่อนข้างอึดอัด
พวกเขาไม่เข้าใจว่า ทำไมคนเหล่านั้นถึงเอาแต่จ้องมองตนเองไม่ละสายตา และอดสงสัยไม่ได้ว่า เสื้อผ้าที่ตัวเองสวมใส่มันไม่ถูกต้องหรือเปล่า หรือว่าบนร่างกายของพวกเขามีจุดสกปรกหรือรอยขาดที่หาไม่เจอ
ซูเสี่ยวเถียนกับฉืออี้หย่วนยืนรั้งท้ายและกำลังพูดคุยกันอยู่ แต่ว่าท่าทางการแสดงออกกลับดูนิ่งสงบ
แต่สุดท้ายก็รู้สึกอึดอัดอยู่ดี
เสิ่นจื่อเจินเองก็มองเห็นถึงความไม่สบายใจของเด็ก ๆ พวกเขาเพิ่งมาจากชนบท จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดอาการหวาดกลัว
เมื่อโดนคนอื่นมองก็ไม่คิดว่าตัวเองโดดเด่นหรอก เพราะจิตใต้สำนึกคิดว่าอาจจะมีบางอย่างผิดปกติกับตัวเองก็ได้
“เสื้อผ้าของพวกเธอเรียบร้อยดี ไม่มีปัญหาตรงไหนหรอก” เสิ่นจื่อเจินบอกด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
เด็ก ๆ ต่างโล่งใจเมื่อได้ยินคำพูดของเสิ่นจื่อเจิน
“เพราะพวกเรามาสอบด้วยกันหลายคนไง ต้องดึงดูดความสนใจผู้คนอยู่แล้ว”
เข้าใจแล้ว ที่แท้ก็เป็นแบบนี้เอง ไม่แปลกใจแล้วล่ะ
ยามเห็นสภาพจิตใจเด็ก ๆ ดีขึ้น เสิ่นจื่อเจินก็ว่าต่อ
“ไว้พวกเธอสอบผ่านเมื่อไร เดี๋ยวก็ถึงเวลานั้นจริง ๆ เองล่ะ ถึงตอนนั้นมีคนมองเยอะกว่านี้อีก”
เสี่ยวจิ่วขบริมฝีปากแน่น
เขายังมีความกังวลใจอยู่ จะสอบผ่านจริง ๆ ใช่ไหม? ถ้าสอบตกขึ้นมาจะทำอย่างไรล่ะ? แถมยังได้ยินมาว่าระดับการเรียนการสอนในเมืองหลวงสูงมาก
โรงเรียนที่เรียนมาก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้มีครูดี ๆ เยอะนักด้วย ครูบางคนยังสอนผิดอยู่เลย แถมไม่เก่งเท่าเสี่ยวเถียนด้วย
“ลุงเสิ่น พวกเราจะสอบผ่านไหมครับ?”
ในที่สุด เด็กชายก็ถามในสิ่งที่กังวลออกไป
ก็มันเครียดนี่!
แถมรอบนี้มัธยมปลายปีที่สองรับเด็กใหม่สองห้องด้วย รวมแล้วทั้งหมดแปดสิบคน แต่มีคนมาสมัครสอบถึงหนึ่งร้อยห้าสิบคน
แต่มัธยมปลายปีที่หนึ่งมีคนสมัครถึงเจ็ดร้อยเก้าสิบสองคน แต่รับแค่สี่สิบคนเอง
ที่สำคัญกว่านั้นคือ คนส่วนใหญ่เป็นเด็กในเมืองหลวง ไม่รู้ว่าเก่งกันขนาดไหน
หรือพวกเขาอาจจะกลายเป็นคนที่กำลังวิ่งไล่ตามอยู่ก็ได้!
“เสี่ยวจิ่ว ไม่มั่นใจในตัวเองหรือ?” เสิ่นจื่อเจินถามอย่างจริงจัง
“ลุงเสิ่น เสี่ยวเถียนไม่มีปัญหาอะไรหรอก แต่เราห่างชั้นจากเสี่ยวเถียนเกินไป…”
เสียงของเด็กชายเบาลงเรื่อย ๆ เขารู้ดีอยู่แล้วว่าตัวเองไม่ได้เรียนเก่ง
“แต่พวกเธอไม่ได้มีปัญหาตรงไหนนะ เนื้อหาที่เรียนก็รู้อย่างถ่องแท้ คำถามที่ลุงตั้งให้ก่อนหน้านี้ก็ทำได้คะแนนเต็ม แล้วยังต้องกังวลอะไรอยู่ล่ะ?”
