เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้ายบทที่ 540 เจ้าคิดจะไปโน้มน้าวให้เขายอมจำนนอย่างนั้นหรือ
บทที่ 540 เจ้าคิดจะไปโน้มน้าวให้เขายอมจำนนอย่างนั้นหรือ
“อืม ตั้งครรภ์แล้ว” เย่จิ่งฝูชักมือกลับ
ทุกคนที่อยู่ในกระโจมต่างก็ตกตะลึง
จากนั้นก็แสดงความยินดีกับเผยยวนและภรรยา ในที่สุดลูกที่เขารอคอยมานานก็มาแล้ว
อาชิงกะพริบตากลมโตปริบ ๆ และในมือยังคงถือแป้งทอดอยู่ ก่อนจะพูดอย่างระมัดระวัง “ท่านแม่มีเด็กน้อยแล้วหรือขอรับ?”
“อืม”
อาชิงกัดแป้งทอด จากนั้นก็เข้าไปพิงที่ข้างกายจี้จือฮวน โยกหัวเล็ก ๆ ไปมาแล้วพูดว่า “เช่นนั้นอาชิงก็เป็นพี่ชายแล้วหรือขอรับ?”
“ใช่แล้ว”
จี้จือฮวนตอบเขาพร้อมรอยยิ้ม อาชิงจึงพูดอย่างมีความสุขขึ้นมา “พี่หญิง ข้าจะมีน้องสาวแล้วขอรับ”
อาอินก็ดีใจเช่นกัน นางเกาหัว ก่อนเอนตัวพิงข้างกายของจี้จือฮวนอย่างระมัดระวัง “ท่านแม่อยากกินอะไรเจ้าคะ ข้าไปที่ครัวทำไข่ตุ๋นมาให้ท่านแม่ดีหรือไม่เจ้าคะ?”
ข่าวดีของตระกูลเผย นั่นเป็นเรื่องที่ทุกคนล้วนให้ความสำคัญ
แต่ข่าวการตั้งครรภ์ของจี้จือฮวน กลับไม่ได้ถูกประกาศในค่ายทหาร มีเพียงคนใกล้ชิดไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้
จู่ ๆ เซียวเย่เจ๋อก็รู้สึกว่าต้นแบบก็คือต้นแบบ เขายังไม่มีภรรยา ทว่าอีกฝ่ายก็มีลูกตั้งสามคนแล้ว พอเขาหาภรรยาได้แต่ยังไม่ได้แต่งงาน อีกฝ่ายก็มีลูกแท้ ๆ ของตัวเองแล้ว
อีกทั้งยังมีคนเอาภรรยาใส่พานมาให้เขาถึงที่อีกด้วย
คนที่ชอบเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่น มักจะรู้สึกแย่เสมอ
เมื่อใดองค์หญิงน้อยแห่งกลุ่มกองเรือจึงจะหาเงินได้มากพอแล้วยอมแต่งงานกับลูกคนรวยธรรมดา ๆ อย่างเขาเสียที?
เดิมทีอาชิงอยากออกไปเล่นข้างนอกหลังกินข้าวเสร็จ แต่ตอนนี้เขาไม่เหมือนเดิมแล้ว!
เพราะตอนนี้เขาได้เป็นพี่ชายแล้ว!
พี่ชายต้องทำอะไร?
ขณะที่จี้จือฮวนกำลังกินข้าวอยู่ จู่ ๆ อาชิงน้อยก็เลียนแบบอาฉือ หยิบตำราหนาหนักเล่มหนึ่งออกมา แล้วโยกหัวเริ่มอ่านหนังสือทันที “ท้องฟ้าเป็นสีดำ พื้นดินเป็นสีเหลือง จักรวาลก่อกำเนิดขึ้นในสภาวะที่โกลาหลและสับสน”
ทุกคนต่างประหลาดใจเป็นอย่างมาก ไป๋จิ่นเงยหน้ามองดูท้องฟ้าด้วยดวงตาที่บวมช้ำราวกับสยงเมา* ทว่าสมมาตรกันทั้งสองข้าง “วันนี้ฝนจะตกเป็นสีแดงหรือ?”
* สยงเมา (熊猫) หมายถึง หมีแพนด้า
“ชู่!” อาชิงน้อยจ้องหน้าเขา “อาจารย์อย่าเสียงดัง ท่านจะทำให้น้องน้อยของข้าเสียคนได้นะขอรับ”
ไป๋จิ่น “…”
เจ้าศิษย์อกตัญญู เมื่อคืนพูดจาเหลวไหลจนทำให้ข้าถูกตี ตอนนี้ยังกล้ามาบอกให้ข้าหุบปากอีก
ฮือ ๆ ๆ เลี้ยงศิษย์ไม่สามารถพึ่งพิงตอนแก่ได้จริง ๆ
แต่เป็นผู้ชายต้องพึ่งพาตนเอง!
ทว่าหลังจากที่เยว่พั่วหลัวรู้ว่าจี้จือฮวนตั้งครรภ์ ก็เอาแต่กุมท้องตัวเองตลอดเวลา
“เหตุใดถึงไม่กินข้าวเล่า?” เย่จิ่งฝูเห็นนางที่กินเก่ง แต่วันนี้กลับนิ่งเงียบจนผิดปกติ จึงเอ่ยถามขึ้นมา
เยว่พั่วหลัวมีสีหน้าทุกข์ใจ “ข้ากังวลว่าหากมีลูก แต่ถ้าไม่ใช่ลูกแฝดขึ้นมาจะทำอย่างไร?”
ทุกคนที่กำลังกินข้าวกันอยู่ ต่างก็พ่นข้าวในปากออกมา
จากนั้นก็มองมาที่นางจนเป็นตาเดียว
“เจ้าจะมีลูกได้อย่างไร?”
“ลูกใคร?”
“เจ้าเป็นคนรุกหรือเป็นคนรับ?”
“ฮะ ตั้งแต่เมื่อใด?”
“มีเด็กด้วย พวกเราช่วยกังวลหน่อยได้หรือไม่!”
หัวใจของไป๋จิ่นเต้นรัวเมื่อพบว่าทุกคนต่างก็มองมาที่เขา จึงคิดในใจว่า ลูกผู้ชายไม่มีอะไรที่เขาไม่กล้ายอมรับ ทำแล้วก็ควรยอมรับ
ดังนั้นคำพูดที่ว่า ‘ลูกข้าเอง’ ยังไม่ทันจะพูดออกไป!
ทว่าเผยเสี่ยวเตากลับถามขึ้นมาเสียก่อน “เหตุใดเจ้าถึงไม่พูดอะไรบ้างเลยเล่า พวกเราต่างก็พูดกันหมดแล้ว ต่อไปก็ตาเจ้าแล้ว”
“นั่นสิ เจ้าควรเป็นคนที่คึกคักกว่าใครไม่ใช่หรือ?” เซียวเย่เจ๋อเอ่ยถาม
เว่ยเจ๋อเซิงพยักหน้าเล็กน้อย “พูดถูก”
ไป๋จิ่นรู้สึกเหมือนกินปูนร้อนท้องขึ้นมา จี้จือฮวนจึงเอ่ยช้า ๆ ว่า “คงไม่ใช่ลูกเจ้ากระมัง?”
!!!
ทุกคนต่างก็เงยหน้าขึ้นโดยพร้อมเพรียงกัน นี่มัน?
มองไม่ออกเลย
เยว่พั่วหลัวใบหน้าแดงเรื่อ หยิกไป๋จิ่นใต้โต๊ะแรง ๆ ไปหนึ่งที “แค่ก ๆ!”
ไป๋จิ่นกลัวว่านางจะหยิกจนสมมาตรกันอีก จึงเอ่ยด้วยความขัดเขินขึ้นมา “ก็วันที่เพิ่งเข้าเมืองเจว๋เฉิงวันนั้น ที่พวกเราถูกไช่หุ่ยวางกับดักกันอย่างไรเล่า เลยออกมาเป็นเช่นนี้”
“อ้อ~~” น้ำเสียงของทุกคนคล้ายกับมีลับลมคมในบางอย่าง
อาชิงเงยหน้าขึ้นมาจากตำรา “หืม อาจารย์ ท่านก็ท้องหรือขอรับ เช่นนั้นลูกของท่านต้องท่องคัมภีร์พิษด้วยหรือไม่ แต่ตอนนี้ข้ายุ่งมากเลยนะขอรับ”
ไป๋จิ่น “…”
เจ้าหุบปากไปเถอะ
พริบตาต่อมา เย่จิ่งฝูก็ดึงข้อมือของเยว่พั่วหลัวมาตรวจชีพจร ทุกคนต่างก็กลั้นหายใจ
ทว่าเย่จิ่งฝูก็ส่งเสียงชิชะออกมา “ยังหรอก วางใจเถอะ ยังต้องพยายามมากกว่านี้อีก”
เยว่พั่วหลัวถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ข้าบอกแล้วว่าข้าไม่โชคร้ายขนาดนั้นหรอก”
อยากแต่งงานกับนาง เขายังต้องไปที่หมู่บ้านสิบแปดเขา และต้องเอาสินสอดจำนวนมากไปด้วยจึงจะได้!
ไป๋จิ่นกลับรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เมื่อครู่เขายังคิดชื่อลูกเอาไว้แล้วด้วยซ้ำ!
“แทบจะทำลูกออกมาอยู่แล้ว รีบจัดการเถอะ!” เซียวเย่เจ๋อปัดมือหนึ่งที “เห็นแก่ที่เป็นสหายกัน ข้าจะออกสินสอดให้เจ้าเอง”
เยว่พั่วหลัวจึงพูดอย่างเย่อหยิ่ง “เขายังไม่ผ่านด่านหมู่บ้านสิบแปดเขาของข้าเลย ข้าไม่อาจตกลงส่งเดชได้”
ไป๋จิ่นเอ่ย “เจ้าไม่เข้าใจ จะสู่ขอนางเรื่องเงินสินสอดไม่ใช่ปัญหา แต่ต้องค่อย ๆ รวบรวมไปต่างหากเล่า”
การมอบสินสอดให้สำนักกู่นั้นมีกฎที่เข้มงวดอยู่ข้อหนึ่ง นั่นก็คือ ไม่สำคัญว่าเจ้าจะมีเงินหรือไม่ แต่ต้องรวบรวมพิษทั้งหมดในใต้หล้านี้มาให้ได้ และพิษที่หามาได้ ใครยิ่งหายากยิ่งดี เช่นนั้นฝ่ายหญิงก็จะยิ่งให้ความสนใจ
เรื่องนี้เซียวเย่เจ๋อช่วยไม่ได้จริง ๆ ไป๋จิ่นต้องพยายามเอง
เย่จิ่งฝูคิดว่าเรื่องเหล่านี้ไม่เกี่ยวอะไรกับผู้สูงส่งที่ละทางโลกแล้วอย่างนาง นางยังต้องกลับไปฝึกฝนทักษะการเย็บแผลอีก
ทว่าลู่เอี้ยนกลับเกี่ยวนิ้วของนางที่อยู่ใต้โต๊ะเอาไว้ ทำเอาเย่จิ่งฝูสะดุ้งขึ้นมา
นางจึงส่งสายตาข่มขู่ให้เขา “เจ้าอยากตายก็บอกมา ข้าจะเอายาเบื่อหนูชามหนึ่งมาให้เจ้าเดี๋ยวนี้”
ทว่าหากเพียงเท่านี้ลู่เอี้ยนก็กลัวจนยอมถอยให้ เช่นนั้นเขายังจะเป็นใต้เท้าลู่ที่ผู้คนชื่นชมได้อีกอย่างนั้นหรือ?
ลู่เอี้ยนเลิกคิ้วสื่อสารผ่านสีหน้า ‘ข้าก็อยากตายเสียเดี๋ยวนี้ จะได้เป็นผีคอยเกาะแกะเจ้าไปตลอดชีวิต’ พลางมองเย่จิ่งฝู
“เรื่องสินสอดนั้นข้าได้ให้คนไปเตรียมแล้ว ล้วนเป็นสมุนไพรหายากทั้งสิ้น”
เย่จิ่งฝูตัวสั่นเทาขึ้นมา ต่ำช้า! ใช้วิธีการเช่นนี้มาติดสินบนนางอย่างนั้นหรือ?
เห็นนางเป็นสตรีที่สามารถซื้อได้ด้วยเงินเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างนั้นหรือ?
“มีม้าน้ำ”
!!!
ก็แค่ม้าน้ำ หากนางรักษาให้กับตระกูลสูงศักดิ์ ก็อาจจะได้มานิดหน่อย
“ถั่งเช่า”
!!!
หากเป็นถั่งเช่าเช่นนั้นก็ถือว่าหายากจริง ๆ แต่นั่นก็ยังพอหาได้อยู่ดี
เย่จิ่งฝูเริ่มไขว้เขว
การหักห้ามใจตัวเองของเย่จิ่งฝูเริ่มพังทลายลงอย่างช้า ๆ
“แน่นอนว่ายังมีบัวหิมะเทียนซาน…” ลู่เอี้ยนกำลังเหวี่ยงเหยื่อล่อไปมาแล้ว
เย่จิ่งฝูกลืนน้ำลายหนึ่งอึก
“เฮ้อ หากว่าแม่นางเย่ไม่เอาละก็ เช่นนั้นของเหล่านี้ก็คงต้องปล่อยให้ขึ้นราอยู่ในห้องเก็บของเสียแล้ว”
!!!
จะ…จะปล่อยให้เป็นเช่นนั้นได้อย่างไรกัน!
นั่นเป็นของมีค่ามากเลยนะ!
“ทั้งเขากวาง อุ้งเท้าหมี บัวหิมะ และอีกสารพัด ต่างก็เป็นแค่สิ่งของเท่านั้น เสียแล้วก็เสียไป”
เย่จิ่งฝูอ้าปากพะงาบ ๆ
ป่านหลานเกินที่อยู่ข้าง ๆ ดวงตาเป็นประกาย “หรือไม่ใต้เท้าลู่ ท่านสู่ขอข้าแทนเถอะขอรับ ข้าก็ไม่ต่างอะไรกับศิษย์พี่หรอกขอรับ”
ลู่เอี้ยนปรายตามองเขาเล็กน้อย เจ้าต่างจากนางมากทีเดียว ดังนั้นหุบปากไปเถอะ
ไม่รู้ว่าใครเตะป่านหลานเกินใต้โต๊ะไปหนึ่งที
ป่านหลานเกินก็หุบปากลงทันที
ลู่เอี้ยนกระแอมเล็กน้อย “ข้าตั้งใจว่าจะอาศัยช่วงเวลาสองสามวันนี้ไปเมืองเจว๋เฉิงสักครั้ง”
เผยยวนเข้าใจความหมายของเขา “ซือถูรุ่ยบัดนี้อยู่ในมือของเราแล้ว เจ้าจึงตั้งใจจะไปหาซือถูหงเพื่อโน้มน้าวให้เขายอมจำนนอย่างนั้นหรือ?”
“ใช่ ในเมื่อเจ้าเมืองเจว๋เฉิงถูกจับแล้ว ซือถูหงเองก็เป็นแค่ม้าตีนต้น** ต่อให้มีมู่หรงเจี๋ยอย่างมากก็สู้ได้นานขึ้นอีกหน่อย ดังนั้นหากซือถูหงอยากจะเอาชนะละก็ เกรงว่าคงต้องรวบรวมเมืองที่เหลือทั้งหมดมาสู้ตายกับพวกเรา ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีโอกาสชนะอย่างแน่นอน ดังนั้นข้าจึงคิดว่า การโน้มน้าวให้เขายอมจำนน บางทีอาจจะสำเร็จก็เป็นได้”
** ม้าตีนต้น หมายถึง การทำสิ่งใดได้ดีเฉพาะในช่วงแรก ๆ
.
.
Comments