เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า 267 ข้ามมิติ
ตอนที่ 267 ข้ามมิติ
หลิ่วสืออีไม่นึกเลยว่าหลังคุยกันจบ หนิงอี้กับเผยฝานจะเตรียมออกเดินทางกันจริงๆ
ไม่มีของอะไรให้เก็บมากเท่าไร
หนิงอี้กับเผยฝานมาเมืองหลวง นอกจากต้นครามหมื่นปีนั้นแล้วก็ไม่มีของนอกกายเลย
ตอนอยู่เทือกเขาประจิม สองคนก็ไม่ได้เก็บอะไรไว้ ไม่ว่าจะไปไหนถึงไหน บอกว่าไปก็ไปเลย
ในโลกสองคนของหนิงอี้กับเผยฝาน หลายครั้ง หลายเรื่อง ไม่จำเป็นต้องมีคำพูด มีเพียงคำว่ารู้กันที่พอจะบรรยายได้ อย่างเช่นช่วงนี้จะออกจากเมืองหลวง ต่างก็เป็นเรื่องที่ไม่ต้องบอกก็รู้กัน ส่งหลิ่วสืออีไปชายแดนดินแดนกลางก็แค่ทางผ่านเท่านั้น
ก่อนออกเดินทาง หนิงอี้ได้ฝากจดหมายให้สำนักศึกษาถ้ำกวางขาวกับหอยอดวิสุทธิ์ ถือเป็นการบอกลา นอกจากนี้ก็ไม่มีห่วงอะไรอีก
จัดการเรื่องพวกนี้เสร็จ
เด็กสาวก็นำยันต์สีแดงที่มีรอยยับออกมาจากแขนเสื้อ ส่งให้หนิงอี้
นัยน์ตาหลิ่วสืออีเป็นประกายตกใจเล็กๆ
เขารู้ว่าในสองคนนี้ คนที่ชำนาญวิถียันต์ไม่ใช่หนิงอี้ แต่เป็นแม่นางเผยฝาน ตามหลัก คนที่ใช้ยันต์น่าจะเป็นแม่นางเผยมากกว่า
“ยันต์นี้มีชื่อว่ายันต์ทะลุมิติ ใช้ในเมืองหลวงไม่ได้ มันค่อนข้างเสียงดัง รอออกจากเมืองแล้วข้าจะใช้” หนิงอี้โยนงอบกับชุดขาวใหม่ที่พับไว้อย่างดีออกไป ก่อนพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ถ้าไม่อยากสวมชุดเปื้อนเลือดกลางวันแสกๆ ยังไม่ทันออกจากเมืองก็ถูกคนแดนบูรพาจับตามอง ก็เปลี่ยนชุดนี่เสีย ในชุดมียันต์ซ่อนพลังอยู่ ใช้ปิดพลังบำเพ็ญได้ งอบนี่ก็ไม่ใช่ของหายากอะไร เทียบกับของเฉาหลันไม่ได้ แต่ก็ใช้ปิดหน้ากับปราณกระบี่ได้ ดินแดนกลางกว้างใหญ่ ยามปกติอย่าได้ถอด จะเกิดปัญหาเอาได้”
หนิงอี้ไม่ได้อธิบายกับหลิ่วสืออีว่าเหตุใดครั้งนี้ถึงไม่ขี่ม้า
หลิ่วสืออีสวมงอบ ก่อนจะขมวดคิ้วขึ้น “เจ้าเตรียมตัวไว้ก่อนแล้วรึ”
หนิงอี้ตอบอย่างเฉยเมย “พูดไปไม่รู้เจ้าจะเชื่อหรือไม่ ความจริงข้าเป็นยอดคนดี ชอบช่วยคนที่กำลังลำบากที่สุด”
หลิ่วสืออีเงียบ
ครึ่งก้านธูปต่อมา
สามคนออกจากเมืองหลวง
เครื่องแต่งกายของทั้งสามคนแปลกไปเล็กน้อย หลิ่วสืออีสวมงอบไม้ไผ่ ไผ่น้ำค้างขาวหิมะเป็นแกน คลุมด้วยเส้นใยทานตะวันสีขาวเงินหลายชั้น ดูมีราคาไม่เบา ผนวกกับชุดคลุมขาวเบาหวิว จึงดูเหมือนคุณชายสะโอดสะองตระกูลสูงส่ง ข้างหลังผูกปราณนิรันดร์เล่มนั้นไว้ ปราณนิรันดร์เปลี่ยนไปใช้ผ้าดำเก่าแก่ห่อ แต่ก็ยังประดับปราณเซียนอีกสามส่วน
เด็กสาวสวมชุดคลุมคราม ไม่ได้พิถีพิถันอะไร นางผูกกระบี่ตารางหนา ‘กระบี่ท่องหล้า’ ไว้ข้างหลัง กอดต้นครามไว้ในอก ก้าวเดินฉับไว
ร่มกระดาษมันตรงเอวหนิงอี้มัดด้วยผ้า ด้วยชื่อเสียงของพินิจเหมันต์ นักกระบี่ส่วนใหญ่ในเมืองหลวงจึงชอบห้อยร่มกระดาษไว้ตรงเอว แกนร่มซ่อนกระบี่ ดังนั้นจึงดูไม่เตะตาเท่าไร
สามคนสวมงอบ เดินเหินดูธรรมดา จนมาถึงในป่านอกเมืองหลวง หลิ่วสืออีถึงเข้าใจว่าถ้าใช้ยันต์ทะลุมิติแล้วจะเสียงดังที่หนิงอี้พูดไว้หมายถึงอะไร
สามคนยืนนิ่ง เด็กสาวแปะยันต์สงบเสียงหลายแผ่นไว้รอบๆ
นางพูดอธิบาย “ค่ายกลมารดาบุตรทำให้ออกไปเงียบๆ ได้ เป็นการแลกเปลี่ยนมิติ ห่อหุ้มสองมิติและทำการย้าย แต่ยันต์ทะลุมิติไม่เหมือนกัน มันเป็นการฉีกห้วงมิติ ดันไปข้างหน้า ยันต์นี้ต้องใช้พลังแสงดารามหาศาล ปกติจะใช้กับผู้ฝึกหลอมกาย”
ระหว่างพูดอยู่นั้นหนิงอี้ก็กางสองแขนออก เด็กสาวกอดต้นครามนั้นชิดเข้ากับอกหนิงอี้
แววตาหลิ่วสืออีงุนงงเล็กน้อย
วางยันต์สงบเสียงเรียบร้อย
หนิงอี้ใช้มือบีบยันต์ทะลุมิติ อีกมือวางหลังหัวใจเด็กสาว คุ้มกันเผยฝานไว้
จากนั้นสูดลมหายใจเข้าลึก โคจรที่ราบกระดูก พลันรวมเป็นพายุสายฟ้าขึ้นในมือ
ความเป็นเทพไหลหลากออกไป
หลิ่วสืออีหรี่ตาแคบลง
พริบตาต่อมา เกิดเสียงระเบิดดังกลางป่า ภายใต้ยันต์สงบเสียง เสียงระเบิดแรกที่ดังที่สุดฟังดูเหมือนกับเสียงฟ้าร้อง ต้นไม้แก่เจ็ดแปดต้นที่ล้อมรอบทั้งสามคนพลันลอยขึ้นจากพื้น พุ่งกระจายไปรอบๆ เศษไม้พากันลอยขึ้น ยันต์สงบเสียงถูกฉีกขาด
คลื่นแรงปะทะขยายเป็นวงกว้างในป่า
ตรงหน้าเป็นความมืด แรงปะทะรุนแรงชนกับตัวหลิ่วสืออี เขาไม่เคยเคลื่อนย้ายด้วยวิธีน่าเหลือเชื่อเช่นนี้มาก่อน ค้อนหนักทุบกลางหลัง กระแทกเขาซวนเซกระเด็นออกไป ตอนที่ตกลงอีกครั้ง โลกตรงหน้ามืดมน เปลี่ยนไปอีกสถานที่แล้ว
หลิ่วสืออีหน้าซีดขาว ความรู้สึกแปลกยิ่งเช่นนี้ทำให้เขาไม่สบายตัวเลย
ลืมตาขึ้นอีกครั้งก็เป็นเนินเล็ก ฝุ่นดินหมุนตลบ
ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าเหตุใดยันต์ทะลุมิติถึงมีเพียงผู้ฝึกหลอมกายที่ใช้ได้
มันรุนแรงมาก
แรงปะทะระดับนี้ เกรงว่าคงมีผู้ฝึกหลอมกายที่รับได้สบาย
หนิงอี้ที่บีบยันต์ในมือและรับแรงปะทะส่วนใหญ่ ใบหน้าแค่ซีดขาวขึ้นมาเล็กน้อย ในดวงตาไม่มีความเจ็บปวดแม้แต่นิด
นี่ต้องมีกายจิตแข็งแกร่งระดับใดกัน
เมื่อเห็นเด็กสาวหลบในอ้อมกอดหนิงอี้ หลิ่วสืออีก็มีสีหน้าแปลกประหลาดขึ้นมา
หลิ่วสืออีไม่เข้าใจหน่อยๆ หนิงอี้เพิ่งใช้ยันต์ทะลุมิติ เขาใช้พลังอะไรไปกันแน่ ทันทีที่พลังนั้นปรากฏ หลิ่วสืออีก็จับได้อย่างแม่นยำ ตอนที่เขาสู้ตัดสินที่หุบเขานิรันดร์ก็เคยกดดันให้หนิงอี้ใช้ ‘แสงเทพ’ เขารู้ว่าผู้บำเพ็ญเมื่อฝึกถึงช่วงสุดท้ายจะต้องตกตะกอนความเป็นเทพ ทะลวงคอขวดของคนธรรมดา
แต่เขาไม่กล้าเชื่อเลยว่าในตัวหนิงอี้จะมีความเป็นเทพมากขนาดนี้
ความเป็นเทพปรากฏ ขับเคลื่อนยันต์!
หลิ่วสืออีเพิ่งผ่านแรงปะทะของยันต์ทะลุมิติมา รอบๆ เงียบสงัด ท่ามกลางความเงียบนี้ หลิ่วสืออีรู้สึกแปลกๆ
เหมือนมีปลายแหลมคมจ่ออยู่ข้างหลัง
เด็กสาวพูดหน้านิ่ง “ข้ามไปอีก”
นางนำยันต์แผ่นที่สองออกมาวางในมือหนิงอี้
หลิ่วสืออีเพ่งสายตามอง นี่หมายความว่าอย่างไรกัน
ความเป็นเทพมหาศาลแผ่มาจากฝ่ามือ ไหลมารวมกัน แรงปะทะของยันต์ทะลุมิติแผ่นที่สองมาเยือนอีกครั้ง กระแทกหลังหลิ่วสืออี พาสามคนเคลื่อนย้ายอีกครั้ง
เนินดินเล็กที่ยืนอยู่ถูกระเบิดหายไปครึ่งลูก
ฝุ่นดินกระจาย
จุดปลายทางครั้งนี้ก็ยังเป็นเนินดินเล็ก อีกทั้งมองไกลๆ มีแต่ความรกร้าง
หลิ่วสืออีหน้าซีดขาว เอาสองมือจับหัวเข่า การทะลุมิติครั้งก่อนได้สอนประสบการณ์เขาบ้างแล้ว ตอนฉีกมิติจะต้องรวมพลังกระบี่ไว้ที่หลังหัวใจเพื่อต้านแรงทะลุมิติและพลังบ้าคลั่งจากการใช้ยันต์
พายุทรายก่อตัวขึ้น ความรู้สึกเหมือนมีปลายแหลมคมจ่อหลังยังคงอยู่
เด็กสาวนำยันต์แผ่นที่สามออกมา พูดนิ่งๆ “ไปอีก”
หนิงอี้ขมวดคิ้ว “ยังตามมาอีกรึ เพราะเราหรือเพราะหลิ่วสืออีกัน”
เด็กสาวส่ายหน้า “ไม่แน่ใจ ตั้งแต่ออกจากเมืองหลวงก็เคลื่อนไหวกันแล้ว ครั้งนี้เบื้องหลังแดนบูรพามียอดฝีมือ”
คำพูดของเผยฝานทำให้หลิ่วสืออีเข้าใจว่าความรู้สึกเหมือนมีปลายแหลมคมจ่อหลังมาจากที่ใด
ที่ไม่ขี่ม้าก็เพราะพวกเขาออกจากเมืองมาก็ถูกจับตามองแล้ว
การใช้ยันต์ทะลุมิติกินแรงปณิธานอย่างยิ่ง อีกทั้งผู้บำเพ็ญที่กายจิตไม่แข็งแกร่งไม่อาจรับพลังเช่นนี้ไหว
ยันต์แผ่นที่สามพลันระเบิดออก
สามคนบนเนินดินหายวับไป
เสียงเด็กสาวดังขึ้นในความว่างเปล่า
“ไปอีก”
ทะลุมิติอีกครั้ง
ยันต์ทะลุมิติแผ่นที่สี่
“ไปอีก”
“ไปอีก”
……
ทิ้งไม่เห็นฝุ่นแล้ว
จนใช้ยันต์ทะลุมิติสิบสามแผ่น เสียงเด็กสาวถึงเงียบลง
หลิ่วสืออีเอาสองมือดันพื้น อยากจะอาเจียน แต่กลับอาเจียนไม่ออก
เด็กหนุ่มชุดขาวที่บนงอบเต็มไปด้วยดินทรายหน้าขาวซีด ตั้งแต่ลงเขามา ต่อให้ถูกพญายมขุมนรกที่เจ็ดแทงกระบี่ที่ท้อง เกือบไปยมโลกแค่ไหน เขาก็ไม่เคยอยู่ในสภาพอนาถเช่นนี้มาก่อน
หนิงอี้ปล่อยมือที่คุ้มกันเด็กสาวไว้ ใบหน้าซีดขาวเล็กน้อย ขนาดกายจิตของเขายังต้านไม่ไหวนิดๆ จะเห็นได้ถึงความแกร่งของพลังยันต์ทะลุมิติ แต่เผยฝานกลับหน้าแดงเรื่อ ความจริงต่อให้ไม่มีหนิงอี้ นางใช้ยันต์รุนแรงเช่นนี้คนเดียวก็ไม่บาดเจ็บเลยเหมือนกัน
กระบี่ซ่อนของท่านเผยหมินอยู่ตรงระหว่างคิ้วอย่างสงบ ใช้แค่จิตก็จะมีกระบี่มากมายวนรอบตัว ไม่โดนแรงปะทะเลยแม้แต่น้อย
แต่การทำเช่นนี้จะเพิ่มน้ำหนัก ระยะที่เคลื่อนย้ายออกไปจะลดลงอย่างมาก
สามคนหยุดอยู่หน้าน้ำตกภูเขาแห่งหนึ่ง หลิ่วสืออีนั่งยองอาเจียนข้างลำธารเล็ก ฟ้าดินหมุนไปหมด
หลิ่วสืออีพูดเสียงเบา “ครั้งหน้ากอดข้าไว้ได้หรือไม่”
หนิงอี้มองค้อน “ฝันไปเถอะ ถ้าเจ้างามเหมือนแม่นางสวีในห้องบูรพา ก็ยังพอไหว”
หลิ่วสืออีชี้หนิงอี้ อ้าปากพูดเจ้าๆๆ อยู่นาน สุดท้ายก็พูดไม่ออก
หนิงอี้หันไปมอง มาไกลราวร้อยลี้แล้ว ความเร็วระดับนี้เทพเซียนยังตามทันได้ยาก เพียงแต่ยันต์ทะลุมิติมีความรุนแรงสูง แค่ขยับตัวเล็กน้อยกระดูกก็ดังกรอบ รู้สึกเจ็บนิดๆ
เขาพ่นลมหายใจ ไม่ได้ผ่อนคลายลงเลย ก่อนจะถาม “หนีพ้นแล้วรึ”
เผยฝานพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ยังไม่แน่ใจ น่าจะพ้นแล้ว”
หนิงอี้ขมวดคิ้ว “หาพวกเราเจอได้อย่างไรกัน”
เผยฝานครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ “อาจจะเป็นวิชาสะกดรอยพิเศษบางอย่าง ข้าก็ไม่แน่ใจ สามลัทธิเก้าสายมีคนมากมาย หากเป็นยอดฝีมือยันต์จริงๆ และรู้ในด้านที่ข้าไม่เข้าใจก็คงได้แต่ค่อยๆ ตรวจสอบไป ตามหลักแล้ว พวกเราสามคน ก่อนเดินทางได้เปลี่ยนชุดใหม่ ทั้งยังใช้ยันต์ซ่อนพลัง ต่อให้มียอดฝีมือก็คงไม่ตามมาเร็วขนาดนี้”
หนิงอี้คลึงระหว่างคิ้ว ไม่เข้าใจเลยว่าอีกฝ่ายรู้ตัวได้อย่างไร
เด็กสาวพูดอย่างจนปัญญา “ก็คงต้องดูกันไปเรื่อยๆ”
……
นอกเมืองหลวง
ฝุ่นดินหมุนตลบ ร่างหนึ่งถูกพลังมหาศาลที่หุ้มยันต์ทะลุมิติกระแทกออกมา
เพียงแต่ไม่ได้อยู่ในสภาพน่าเวทนาเลย
ร่างเงานี้ เห็นแค่เค้าโครงกลางฝุ่นดินก็รู้ว่ากายและจิตเขาแข็งแกร่งยิ่ง
“คุณชายกุ่ย เหตุใดถึงตามไม่ทัน”
บุรุษร่างใหญ่เหมือนหอคอยมีเด็กน้อยผอมแห้งนั่งบนบ่า ตอนนี้เขาขมวดคิ้วมองเด็กน้อยตรงบ่า เสียงแหบ ดวงตางุนงง
เด็กน้อยมีแววตาเฉยเมย ไม่ตอบ แต่ก้มหน้ามองหล่อแกที่ฝังอยู่ในฝ่ามือตน
วิชาของเขาสัมผัสได้แค่ในระยะร้อยลี้ ตอนนี้เข็มหล่อแกหมุนติ้ว หาเป้าหมายไม่พบแล้ว
อีกฝ่ายหลุดจากระยะร้อยลี้แล้ว
เขาพูดเบาๆ “เป็นยันต์ทะลุมิติเหมือนกัน เจ้ากับข้าสองคนก็ไม่น่าจะถูกทิ้งห่างไปได้ ต่อให้ล่าช้าไปบ้างก็ไม่น่าจะถูกทิ้งห่างไปร้อยลี้…แปลกจริงๆ”
“ที่นี่ไม่อยู่ในเขตคุ้มกันของเมืองหลวงแล้ว หากหาคนแซ่หนิงพบ ข้าชกหมัดเดียวก็ระเบิดมันเป็นเศษได้” บุรุษร่างใหญ่ดุจหอคอยพูดเสียงต่ำ “ถ้าไม่อย่างนั้นเชิญคุณชายสถิตวิญญาณดีหรือไม่”
เด็กน้อยเอามือตบหน้าผากชายร่างกำยำจนเขาซวนเซ ตอนที่ยกมือขึ้นอีกครั้งฝ่ามือยุบลงไป ก่อนจะฟื้นสภาพกลับมาช้าๆ
ชายร่างกำยำพูดอย่างคับอกคับใจ “ทำหลุดมือไปแล้ว กลับหลอดแก้วต้องถูกลงโทษอีกแล้ว”
“ยังหรอก” คุณชายกุ่ยพูดอย่างเฉยเมย “มีตรานั่นอยู่ พวกเขาหนีไปสุดหล้าฟ้าเขียวก็หาพบอยู่ดี คุณชายให้เวลาพวกเราเยอะมาก เราค่อยๆ กันก็ได้”
เข็มหล่อแกในฝ่ามือหมุนติ้ว เดี๋ยวใช้ได้เดี๋ยวใช้ไม่ได้ ชี้ไปในทิศทางที่ไม่แน่นอน
…………………………
Comments