เสิ่นจื่อเจินเชื่อว่าคำถามที่เขาให้ไม่มีทางง่ายกว่าเนื้อหาที่จะต้องสอบ และการสอบรอบนี้จะต้องไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน ต้องบอกเลยว่าเด็ก ๆ บ้านซูทำให้ประหลาดใจในเรื่องเรียนเสมอเลย
โอ๊ะ ไม่ใช่แค่เด็ก ๆ สิ ผู้ใหญ่บ้านนี้ก็เหมือนกัน
ก่อนหน้านี้หม่านซิ่วเองก็เป็นชาวนามาก่อน แต่ตอนนี้ได้เป็นนักเขียนแล้ว
ส่วนคุณย่าซู การได้เจอกันรอบนี้ เธอก็อ่านหนังสือพิมพ์ได้แล้ว ถึงแม้จะมีบางคำที่ไม่รู้จัก อาจจะทำให้อ่านผิดได้ แต่ก็สามารถเข้าใจความหมายรวม ๆ ได้
เขาหันไปมองเสี่ยวเถียนที่กำลังยืนคุยกับอี้หย่วนอยู่
“ส่วนเสี่ยวเถียนก็สอบเหมือนกันนะ ไม่น่าจะมีปัญหาหรอก!”
เสิ่นจื่อเจินมองเสี่ยวจิ่ววัยสิบสามที่ยังกังวลใจอยู่
ตั้งแต่ที่เด็กคนนี้เริ่มเรียน เขาก็โดนน้องสาวที่แสนเก่งกาจคอยกดดันอยู่ตลอด ไม่งั้นจะเกิดความสงสัยในตัวเองขนาดนี้ได้อย่างไรกัน?
“จริงหรือครับ?” เด็กชายมีความสุขมาก
“จริงสิพี่เก้า หนูก็ไปสอบเหมือนกันนะ!”
ถึงเสี่ยวเถียนจะไม่อยากพูดแบบนี้ แต่เธอไม่ต้องการให้พี่เรียนช้ากว่าคนอื่นเพราะขาดความมั่นใจหรอกนะ เดิมทีคิดจะปลอบใจอีกฝ่าย ถึงได้พูดออกมา แต่กลายเป็นว่าคนพูดไม่ได้คิดอะไร แต่คนฟังดันคิดไปไกลเสียแล้ว!
และประโยคที่ว่าก็เข้าหูเด็กผู้หญิงข้าง ๆ พอดี เธอคนนี้สวมเสื้อลูกไม้สีขาว กระโปรงสีน้ำเงิน และรองเท้าหนังสีดำ
เด็กหญิงเงยหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิใจ ใช้สายตามองเสี่ยวเถียนด้วยท่าทางเหยียดหยาม ทั้งยังเอามือปิดจมูกด้วยความรังเกียจด้วย ท่าทางเหมือนตัวเสี่ยวเถียนมีกลิ่นเหม็นติดตัวอยู่
ที่จริงแล้วการแต่งตัวของซูเสี่ยวเถียนไม่ได้มีปัญหาตรงไหน เสื้อผ้าพวกนี้คุณปู่คุณย่าตู้เตรียมไว้ให้หลังจากที่เธอมาถึงเมืองหลวง ส่วนสไตล์มีความอนุรักษ์นิยม เป็นสไตล์ที่คนทั่วไปในเมืองใส่กัน
แต่เมื่อเสื้อผ้าพวกนั้นตกอยู่ในสายตาเด็กหญิงที่ทันสมัยตรงหน้า มันสกปรก! มันบ้านนอก!
เสี่ยวเถียนไม่ได้สนใจว่ามีคนกำลังจ้องมองอยู่ แต่อี้หย่วนสังเกตเห็น ทว่าเขาไม่ได้พูดอะไร
ไม่รู้จักกัน ไม่ต้องไปสนใจหรอก
เด็กหญิงเห็นเด็กหนุ่มที่แสนหล่อเหลาอย่างฉืออี้หย่วนแล้ว แค่แวบเดียวก็ทำเธอเขินอายจนหน้าแดง
แต่เธอก็พบว่าเด็กหนุ่มคนนั้นไม่ได้มองเธอไปมากกว่านี้ เพราะเขาลดระดับสายตาลงเพื่อมองยัยบ้านนอกข้าง ๆ แทน
เด็กหญิงกำมือแน่น
เธอไม่ดีเท่ายัยบ้านนอกนั่นเชียวหรือ? ทำไมเขาถึงไม่เป็นฝ่ายเข้ามาทักทายเธอกัน?
หัวใจของเธอโดนความอิจฉาริษยาแผดเผาจนมอดไหม้ สุดท้ายก็ร้องเหอะแล้วกลอกตาอย่างชั่วร้าย
ไม่พอแค่นั้น เธอยังกระทืบเท้าและสีหน้าก็โมโหจัดมากเท่าที่จะโมโหได้
“เสี่ยวหรุ่ย!” ชายวัยกลางคนที่อยู่ข้าง ๆ รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติกับลูกสาวจึงรีบเรียกเธอ
วันนี้วันสอบ อย่าสร้างเรื่องเด็ดขาด!
“คุณพ่อ หนูทนเห็นพวกนั้นทำตัวยโสโอหังไม่ได้!”
น้ำเสียงของเด็กหญิงเสแสร้ง ทั้งยังมีท่าทางชิงชัง ทว่ามีแค่เธอที่รู้ว่าการที่ตัวเองเป็นเช่นนี้เพราะเด็กหนุ่มชอบคุยกับยัยบ้านนอกนั่น
เสี่ยวเถียนได้ยินบทสนทนาทั้งหมด แต่ไม่ได้สนใจมัน เธอไม่มีเวลามากพอที่จะมาใส่ใจคนที่ไม่รู้จักหรอกนะ
เธอยังพอมีเวลาอยู่ อ่านหนังสือหาเงินดีไหมนะ?
ถ้าเธอตั้งใจอ่านหนังสือเป็นเวลาหนึ่งวัน จะหาเงินได้หกถึงเจ็ดหยวน เอาเวลานี้ไปหาเงินไม่ดีกว่าหรือ?
“พี่อี้หย่วน พี่ไม่กลัวหรือ?” เสี่ยวเถียนกระซิบ
ฉืออี้หย่วนยิ้มบาง ๆ “เธอคิดว่าพี่คือเสี่ยวจิ่วหรือ?”
เขาไม่ใช่เสี่ยวจิ่วนะ
และฉืออี้หย่วนในตอนนี้ก็ไม่ใช่เด็กที่เคยช่วยเสี่ยวเถียนไว้ในตอนนั้นแล้วด้วย
เขาอายุสิบหกปี ซึ่งเป็นช่วงอายุที่ดีที่สุด
เด็กหญิงที่ชื่อเสี่ยวหรุ่ยเฝ้าดูความสัมพันธ์ของคนทั้งสอง เธอได้แต่กำหมัดแน่นจนเล็บแทบจะจิกลงเนื้ออยู่แล้ว
“เสี่ยวหรุ่ย เป็นตัวของตัวเองก็พอ ไม่ต้องไปสนใจคนหยิ่งยโสพวกนั้นหรอก” ตอนที่ชายวัยกลางคนพูด เขาไม่ลืมมองคนบ้านนอกข้าง ๆ ด้วย “เพราะยังไงในอนาคตก็ไม่มีโอกาสได้เจอพวกเขาอีกแล้ว!”
เสี่ยวเถียนได้ยินคำพูดของชายวัยกลางคนก็เข้าใจได้ทันที จำเป็นต้องพูดกันขนาดนี้เลยหรือ? ที่เด็กคนนั้นมีนิสัยแบบนี้ก็เป็นเพราะถูกคนที่บ้านสั่งสอนมาสินะ!
เสิ่นจื่อเจินเองก็ได้ยินคำพูดนั้นเหมือนกัน คำพูดเหล่านั้นมันทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจเลย
แต่วันนี้เป็นวันสำคัญ เป็นวันที่เด็ก ๆ จะต้องไปสอบ เขาไม่มีเหตุผลจะไปโมโหคนไม่รู้จักหรอกนะ
ฉืออี้หย่วนกำหมัดแน่น แต่สุดท้ายก็ไม่พูดอะไร ไม่มีแม้แต่รอยยิ้มหลงเหลืออยู่บนใบหน้า
เด็กบ้านซูก็เช่นเดียวกัน
ทุกคนต่างกำหมัดแน่น
เพราะคิดว่าตนอ่อนแอ หากไม่เป็นเช่นนั้นก็คงไม่โดนดูถูกแบบนี้สินะ?
เสี่ยวเถียนไม่รู้ว่าแค่บทสนทนาสั้น ๆ ของสองพ่อลูกจะทำให้เด็กหนุ่มอีกหลายคนตั้งเป้าหมายใหม่ขึ้นมา
Comments