เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ [九个哥哥团宠小甜包]บทที่ 390 ปวดใจ

Now you are reading เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ [九个哥哥团宠小甜包] Chapter บทที่ 390 ปวดใจ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 390 ปวดใจ

บทที่ 390 ปวดใจ

แน่นอนว่านั่นไม่ใช่ประเด็นหลัก ประเด็นคือถึงเสี่ยวเถียนจะทำงานหนัก แต่ก็ทำได้ไวมาก

เด็กอายุสิบเอ็ดสิบสองปีทำงานวันเดียวได้เงินเหมือนคนงานธรรมดาทำสองเดือนเลย หากบอกใคร ใครเขาจะเชื่อกัน?

“โอ๊ะ! เดี๋ยวพรุ่งนี้ย่าไปร้านดีกว่า ให้ย่าหลานทำของอร่อย ๆ มาบำรุงหลานสักหน่อย!”

พูดเรื่องเข้าครัวแล้ว อวี่รุ่ยหยวนไม่มีความมั่นใจเลย และอาหารที่คุณย่าซูทำก็ดีกว่าอาหารที่เธอทำเยอะมาก

“คุณย่า ถ้าย่ามีเวลาช่วย หนูหาหน่อยได้ไหมคะว่าราคามันประมาณสองหมื่นใช่ไหม ถ้าเยอะกว่านี้หนูไม่มีแล้วค่ะ”

อวี่รุ่ยหยวนพยักหน้าตอบรับ “ได้สิ ถ้าช่วงนี้มีเวลา เดี๋ยวย่าจะไปถามให้นะ”

เธอคิดในใจ ถ้าหาหลังที่เหมาะ ๆ ก็อยากจะปรึกษาอีกฝ่ายสักหน่อย หากราคามันสูงก็ช่วยออกให้เจ้าของไปก่อนก็ได้

เพราะเสี่ยวเถียนอยากใช้แค่สองหมื่นเท่านั้น

อืม… ทำแบบนี้แล้วกัน!

อวี่รุ่ยหยวนเดินจากไป

เสี่ยวเถียนพักอยู่ครู่เดียว ตอนนี้สภาพจิตใจดีขึ้นแล้ว เธอจึงหยิบเอกสารมาแปลต่ออีกครั้ง

ตอนอยู่ที่โรงเรียน ครูฮวางเห็นเสี่ยวเถียนหน้าตาไม่สดชื่นก็รู้สึกกังวลใจมาก

“นักเรียนซู เธอดูไม่ค่อยสดชื่นเลยนะ!” ครูฮวางถามอย่างเป็นห่วง

เสี่ยวเถียนวางหนังสือลงอย่างใจเย็นแล้วมองครูประจำชั้น

“หนูสบายดีค่ะครูฮวาง สองวันนี้แค่เหนื่อยเรียนไปหน่อย”

ได้ยินเช่นนั้น อีกฝ่ายก็ซาบซึ้งมาก

หายากมากที่จะมีเด็กเรียนเก่งและตั้งใจอ่านหนังสือแบบนี้

เสี่ยวเถียนกำลังคิดอยู่ว่า จะไม่เหนื่อยได้อย่างไรล่ะ?

เอกสารยากกว่าที่เธอคิดไว้มาก แม้จะได้ทักษะมาจากระบบก็ยังแปลได้ไม่คล่องอยู่ดี

และที่มีความสุขคือ ระบบช่วยชีวิตเธอมาก และให้พจนานุกรมภาษาฝรั่งเศสฉบับสมบูรณ์มาด้วย

ที่เธอแปลได้ถูกก็เพราะมันเลย แต่มันสร้างภาระมาก เพราะต้องเรียนและแปลไปพร้อม ๆ กัน

เมื่อครู่ก็กำลังตั้งใจอ่านมันอยู่เนี่ยแหละ

ฮวางเหวินป่ายเอ่ยอย่างจริงจัง “ดีแล้ว ๆ แต่ว่านะนักเรียนซู เธอต้องปรับสมดุลเรื่องการทำงานและพักผ่อนด้วยสิ มันไม่คุ้มนะถ้าร่างกายเหนื่อยล้าเกินไป”

ทุกคนคิดว่าการทำงานมันเหนื่อย แต่ใครจะรู้ล่ะว่าการเรียนหนังสือก็เหนื่อยเหมือนกัน

และเสี่ยวเถียนเป็นเด็กที่เก่งมาก จะให้เธอทำร้ายร่างกายตัวเองแบบนี้เพราะไม่รู้จักปรับสมดุลเรื่องการทำงานและพักผ่อนเข้าด้วยกัน!

“หนูรู้ค่ะครูฮวาง หนูวิ่งแล้วก็ต่อยมวยทุกเช้าเลยนะ”

ฮวางเหวินป่ายยิ่งรู้สึกว่าเสี่ยวเถียนเก่งเหลือเกิน

เขาเดินกลับไปที่โพเดียมหน้าห้อง และกวาดสายตามองเด็กในห้อง

“นักเรียน พวกเราต้องเรียนรู้จากซูเสี่ยวเถียนนะ ทุกคนรู้กันดีว่าเพื่อนสอบเข้าโรงเรียนได้อันดับหนึ่ง และการสอบย่อยในครั้งนี้ก็ได้อันดับหนึ่งด้วย”

“เพื่อนตั้งใจเรียนแบบนี้ แล้วพวกเราจะยังเอื่อยเฉื่อยได้อีกไหม? ไม่ได้แล้วนะ! เราจะเอ้อระเหยแบบนี้ไม่ได้”

เด็กส่วนใหญ่ชื่นชมที่เสี่ยวเถียนตั้งใจเรียน แต่ส่วนน้อยที่รู้สึกว่าเสี่ยวเถียนก็แค่โดนยกยอปอปั้นเท่านั้น

ถึงขนาดพูดเหน็บแนมด้วยว่าเหตุผลที่สอบได้คะแนนดีไม่ใช่เพราะมีพรสวรรค์ แต่เพราะเป็นพวกนกทะเลอทะล่าโผบินก่อน*[1]

ในไม่ช้าก็มีข่าวหนึ่งแพร่กระจายไปทั่วโรงเรียนมัธยมอันดับเจ็ด

ซูเสี่ยวเถียนจากห้อง 18 ไม่ได้ฉลาดขนาดนั้น ที่ได้คะแนนดีเพราะเรียนหนักจนไม่ได้นอนอยู่ทุกคืน

เพราะข่าวนี้เลยทำให้คนที่เคยคิดว่าเสี่ยวเถียนฉลาดก็มองต่างออกไป

ส่วนคนในข่าวไม่ได้สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงสักนิด แต่พี่ชายของเจ้าตัวสังเกตเห็น

พวกเขายังร่วมมือกันไปสืบข่าวด้วย สรุปแล้วข่าวลือพวกนี้มีผลกับน้องนิดเดียวเท่านั้น

เสี่ยวเถียนไม่ได้ใส่ใจอยู่แล้วว่าเธอจะได้คะแนนดีเพราะฉลาดหรือตั้งใจเรียนกันแน่

ห้าวันผ่านไป ใบหน้าเสี่ยวเถียนเปลี่ยนเป็นขาวซีด

คุณย่าซูที่กำลังยุ่งสังเกตเห็นว่าหลานสาวดูอ่อนเพลีย

“หลานรัก หลานเป็นอะไรไป? ไม่สบายหรือ?”

หญิงชราไม่สนใจเรื่องอาหารแล้ว ก่อนทรุดตัวลงนั่งตรงหน้าหลานแล้วมองสำรวจ คุณย่าซูปวดใจมากจนเกือบหลั่งน้ำตาออกมา

“ก่อนหน้านี้ย่าบุญธรรมบอกอยู่ว่าหลานไม่ค่อยสบายต้องบำรุงร่างกายสักหน่อย แต่ย่าไม่คิดว่ามันจะแย่แบบนี้”

ได้ยินเช่นนั้น เสี่ยวเถียนก็พูดไม่ออก

แค่หน้าซีดเอง มันแย่ขนาดนั้นเลยหรือ?

ที่ย่าพูดถึงอยู่คือเธอใช่ไหม?

แต่ร่างกายก็ปกติดีนะ

เหลียงซิ่วก็ปวดใจเหมือนกัน ลูกสาวยังแข็งแรงดีมีเนื้อมีหนัง ผ่านไปไม่กี่วันมันหายไปไหนหมดแล้ว?

มัวแต่ไปทำอะไรอยู่น่ะ? เมินเฉยลูกแบบนี้ได้อย่างไร?

เธออดโทษตัวเองไม่ได้

อุตส่าห์ลาออกจากงานมาอยู่ในเมืองหลวง เหตุผลก็คือมาดูแลแม่สามี แต่ก็อยากดูแลลูกสาวด้วย

แต่ใครจะรู้ว่ามาทั้งทีกลับยุ่งจนไม่ได้ดูแลลูก

พอคิดถึงเรื่องนี้ เหลียงซิ่วก็เกือบจะร้องไห้ออกมา

“พวกแกเป็นพี่ชายแท้ ๆ ดูน้องกันยังไง?” คุณปู่ซูพูดด้วยใบหน้าเรียบเฉย

เด็ก ๆ ถูจมูก ไม่รู้จะตอบอย่างไรดี

มันไม่ใช่ความผิดของพวกเขาเสียหน่อย เสี่ยวเถียนนอนดึกเอง กล่อมแล้ว อะไรก็แล้ว กล่อมจนไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว!

“ปู่ครับ จากนี้ไปพวกเราจะดูแลน้องให้ดีเองครับ”

พี่ชายทั้งห้าไม่อยู่ และตอนนี้เขาโตที่สุดจึงรีบออกตัวทันที

เขารู้สึกผิดมาก ทำไมไม่ดูน้องให้ดีนะ?

ผู้ใหญ่ที่บ้านยุ่งกันทั้งนั้น เขาควรจะดูแลเธอสิ

“เหอะ!” ชายชราไม่สนคำสารภาพของหลาน

“ยายเฒ่า ไปทำของกินอร่อย ๆ ให้เสี่ยวเถียนไป ร่างกายหลานไม่ค่อยดี!”

แววตาที่เศร้าสร้อยของปู่ทำให้หลาน ๆ ที่มองมารู้สึกขมขื่นในใจ

“ได้สิ ฉันจะไปเดี๋ยวนี้แหละ หลานรักนั่งก่อนนะ เดี๋ยวย่าทำซุปไก่ให้กิน!”

คุณย่าซูรีบเข้าไปในครัวทันใด

เสี่ยวเถียนอยากจะบอกนักว่าเธอต้องไปทำงานต่อ แต่ที่บ้านเป็นห่วงกันแบบนี้ ทำให้เธอละอายใจเกินกว่าที่จะพูดออกมา

ช่างเถอะ ต้องปรับสมดุลเรื่องทำงานและพักผ่อนบ้าง

เสี่ยวเถียนขบคิดก่อนจะคุยกับชายชรา

สองปู่หลานพูดคุยเรื่องไร้สาระด้วยกันอย่างมีความสุข นี่คือภาพที่ฉือเก๋อเห็นตอนเดินเข้ามา

“เสี่ยวเถียนเอ้ย ไม่เจอกันเพียงไม่กี่วัน ทำไมหน้าตาซีดเซียวแบบนี้?” ตอนเห็นเสี่ยวเถียน ทำให้เขาตกใจเป็นอย่างมาก

ไม่แปลกใจที่เจ้าอี้หย่วนบอกว่าช่วงนี้เสี่ยวเถียนดูอ่อนล้า

เขาคิดว่าหลานพูดเล่น ใครจะรู้ว่าเป็นเรื่องจริง

“หนูสบายดีค่ะปู่ฉือ แต่ช่วงนี้แปลเอกสาร”

เสี่ยวเถียนรีบลุกและให้อีกฝ่ายนั่ง พร้อมกับรินชาให้

ฉือเก๋อคิดว่าตัวเองหูฝาดไป

แปลเอกสาร?

เสี่ยวเถียนหมายถึงแปลเอกสารด้วยตัวเอง?

จะเป็นไปได้อย่างไรน่ะ?

“เสี่ยวเถียน หลานบอกว่าแปลเอกสารหรือ? แปลเรื่องอะไรล่ะ?” ฉือเก๋อถามด้วยความประหลาดใจ

เสี่ยวเถียนนั่งลงระหว่างชายชราทั้งสอง แล้วตอบด้วยรอยยิ้ม “เป็นเอกสารของโรงงานไฟฟ้าตงเฟิง เรื่องความร่วมมือกับทางฝรั่งเศสค่ะ”

*[1] เรียนหนักเพื่อชดเชยความสามารถที่น้อยนิดของตน

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *