เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้ายบทที่ 609 รับรู้ความจริง
บทที่ 609 รับรู้ความจริง
ซูตี๋หย่ายังคงพักอยู่ในกระโจม เวลานี้ทุกคนต่างให้ความสนใจกับแขกที่มา จะยังมีใครมาดูแลผู้หญิงที่ล่วงเกินเค่อตุนผู้นี้กัน
ตอนที่มู่เหรินมาถึง ซูตี๋หย่ากำลังใช้เครื่องประดับเพื่อซื้อตัวเด็กสาวคนหนึ่งอยู่
“ของพวกนี้เจ้าเอาไป ไม่พอค่อยกลับมาขอข้าอีก แต่เจ้าต้องไปตามท่านข่านมาให้ข้า เข้าใจหรือไม่ ต้องบอกท่านข่านว่าอย่างไร เจ้าจำได้หรือไม่?”
เด็กสาวพยักหน้ารับอย่างเบื่อหน่าย “บอกว่าเจ้าป่วยจนจะไม่ไหวแล้ว เห็นแก่หน้าของพี่ชายเจ้า ให้ท่านข่านมาหาเจ้าสักครั้ง ใช่หรือไม่?”
“ใช่ เจ้าต้องบอกท่านข่านด้วยตัวเอง อย่าให้ผู้หญิงคนนั้นได้ยินเด็ดขาด”
เด็กสาวมีสีหน้าลำบากใจ แต่เมื่อมองดูเครื่องประดับในมือก็เริ่มหวั่นไหว
“เอาละ เจ้ารอก่อนก็แล้วกัน”
แต่เมื่อนางหันหน้าไปก็เห็นมู่เหรินที่ยืนอยู่ในเงามืด
“กรี๊ด!” เด็กสาวตกใจอย่างมาก
ซูตี๋หย่าเองก็ตกใจเช่นกัน หลังจากมองดูอย่างชัด ๆ แล้วพบว่าเป็นมู่เหริน นางจึงเดินเข้าไปหาเขาพร้อมรอยยิ้ม “พี่ชาย!”
ซูตี๋หย่ากระโจนเข้าไปในอ้อมแขนของมู่เหรินและร้องห่มร้องไห้ออกมา “พี่ชาย ในที่สุดท่านก็มา ซูตี๋หย่าเกือบไม่ได้พบท่านแล้ว!”
เอ่ยไปซูตี๋หย่าก็เงยหน้าขึ้น บาดแผลที่มุมปากแม้ว่าจะใส่ยาแล้ว แต่ก็ยังคงน่าสยดสยอง “พี่ชาย ท่านดูหน้าข้าสิเจ้าคะ ท่านไม่สงสารข้าหรือเจ้าคะ!”
มู่เหรินมองเด็กสาวคนนั้นที่กำลังจะเดินออกไป
“หยุดก่อน”
เด็กสาวตกใจจนร่างกายสั่นเทา “ท่านมู่เหริน ข้าไม่ได้ตั้งใจเจ้าค่ะ…”
“เจ้าไปเถอะ เรื่องที่ซูตี๋หย่าให้เจ้าไปทำเมื่อครู่เจ้าก็ไม่ต้องทำแล้ว เครื่องประดับนั่นเจ้าก็เอาไปได้เลย”
เด็กสาวดีใจอย่างมาก “ขอบคุณท่านมู่เหรินเจ้าค่ะ!”
เอ่ยจบก็วิ่งจากไปทันที
ซูตี๋หย่าโมโหอย่างมาก “พี่ชาย! ท่านจะทำอะไรของท่านกัน ในเมื่อท่านได้ยินแล้ว ก็ต้องรู้แล้วสิว่าตอนที่ท่านไม่อยู่ ข้าได้รับความไม่เป็นธรรมเพียงใด”
มู่เหรินคว้าตัวนางแล้วดึงเข้าไปในกระโจมทันที
“พี่ชาย!”
มู่เหรินเหวี่ยงนางลงบนเตียง มองดูบาดแผลที่มีคราบเลือดบนแผ่นหลังและใบหน้าที่ซีดเซียวก็เอ่ยขึ้นมาตรง ๆ “ซูตี๋หย่า เจ้ายังมีศักดิ์ศรีของผู้หญิงอยู่หรือไม่?”
“ข้าทำไมกัน!? ข้ามันทำไม!” ซูตี๋หย่าได้ยินดังนั้นก็กระทืบเท้าเร่า ๆ
“ข้าเป็นน้องสาวของท่าน ท่านเสียสติไปแล้วหรืออย่างไร เห็นข้าบาดเจ็บเพียงนี้กลับไม่เป็นห่วงข้า หรืออยากจะล้างแค้นให้ข้า แต่กลับมาตำหนิข้าเช่นนี้! ท่านยังเป็นพี่ชายข้าอยู่หรือไม่!” ซูตี๋หย่าไม่อยากจะเชื่อ
เสียแรงที่นางคิดอยู่ทุกเช้าค่ำ ว่ามู่เหรินจะมาทวงความเป็นธรรมให้นาง!
มู่เหรินหลับตาลง “ซูตี๋หย่า ชางฉีไม่มีทางเลือกเจ้า และหากเจ้าแต่งงานกับคนอื่นเจ้าก็จะมีอนาคตที่ดีกว่า ในเผ่ายังมีนักรบอีกมากมายให้เจ้าเลือก และพวกเขาก็ยังไม่ได้แต่งงานกับผู้ใด ซูตี๋หย่า ฟังคำพี่ กลับไปกับพี่เถอะ”
ซูตี๋หย่าได้สติขึ้นมา “ดี ข้าก็คิดอยู่ว่าเหตุใดมาถึงท่านก็โมโหใส่ข้า ท่านไปฟังผู้หญิงต้าจิ้นนั่นพูดอะไรมาใช่หรือไม่!?
ชางฉีไม่ต้องการข้า เขาไม่ต้องการข้าแล้วต้องการใครกัน ทั้งชีวิตนี้เขาจะใช้ชีวิตอยู่กับผู้หญิงต้าจิ้นนั่นเพียงคนเดียวอย่างนั้นหรือ!
ผู้ชาย ผู้ชายก็ล้วนชอบของสวย ๆ งาม ๆ อยากได้อะไรแปลกใหม่! ท่านอย่าลืมสิว่าตอนนั้นเขาอยู่กับพี่หญิงก็ดีกับนางเช่นนี้ แต่พี่หญิงตายไปแล้ว กลายเป็นเถ้าถ่านแล้ว ตอนนี้เขาแทบจะจำอูหลุนจูไม่ได้แล้วด้วยซ้ำ!”
มู่เหรินสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ “ซูตี๋หย่า เจ้ารู้หรือไม่ ทุกครั้งที่เจ้าพูดถึงอูหลุนจูต่อหน้าชางฉี มีแต่จะผลักไสเขาให้ไกลออกไปเรื่อย ๆ”
ซูตี๋หย่าหัวเราะเสียงเย็น “ผู้ชายอย่างพวกท่าน ไม่มีทางจำสิ่งที่ผู้หญิงเสียสละได้อยู่แล้ว”
“ต่อให้ไม่มีองค์หญิงของต้าจิ้นมาแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ เจ้าก็ไม่มีวันได้เป็นเค่อตุน และอาจเป็นผู้หญิงคนใดก็ได้บนทุ่งหญ้านี้ แต่ไม่มีทางเป็นเจ้าซูตี๋หย่า! เพราะเจ้าเป็นน้องสาวของอูหลุนจู! คำพูดเหล่านั้นของเจ้าไม่เพียงชางฉีจะไม่รู้สึกละอายใจและไม่คิดถึงนางเท่านั้น แต่ยังเป็นการย้ำเตือนทุกเวลาทุกลมหายใจ ว่าอูหลุนจูทำอะไรกับเขาไว้บ้าง”
ซูตี๋หย่าร่างกายสั่นเทา “เพราะอะไรถึงไม่สามารถเป็นข้าได้ นอกจากข้ายังมีใครมีคุณสมบัติเพียบพร้อมอีก พี่ชาย ท่านเป็นพี่น้องที่ร่วมเป็นร่วมตายกับเขา พี่หญิงก็ทุ่มเทชีวิตเพื่อเขา มีข้าเป็นภรรยาของเขา ดูแลลูกของเขากับพี่หญิง ไม่ดีหรือเจ้าคะ?”
ที่ถู่เจีย การที่พี่สาวและน้องสาวจะแต่งงานกับนักรบคนเดียวกันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
มู่เหรินจ้องหน้านาง “ถึงเวลาที่ข้าต้องบอกความจริงกับเจ้าแล้ว เจ้าจะได้เลิกฝันกลางวันเสียที
ชางฉีไม่ได้รักเจ้า เขาเคยรักอูหลุนจูหรือไม่ก็ยังไม่แน่ ตอนนั้นพวกเราพี่น้องไม่มีทางไปจึงได้ติดตามชางฉี ได้รับความคุ้มครองจากเขาจึงเอาชีวิตรอดมาได้ หลายครั้งที่ข้าเป็นตัวถ่วงของชางฉีจนทำให้เขาเกือบถูกคนฆ่า”
สถานะครอบครัวของมู่เหรินบนทุ่งหญ้าแห่งนี้ แทบไม่ต่างอะไรจากทาส
ส่วนชางฉีเป็นองค์ชายที่ถูกไล่ออกจากราชสำนัก แม้เขาจะยังมีพี่ชายอยู่ แต่ชางฉีเวลาอยู่กับผู้คนไม่ได้ให้ความรู้สึกห่างเหิน และไม่ทะนงตนถึงแม้เขาจะเป็นองค์ชายเลยแม้แต่น้อย
เขาคนเดียวต้องดูแลน้องสาวถึงสองคน ย่อมไม่สามารถปกป้องใครคนใดคนหนึ่งได้
และอูหลุนจูตอนนั้นมีหน้าที่รับใช้ขุนนางในราชสำนัก ส่วนซูตี๋หย่ายังเด็กจึงมีหญิงชราในเผ่าคอยดูแล
และเป็นอูหลุนจูที่บอกให้เขาติดตามชางฉีให้ดี ดังนั้นเขาจึงติดตามชางฉีมาโดยตลอด
และวันนั้นก่อนที่ศึกใหญ่จะเริ่มต้น อูหลุนจูก็ได้วางยาพวกเขา เขาเองก็ไม่อยากจะเชื่อว่าน้องสาวของตัวเองจะฆ่าพี่น้องแท้ ๆ เพื่อผู้ชายคนหนึ่งได้!
มู่เหรินละเว้นเรื่องที่ซับซ้อนเหล่านั้นเอาไว้ และบอกซูตี๋หย่าไปตรง ๆ ถึงสาเหตุการตายที่แท้จริงของอูหลุนจู
“ไม่! เป็นไปได้อย่างไร พี่หญิงจะเป็นคนขององค์ชายใหญ่ได้อย่างไร!?
ชางฉีรู้ว่านางทรยศเขา เหตุใดถึงไม่ฆ่าอาฉื่อน่าหลู่ ท่านกำลังหลอกข้า ท่านกำลังหลอกข้าใช่หรือไม่!?”
บนทุ่งหญ้า หากสายเลือดเป็นที่น่าสงสัย เช่นนั้นก็ต้องถูกเผาทั้งเป็น!
แต่ชางฉีกลับยังเลี้ยงอาฉื่อน่าหลู่มาจนโตป่านนี้!
มู่เหรินมองหน้าซูตี๋หย่า “ข้าจะเอาเรื่องอูหลุนจูมาหลอกเจ้าทำไมกัน องค์หญิงต้าจิ้นผู้นั้นเป็นอะไรกับข้ากัน เหตุใดข้าต้องโกหกเจ้าด้วย”
ซูตี๋หย่าทรุดลงกับพื้น “ที่แท้หลายปีที่ผ่านมา เขาไม่เคยคิดจะแต่งงานกับข้าเลย”
“หากเขาชอบเจ้า เหตุใดต้องให้เจ้ารอมานานเพียงนี้ด้วย”
ซูตี๋หย่าปิดหูตัวเอง มู่เหรินกอดนางเอาไว้ “ซูตี๋หย่า คืนนี้ข้าจะให้คนพาเจ้ากลับไปที่เผ่า เจ้าจงฟังคำของข้า อย่าอยู่ที่ราชสำนักอีกเลย หากอยู่ที่นี่ต่อไป คนที่จะลำบากก็คือตัวเจ้าเอง”
“แต่ข้าไม่อยากยอมแพ้เช่นนี้ หากไม่ใช่เพราะอูหลุนจูทำผิดต่อชางฉี ข้าต้องได้รับความรักจากชางฉีอย่างแน่นอน ใช่หรือไม่?”
มู่เหรินไม่ได้ตอบ เขาเพียงเอ่ยขึ้นมาประโยคหนึ่งว่า “องค์หญิงต้าจิ้นนางมีท่าทางสง่างาม ทำให้ผู้คนละสายตาไม่ได้ ทั้งชายและหญิงต่างก็เคารพผู้หญิงเช่นนั้น”
“นางก็แค่ยังสาวยังสวยอยู่ก็เท่านั้น!”
มู่เหรินหยิบกระจกขึ้นมา ให้ซูตี๋หย่ามองดูสภาพของตัวเองในตอนนี้ “ใบหน้าของผู้หญิงสามารถทำให้ผู้ชายรักได้เพียงชั่วคราว แต่ไม่สามารถทำให้รักตลอดไปได้ ซูตี๋หย่า หากชางฉีรักใครแล้ว เขาจะใช้ทั้งชีวิตเพื่อปกป้องนาง หากเจ้าอยู่ต่อไปอาจจะตายได้
ไม่ว่าเจ้าจะยินยอมหรือไม่ แต่ข้าตัดสินใจแล้ว ว่าจะไม่ให้เจ้าทำผิดอีก ข้าจะให้เวลาเจ้าเก็บของให้เรียบร้อย และข้าจะให้คนพาเจ้ากลับไป”
.
Comments