เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ [九个哥哥团宠小甜包]บทที่ 347 หญิงชราปากแข็ง (1)

Now you are reading เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ [九个哥哥团宠小甜包] Chapter บทที่ 347 หญิงชราปากแข็ง (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 347 หญิงชราปากแข็ง (1)

บทที่ 347 หญิงชราปากแข็ง (1)

เดิมทีเสี่ยวหรุ่ยคิดจะโต้กลับ แต่ท้องก็เริ่มปวดขึ้นมาอีกครั้ง หน้าผากของเด็กหญิงมีเหงื่อผุดพรายเต็มไปหมดเพราะอาการเจ็บปวดที่เสียดแทงขึ้นมา

ถึงจะไม่เต็มใจ แต่ก็ทำได้เพียงรีบวิ่งออกไปทั้งที่ยังกุมท้องแบบนั้น ก่อนวิ่งออกไปยังไม่ลืมหันมาจ้องมองบิดาด้วย

ตอนนี้เธอปักใจเชื่อเป็นอย่างมากว่าที่ตนเองปวดท้องมีสาเหตุมาจากการที่ไม่ได้กินไอศกรีมดี ๆ เข้าไป

ผู้เป็นพ่อมองลูกสาววิ่งไปทั้งแบบนั้น ก่อนจะตะโกนไล่หลังไม่สนใจสิ่งอื่น

เสิ่นจื่อเจินไม่ได้พูดอะไรสักอย่างก็จริง ทว่าเขามองการเคลื่อนไหวพวกนั้นอยู่

ก่อนจะส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้

สองพ่อลูกคู่นี้ช่างแปลกจริง ๆ

บ้านเราไม่ได้รู้จักกันแท้ ๆ ทำไมถึงเกิดเรื่องกันเยอะขนาดนี้ล่ะ?

ใช้ชีวิตมาตั้งหลายปี เขาไม่เคยเจอคนแบบนี้มาก่อน

ไฉนเลยเสิ่นจื่อเจินจะรู้ว่ามันมีอีกเรื่องด้วย

นั่นคือความงามสร้างเรื่องนั่นเอง

เพราะเสี่ยวหรุ่ยหลงใหลในความงามของฉืออี้หย่วนตั้งแต่แรกพบ และหวังว่าจะไล่ตามเขาไปถึงบ้านได้

เสี่ยวเถียนไม่คิดจะเก็บเรื่องคนไม่รู้จักมาใส่ใจอยู่แล้วก่อนเธอจะยกกล่องขึ้นเล็กน้อย

“พวกเรากลับบ้านกันเถอะค่ะ หนูซื้อไอศกรีมไปฝากคนที่บ้านด้วย”

ลุงเขยมองไอศกรีมในมือตัวเองและของเด็กคนอื่น ๆ พลางคิดว่าหลานสาวใช้เงินไปเท่าไรกัน

เขาเองก็รู้ราคาของไอศกรีมนะ มันน่าจะมีราคาอันละห้าหยวน พวกเรามีกันเจ็ดคนก็สามสิบห้าหยวนแล้ว แถมเสี่ยวเถียนยังพูดอีกว่าซื้อไปให้คนที่บ้าน คาดว่าในกล่องน่าจะยังมีอีกหลายอัน

ขณะนึกก็เหลือบมองเสี่ยวเถียนด้วยสายตาแปลกใจ เด็กคนนี้มีเงินติดตัวมากกว่าร้อยหยวนเลยหรือ?

บ้านซูไว้ใจให้เด็กคนนึงพกเงินไปมาเยอะขนาดนี้เลยหรือ?

หลังจากที่เรากลับไปถึง เสี่ยวเถียนก็เอาไอศกรีมออกมาให้ทุกคนตามที่พูดไว้ก่อนหน้านี้จริง ๆ

คุณย่าซูตำหนิเสี่ยวเถียนว่าไม่ควรใช้เงินฟุ่มเฟือยนะ แต่ก็ไม่ได้บ่นมากเท่าไร

พวกซูโส่วเวินอยู่เมืองหลวงมาปีกว่าแล้ว แต่ไม่เต็มใจจะใช้เงินฟุ่มเฟือย นี่จึงเป็นครั้งแรกที่ได้กินไอศกรีม

ซูซื่อเลี่ยงถือมันไว้ในมือ และกำลังลังเลว่าจะกินมันดีหรือไม่

ซานกงเห็นจึงอดไม่ได้ที่จะถามด้วยความสงสัย “พี่รอง พี่เอาแต่ถือแล้วเอาแต่มองอยู่แบบนี้ ดอกไม้จะงอกออกมาให้เห็นไหม?”

ส่วนตัวเขานั้นกินไปครึ่งถ้วยแล้ว

ช่วยไม่ได้นี่นา มันหอมมาก หวานมาก เย็น ๆ อร่อยจริง ๆ นะ

เขาไม่เคยกินของอร่อยแบบนี้มาก่อนในชีวิตเลย

“มันงดงามจริง ๆ นะ พี่ตัดใจกินมันไม่ลงหรอก” ซื่อเลี่ยงมองซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ไม่รู้ว่าทำออกมาเป็นดอกไม้ได้ยังไง”

เสี่ยวเถียนยิ้ม

“พี่รองรีบกินเถอะ เดี๋ยวละลายจะไม่ได้กินเอา”

จากนั้นซื่อเลี่ยงก็ตระหนักได้ว่าไอศกรีมถ้วยกับไอศกรีมแท่งเหมือนกัน หากถือนานไปมันจะละลายเอาได้

“พี่รอง ดอกไม้บนเค้กวันเกิดสวยกว่าบนไอศกรีมอีกนะ วันหลังเราไปซื้อกัน พี่จะได้ดูแบบละเอียด ๆ”

ในขณะที่พูด อันที่จริงเธอยังเสียใจต่อพวกพี่ ๆ อยู่

ไม่ใช่ชาตินี้หรอก แต่เป็นความทรงจำของชาติก่อน

ชีวิตที่แล้วพวกพี่ ๆ รักเธอมาก ไม่ยอมกินอาหารดี ๆ ใส่เสื้อผ้าดี ๆ เลย ส่วนพี่รองก็เพิ่งได้กินเค้กชิ้นเล็กครั้งแรกตอนอายุสามสิบ

ตั้งแต่ตอนนั้นกระทั่งตอนนี้ เธอยังไม่ลืมสีหน้าของพี่รองเลย

ยิ่งคิดถึงฉากนั้นเธอก็ยิ่งเสียใจ

แต่โชคดีที่ชีวิตในครั้งนี้พวกเรากำลังเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น

ตอนนี้พี่รองกำลังเรียนมหาวิทยาลัย เอกวิจิตรศิลป์ ได้ข่าวว่าผลการเรียนของเขาดีมาก

อนาคตพี่จะต้องไปได้ไกลและได้เรียนต่อแน่นอน เธอเชื่อว่าพี่ชายของเธอจะเป็นคนส่งต่อความสวยงามให้กับผู้คนเอง!

ตอนนั้นซื่อเลี่ยงไม่รู้ว่าน้องเล็กกำลังคิดอะไรอยู่ แต่เขารู้แค่ว่าเค้กวันเกิดที่เสี่ยวเถียนบอกมีราคาค่อนข้างสูง

เพื่อนร่วมห้องของเขาคนหนึ่งก็เป็นคนเมืองเหมือนกัน ตอนฉลองวันเกิดแล้วต้องซื้อเค้กหนึ่งก้อน เขาใช้เงินไปมากเหมือนกัน

แล้วบ้านเราเป็นมาจากชนบท รายได้ก็น้อย แล้วจะไปซื้อเค้กได้ที่ไหน?

“พี่ไม่เอาเค้กหรอกเสี่ยวเถียน เธอลืมไปแล้วหรือว่าพี่รองทำอะไรอยู่? ตอนนี้พี่เป็นนักวาดรูปนะ ใต้ปลายพู่กันมีสิ่งสวยงามอยู่ไม่ใช่หรือไง?”

เพราะคำตอบของเขาทำให้เสี่ยวเถียนขมขื่นกว่าเดิม

นี่คือพี่ชายของเธอเอง พี่ชายที่แสนดี!

ไม่ว่าจะลำบากแค่ไหน พวกพี่ ๆ ก็รักเธอผู้เป็นน้องสาวเสมอมา

ตั้งแต่ชีวิตก่อนหน้านั้น กระทั่งตอนนี้ไม่มีเปลี่ยนผัน!

เดิมทีเสิ่นจื่อเจินกำลังคิดถึงเรื่องเงินที่เสี่ยวเถียนมีติดตัวอยู่

แต่เมื่อมองสีหน้าเรียบเฉยของคนบ้านซูที่พูดราวกับเรื่องนี้เป็นปกติ เขาจึงไม่คิดถามอะไรให้มากความ เพราะเข้าใจว่าพวกเขาคงให้เงินกับเสี่ยวเถียนเยอะแบบนี้อยู่แล้ว

ทว่าเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าที่คนบ้านซูไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรเยอะ เพราะไม่รู้ว่าราคาไอศกรีมถ้วยสูงแค่ไหน คงคิดแค่ว่าราคามันพอ ๆ กับไอศกรีมแท่ง

อีกอย่าง คุณย่าซูก็หน้ามืดตามัวเชื่อเสี่ยวเถียนด้วย!

หลังจากสอบเสร็จก็เป็นเวลากลางเดือนแปดแล้ว และอีกประมาณสิบวันโรงเรียนก็จะเปิดภาคเรียน

คะแนนสอบจะออกมาในวันแรกของการเปิดเทอม จากนั้นพวกเราก็เข้าเรียนตามผลสอบ!

หออีหมิงตกแต่งตามการออกแบบของเสี่ยวเถียน

เด็กหญิงยังเกลี้ยกล่อมแม่กับย่าให้จ้างคนเสิร์ฟมาสี่คน และคนช่วยในครัวอีกสองคนด้วย

ช่วงเริ่มทำธุรกิจ มีพนักงานแค่นี้ก็น่าจะพอนะ

ทว่าหญิงชรากลับอึดอัดใจ

“แค่บ้านพวกเราก็พอแล้วมั้ง จะไปจ้างคนมาอีกทำไม? แถมต้องจ่ายเงินเดือนสูงอีก ไม่รู้ว่าจะขายได้เยอะขนาดนั้นหรือเปล่า”

“ไม่ใช่สุดท้ายหาเงินมาได้แต่ก็ต้องเอาไปให้พนักงานหมดล่ะ แบบนั้นไม่เสียแรงเปล่าหรอกหรือ?”

ฟังย่าพูดบ่น ผู้เป็นหลานก็หัวเราะ “คุณย่า ร้านเรานี่ไม่ใช่ร้านอาหารทั่วไปนะ มันมีลูกเล่น จะพึ่งพาแต่คุณย่ากับแม่เข้า ๆ ออก ๆ ไม่ได้นะคะ”

หม่านซิ่วพยักหน้าเห็นด้วย “แม่คะ ฟังเสี่ยวเถียนเถอะ หลานพูดถูกนะ”

“ใช่จ้ะ พวกเราคอยดูแลเบื้องหน้าก็พอ ส่วนพวกพนักงานเดี๋ยวฉันจะฝึกให้เอง” อวี่รุ่ยหยวนเข้ามารับหน้าทีทันที

“ต้องฝึกด้วยหรือ? แค่เอาอาหารไปเสิร์ฟไม่ใช่หรือไง? ถ้าไม่ฝึกก็ทำไม่ได้?” คุณย่าเบิกตาถามด้วยความประหลาดใจ

อวี่รุ่ยหยวนยิ้ม

“อั๊ยหย่าคุณป้า ฉันขอบอกไว้ก่อนเลยนะคะว่าการเสิร์ฟอาหารมันมีสิ่งที่แตกต่างกันอยู่ค่ะ” เถาฮวายิ้ม

หม่านซิ่วพยักหน้า “มันไม่เหมือนกันเลยค่ะแม่ ฉันเคยเห็นตอนอยู่ทางใต้ พวกพนักงานจะใส่ยูนิฟอร์ม ดูดีมีสง่าราศรีมาก ใครเห็นก็เป็นต้องชอบ”

“แต่เรามากินข้าว ไม่ได้มาดูคน!” ไม่ว่าอย่างไรคุณย่าซูก็ยังไม่วางใจอยู่ดี

ร้านอาหารดี ๆ ที่มีคนสวย ๆ มาเสิร์ฟอาหารคือมาให้คนดูหรือมาให้กินข้าวกันแน่?

เสี่ยวเถียนหัวเราะลั่น

“คุณย่า คนโบราณบอว่าความงามเป็นสิ่งที่กินได้ และถ้าพนักงานร้านเรามีความทันสมัย จะทำให้หออีหมิงของพวกเราดูหรูหราขึ้นได้นะคะ เหมือนแผ่นป้ายร้านที่คุณปู่ฉือทำให้ไง”

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *