เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้ายบทที่ 622 คนหนุนหลังใครใหญ่กว่ากัน

Now you are reading เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย Chapter บทที่ 622 คนหนุนหลังใครใหญ่กว่ากัน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 622 คนหนุนหลังใครใหญ่กว่ากัน

…………….

ตอนเผยอวิ่นเกอเข้าเรียน ก็เป็นเรื่องที่น่ากังวลอย่างยิ่ง

เหตุผลก็เพราะมีเจียงจือหวยคอยตามใจ

เด็กน้อยไม่อยากเรียนก็จะไม่ไปเรียน จี้จือฮวนจึงคัดค้านและไม่ยอมตามใจ

ดังนั้นเผยอวิ่นเกอจึงถูกหิ้วขึ้นรถม้าไปเรียนทั้งที่ยังร้องไห้

วันแรกของการไปเรียน ก็ร้องไห้กลับมา

วันที่สอง เดี๋ยวร้องไห้เดี๋ยวหัวเราะ

วันที่สาม เหมือนค่อย ๆ ปรับตัวได้บ้างแล้ว แต่ก็ยังงอแงอยู่

วันที่สี่…

ตำหนักฉินเจิ้ง

อาฉือมองเสนาบดีกรมคลังกับเสนาบดีกรมพิธีการด้านล่างคุยโวด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง ในใจก็แทบอยากจะถ่มน้ำลายให้ท่วมอีกฝ่ายจนตาย

“เจ้าปล่อยให้ลูกชายทำร้ายคนอื่น! ฝ่าบาท ขอทรงวินิจฉัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”

“ลูกชายเจ้าทุจริตการสอบจอหงวน! ฝ่าบาท! ฝ่าบาทโปรดทรงวินิจฉัยด้วยพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!”

อาฉือฟังจนปวดหัวไปหมด “พูดกันพอหรือยัง?”

เขาตบโต๊ะเสียงดัง “ลูกชายตัวเองยังสั่งสอนไม่ได้ จนต้องมาโวยวายถึงที่นี่!”

ทันใดนั้นทั้งสองคนก็เงียบลง พยายามเข่นฆ่ากันทางสายตาแทน

“ฝ่าบาท! ฝ่าบาทแย่แล้วพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีน้อยวิ่งล้มลุกคลุกคลานเข้ามา อาฉือได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้วแล้วเอ่ยถาม “ค่อย ๆ พูด มีอะไร?”

ขันทีน้อยพูดขึ้นมา “ท่านหญิงตีคนในสำนักศึกษาพ่ะย่ะค่ะ”

เมื่อเสนาบดีทั้งสองคนได้ยินดังนั้น ก็รีบเลียนแบบน้ำเสียงของอาฉือ แล้วพูดขึ้นมาว่า “มันเรื่องอะไรกัน แม้แต่ลูกสาวของตัวเองยังสอนไม่ได้ จนต้องมาโวยวายถึงที่นี่อย่างนั้นหรือ?”

ฝ่ายตรวจการที่ยืนอยู่ด้านข้างถามขึ้นมา “ท่านหญิงตระกูลใดกัน?”

ขอเพียงไม่ใช่ตระกูลเผยก็พอ

ทว่ากลัวอะไรกลับเจออย่างนั้นจริง ๆ เมื่อขันทีพูดขึ้นมาว่า “ท่านหญิงน้อยของเนี่ยเจิ้งอ๋องขอรับ”

ก่อนจะเห็นฝ่าบาทที่นั่งอยู่ตรงนั้นลุกขึ้นยืนทันที “เสี่ยวเกอเอ๋อร์ได้รับบาดเจ็บหรือไม่? คนตาบอดคนใดมาตีนางกัน เหตุใดถึงทะเลาะกัน! จับคนเอาไว้หรือยัง?”

เสนาบดีทั้งสอง “…”

ขันทีจึงพูดต่อว่า “ท่านหญิงไม่เป็นอะไรพ่ะย่ะค่ะ ทว่าคนที่ทะเลาะกับนางเหล่านั้น คนหนึ่งฟันหน้าหัก คนหนึ่งข้อเท้าเคล็ด อีกคนถูกตบไปสองที และอีกคนก็ผมแหว่งไปหนึ่งกระจุกพ่ะย่ะค่ะ”

อาฉือจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก “อ่อ เช่นนั้นพวกเขาทำอะไรผิดกัน?”

เสนาบดีทั้งสอง เดี๋ยวสิ ท่านต้องถามว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่สิ เหตุใดถึงอ้าปากขึ้นมาก็ลำเอียงเช่นนี้เล่า!?

อาฉือลุกขึ้นยืน “อาจารย์ที่สำนักศึกษาเรียกผู้ปกครองหรือยัง?”

ขันทีชะงักไป “เรียกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“เช่นนั้นข้าคงต้องไปทำหน้าที่แล้ว” อาฉือปัดชุดมังกรเล็กน้อย

ก่อนจะเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ตำหนักด้านหลังอย่างมีความสุข ใครมีเวลาว่างมาสนใจเรื่องบ้าบอของลูกคนอื่นกัน ใครไม่เชื่อฟังก็แค่ส่งให้กรมอาญาจัดการ

ส่วนเรื่องเสี่ยวเกอเอ๋อร์ของเขานั้น พี่ใหญ่อย่างเขาต้องไปปรากฏตัวด้วยตัวเอง!

ค่ายทหารชานเมืองฝั่งตะวันตกในเวลานี้

ลูกท้อที่สดกรอบกัดไปคำเดียวน้ำที่ชุ่มฉ่ำก็ทะลักออกมา คนที่กัดถึงกับต้องสูดเข้าปากจนหมด

นางหรี่ตาลงและกำลังจะไปดูว่าทหารชั้นผู้น้อยคนอื่น ๆ ฝึกเป็นอย่างไรบ้าง ก็เห็นผู้ติดตามของตัวเองวิ่งเข้ามาเสียก่อน “ท่านแม่ทัพขอรับ ท่านหญิงน้อยทุบตีคนที่สำนักศึกษา ครอบครัวของอีกฝ่ายไม่ยอม และต้องการให้ผู้ปกครองไปพบขอรับ”

อาอินกินลูกท้อหมดภายในสามคำ ขายาว ๆ เหยียดออกไป พร้อมกับหมุนคอไปมา “ไป ไปดูสิว่าจะเก่งสักเท่าใดกัน”

คนที่ท้าทายนางครั้งก่อน ตอนนี้ยังแขวนอยู่บนกำแพงเมืองอยู่เลย

“แต่ว่าเจิ้นเป่ยอ๋องซื่อจื่อบอกว่า อีกเดี๋ยวจะมาส่งข้าวกลางวันแห่งความรักให้ท่านไม่ใช่หรือขอรับ?”

อาอินใบหน้าแดงเรื่อขึ้นมาทันที ก่อนจะพูดด้วยความหงุดหงิด “กลับมาค่อยกินก็เหมือนกัน น้องสาวข้าต้องสำคัญกว่าอยู่แล้ว เจ้าจะพูดมากทำไมกัน อย่าพูดมาก”

ผู้ติดตาม แต่หน้าท่านแดงจนลามไปถึงคอแล้วนะขอรับ

“เดินเร็ว ๆ หน่อย ข้าจะปล่อยให้คนอื่นตัดหน้าไม่ได้”

ส่วนคนที่จะตัดหน้านางเป็นใครนั้น แน่นอนว่าต้องเป็นพี่ชายและน้องชายของนางอยู่แล้ว

อาฉือกับอาอินมุ่งหน้าไปที่สำนักศึกษาอย่างรวดเร็ว

และเวลานี้อาชิงก็ยืนอยู่หน้าประตูของสำนักศึกษาแล้ว

เหอะ โอกาสเป็นของผู้ที่เตรียมพร้อมเสมอ

เขาสะบัดผมยาวสลวยหนึ่งที ครั้งนี้เขาต้องมาถึงเป็นคนแรกอย่างแน่นอน

ทันทีที่เขาก้าวเข้าประตูไป ก็เห็นคนที่มีผมสีเงินทั้งหัวเดินผ่านข้างกายไป

หืม!?

“ฮั่วจิ่วเซียว เหตุใดถึงเป็นเจ้าอีกแล้วเล่า!”

เด็กหนุ่มผมสีเงินดวงตาสีม่วงหันหน้ามามอง เมื่อเวลาผ่านไปหน้าตาของเขาก็ดูเจ้าเล่ห์มากขึ้นเรื่อย ๆ ต่างจากอาชิงตอนเด็กที่ใครเห็นใครก็รัก

เขาพูดด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง “ไม่ใช่เรื่องของเจ้า”

อาชิงอยากจะวางยาพิษให้เขาตายจริง ๆ

คนหนึ่งหล่อเหลาราวกับดวงตะวัน ทว่าคนหนึ่งกลับหล่อเหลาแบบวายร้าย

เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาสองคนที่มีส่วนสูงพอ ๆ กันปรากฏตัวขึ้นที่สำนักศึกษา พลางทะเลาะกันไปด้วย เพียงพริบตาก็ดึงดูดสายตาจากเหล่านักเรียนหญิงไปจนหมด

“พวกเขาเป็นใครกัน?”

“เหมือนจะไปหาอาจารย์ใหญ่ใช่หรือไม่?”

หอฉุนเหริน

เผยอวิ่นเกอหาวออกมาอย่างน่ารัก เครื่องหน้ากระจุ๋มกระจิ๋มต่อให้จะเปิดปากหาวออกมา ก็ยังคงดูน่ารักไร้เดียงสา

ทำให้หลายคนที่ถูกนางตีกัดฟันกรอด

อาจารย์ใหญ่กำลังจะเอ่ยปากถาม ทว่าหญิงสูงศักดิ์ผู้หนึ่งก็ตบโต๊ะจนเสียงดังลั่น “เลิกพูดได้แล้ว! ข้าไม่ยอมปล่อยผ่านอย่างแน่นอน ดูผมลูกสาวข้าสิ แหว่งเป็นกระจุกเช่นนี้ ข้าต้องการให้นางเด็กคนนี้โกนหัวถึงจะหายแค้น!”

หญิงสูงศักดิ์อีกคนก็อุ้มลูกรักของตัวเองพลางเอ่ยขึ้นมาเช่นกัน “เด็กบ้านป่าเมืองเถื่อนจากที่ใดกัน ตอนนี้สำนักศึกษารับคนประเภทนี้ด้วยอย่างนั้นหรือ!?”

พ่อค้าผู้มั่งคั่งก็สงสารลูกตัวเองอย่างมาก “ต้องให้คำอธิบายกับพวกเรามา และครอบครัวพวกเราไม่ได้ขาดแคลนเงิน!”

อาจารย์ใหญ่จนปัญญา ก่อนมองไปทางเผยอวิ่นเกอ “เจ้ามีอะไรจะพูด เหตุใดถึงตีสหายร่วมชั้นเช่นนี้?”

เผยอวิ่นเกอหันหน้าไป ใบหน้าเล็กเผยสีหน้าเหน็บแนมออกมา “รู้อยู่แก่ใจไม่ใช่หรือ?”

“นางเด็กหน้าตายผู้นี้!”

“ท่านป้า ข้าขอเตือนให้ท่านเก็บคำพูดไปจะดีกว่า อย่าพูดจาวางอำนาจบาตรใหญ่ ถึงเวลาจะตายไม่รู้ตัว ลูกชายท่านใส่สลอดลงในถ้วยชาของสหายร่วมชั้น ทำให้พวกเขาท้องเสียอยู่สามวันและมีไข้สูงไม่ยอมลด ท่านว่าเหตุใดข้าถึงต้องตีเขาด้วยเล่า แต่ข้ายังนึกเสียดายที่ตีเขาเบาไปหน่อย

ส่วนลูกสาวท่านก็อิจฉาคนอื่นที่มีหน้าตางดงาม อาจารย์แค่ชมว่าเด็กคนนั้นดีดพิณได้ดี ก็จงใจเอาน้ำตาเทียนสาดไปที่หลังมือและหน้าของเด็กคนนั้น ที่ข้าดึงเพียงผมนางนั่นก็เพราะข้าลงมือพลาดไปหน่อย!”

เผยอวิ่นเกอควงหมัดเล็ก ๆ ไปมา “หากไม่ใช่เพราะมีคนอยู่เยอะละก็ ข้าต้องทำให้นางหัวล้านให้ได้!

ยังมีเจ้าอีกคนเจ้าอ้วน ร้องไห้อะไรของเจ้ากัน ตัวสูงใหญ่ทว่าดีแต่รังแกสหายร่วมชั้นเรียน!”

ปากเล็ก ๆ ของเผยอวิ่นเกอพูดออกมายืดยาว ไม่ให้โอกาสอีกฝ่ายแม้แต่นิดเดียว เมื่อพูดถึงช่วงที่น่าตื่นเต้นก็ตบโต๊ะไปด้วย ก่อนเอาเท้าเหยียบบนโต๊ะ พลางชี้หน้าพวกเขาแล้วพูดว่า “ข้าจะบอกพวกเจ้าให้ หากขอโทษข้าตอนนี้ ข้าจะยอมให้โอกาสพวกเจ้าสักครั้ง ข้ามีคนหนุนหลังอยู่นะ!” (น้ำเสียงท่านป้า)

อีกฝ่ายฟังแล้วหาได้สนใจไม่ ที่นี่เป็นสำนักศึกษาธรรมดา หากมีคนหนุนหลังจริง จะมาเรียนที่นี่อย่างนั้นหรือ?

“เด็กนี่โกหกจนเคยตัว อาจารย์ใหญ่ ท่านจะปล่อยให้เด็กเช่นนี้มาทำลายชื่อเสียงของสำนักศึกษาไม่ได้เด็ดขาด!”

อาชิงและฮั่วจิ่วเซียวที่ถกเถียงกันมาตลอดทาง เมื่อมาถึงหน้าประตูก็เงียบลงทันที และตั้งใจฟังคำพูดเมื่อครู่จนจบ

อาชิงกับฮั่วจิ่วเซียวสบตากันเล็กน้อย

อาชิง ทำลายตระกูลเลยเถอะ ไม่ต้องเก็บไว้แม้แต่คนเดียว

ฮั่วจิ่วเซียว ข้าเป็นตัวแทนสำนักหลัวซา จะปล่อยให้คนมายั่วยุท่านประมุขเช่นนี้ไม่ได้ ข้าขอเสนอให้ประหารเก้าชั่วโคตร

ทว่าอาอินกลับปรากฏตัวขึ้นทางด้านหลังของคนทั้งสองโดยไม่มีใครรู้ตัว คนมุทะลุอย่างนางทนฟังอีกต่อไปไม่ไหวแล้ว จึงผลักพวกเขาออก ฮั่วจิ่วเซียวที่ถูกผลักก็เซไปทันที ส่วนอาชิงที่ถูกผลักตั้งแต่เด็กจนชินช่วงล่างจึงแข็งแกร่งแล้ว แค่กางขาออกก็เอาอยู่

เวลานี้อาอินก็ได้เข้าไปด้านในแล้ว “ผู้ใดต้องการคำอธิบายจากน้องสาวข้า เห็นว่าครอบครัวเราไม่มีคนหรืออย่างไรกัน?”

.

.

.

…………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด