เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า 279 สังหารคนเหมือนสวีจั้งวัยหนุ่ม
ตอนที่ 279 สังหารคนเหมือนสวีจั้งวัยหนุ่ม
“นางปรนนิบัติเจ้า แล้วใครจะอุ่นเตียงให้ข้าล่ะ”
กลางฝุ่นควันมีเค้าโครงสูงใหญ่ดันออกมาช้าๆ
เด็กหนุ่มชุดดำบนหลังม้า มือข้างหนึ่งกดร่มกระดาษมันตรงเอว ม้าดำแผงคอแดงยืนนิ่งกลางฝุ่นตลบ มีสง่าราศีเค้าโครงชัดเจน
หลังยืนนิ่ง พายุทรายพลันหายไป
บุรุษผอมที่นั่งบนเก้าอี้นวมถึงกับลุกขึ้นช้าๆ ขนปุยสีขาวของเสื้อคลุมตรงหัวไหล่เปื้อนฝุ่นเล็กน้อย
นี่เป็นใครกัน
หลังจากเห็นอีกฝ่ายเป็นเพียงเด็กหนุ่มคนหนึ่งแล้ว
เจ้าหุบเขาห้าสาย ‘เถี่ยจิ่ว’ ก็บีบด้ามพัดในมือเบาๆ สีหน้าเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างไม่แน่นอน
ทางเข้าหุบเขานี้เป็นชัยภูมิดีเยี่ยม ผู้แย่งชิงแห่กันมา ใช้กลอุบายต่างๆ แย่งชิงกันมาตลอดหลายปี
เขาฝึกวิชาหลอมกาย ใช้ชีวิตผันผวนมาสิบกว่าปี ผ่านอุปสรรคมามากมาย จนในที่สุดตอนนี้ก็ทำลายปราการที่ยากจะข้ามผ่านไปได้ เจ้าหุบเขาห้าสายในอดีตตอนนี้คุกเข่าอยู่ใต้บัญชาเขา เป็นมือซ้ายและขวา
ผู้ฝึกหลอมกายขอบเขตหลังคนหนึ่ง หากอยู่ในดินแดนกลางอาจจะไม่เท่าไร ดินแดนกลางมีสี่สำนักศึกษา มีเขาลั่วเจีย มียอดฝีมือรวมกันมากมายในเมืองหลวง โยนขอบเขตหลังเข้าไปก็ไม่เกิดคลื่นแปรปรวนใดๆ เลย
แต่ที่นี่คือนอกเมืองอาทิตย์อุทัย
นี่เป็นวันแรกที่เขาเป็นงูเจ้าถิ่น จะดวงซวยถึงขนาดเจอมังกรข้ามแม่น้ำเชียวหรือ?
มองเด็กหนุ่มตรงหน้า ไม่เห็นร่องรอยพลังแสงดาราแม้แต่นิด
หากอีกฝ่ายไม่ใช่คนที่ไม่เคยฝึกบำเพ็ญ ก็คงมีพลังบำเพ็ญสูงมาก อาจจะมีวิชาซ่อนพลังที่แข็งแกร่งมากอยู่
เมื่อคิดได้ดังนั้น เถี่ยจิ่วก็เอาสองมือยันหลังเก้าอี้ ลุกขึ้นช้าๆ
เห็นได้ชัดว่าไม่มีทางเป็นอย่างหลังไปได้
นี่เพิ่งจะอายุเท่าไรเอง จะแกร่งกว่าพลังบำเพ็ญหลอมกายขอบเขตหลังของตนรึ หรือจะเป็นพวกสัตว์ประหลาดสิบอันดับแรกในรายนามดารากัน?
เถี่ยจิ่วปัดฝุ่นบนตัวออกด้วยใบหน้าไร้คลื่นอารมณ์
เขามองเด็กหนุ่มผู้ขี่ม้าดำ หลังพายุทรายสงบลง ตำแหน่งของหนิงอี้ดีมากจริงๆ ต่อให้เขายืนขึ้นก็ได้แต่แหงนหน้ามอง
แต่เรื่องนี้ก็ไม่ได้หยุดเขาให้มองลงมาจากเบื้องบนและออกคำสั่งได้
ครั้งนี้เถี่ยจิ่วไม่ชี้เผยฝานอีก แต่ชี้เหยียนซิ่วชุนที่สวมผ้าคลุม
“นางเองก็ใช้ได้ นางก็ต้องอยู่เช่นกัน”
บุรุษผอมกวาดสายตามองรอบหนึ่ง สองแขนเสื้อขยับขึ้นลง สะบัดไปมาไม่แน่นอน เหมือนกับในนั้นมีกระดูกมังกรกลิ้งไปมาอยู่ พลังสั่งสมอยู่นานแล้ว รอแค่ปล่อยออกไป
เขาไม่กดจิตสังหารไว้อีก
ก่อนจะพูดเสียงแหบแห้ง “นอกจากสองคนนี้ คนอื่น…ฆ่าให้หมด”
เมื่อสิ้นเสียง
ชายร่างใหญ่ที่จับศีรษะหงเฉินพลันบีบมือ เลือดกระจายในฝ่ามือ ตัวพุ่งไปอย่างรวดเร็ว ยกแขนขึ้นกวาด ทั้งรถม้ากลุ่มทหารรับจ้างถูกฟาดกระเด็นออกไป
คนสูงเตี้ยอ้วนผอมข้างกายบุรุษผอมพลันหายวับไป
สายลมกระจาย
หลิ่วสืออีนั่งบนม้าผอมด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก มองเสียงดาบกระบี่ระเบิดข้างหูตน
เผยฝานหลับตาลง
ม้าใต้สะโพกเหยียนซิ่วชุนตกใจตื่น กระทืบสี่ข้า โคลงเคลงไปมาอย่างบ้าคลั่ง นางกอดกล่องเหล็กไว้ ร้องเสียงเล็กตกใจ ขดตัว ก่อนจะมีแสงเย็นเยียบเฉียดผ่านแก้มนางไป
เส้นผมของนางถูกฟันขาด
พริบตาต่อมา คนนั้นที่ถือดาบยังไม่ทันฟันดาบที่สอง ยังคงไว้ซึ่งใบหน้าเหี้ยมโหด ทั้งตัวกลับถูกฟันขาดเป็นสองส่วน แสงกระบี่สีขาวพุ่งออกจากหลังหัวใจ ส่องแสงสว่างแยกออกจากล่างขึ้นบน
หนิงอี้เคลื่อนไหวแล้ว
เขาไม่ได้ใช้แสงดาราเลย
เด็กหนุ่มเอามือกดพินิจเหมันต์ มองไปรอบๆ อย่างรวดเร็ว ก่อนแววตาจะเย็นชาลงทันที
เขาเห็นคนที่ลงมือสังหารทุกคน
จากนั้นพริบตาต่อมา หนิงอี้ก็หายวับไปจากบนหลังม้า พุ่งออกไปเหมือนกระสุน ลากเป็นสะเก็ดไฟและฝุ่นควัน ก้าวไปอย่างรวดเร็ว ก้มตัวลงต้านเสียงสายลม ข้ามผ่านเงานับไม่ถ้วน รวดเร็วยิ่ง ไม่มีใครเห็นชัดว่าเขาชักกระบี่อย่างไร หนึ่งลมหายใจต่อมา แสงกระบี่สีขาวนั้นก็เชื่อมกันเป็นจันทร์เสี้ยวอยู่ภายในทั้งหุบเขา
เสียงตะโกนเงียบลง
เสียงใสดังกึกก้องขึ้น
เป็นเสียง ‘ชิ้ง’ เก็บกระบี่!
เสียงเก็บกระบี่นี้เหมือนสัญญาณ และเหมือนลางบอกเหตุของหินตกกระทบฟ้าบางอย่าง
กลุ่มโจรที่พุ่งออกมาพลันตัวแข็งทื่อ แต่ยังคงมีแรงเฉื่อยตามเดิม คนส่วนที่ถูกปราณกระบี่ฟันยังคงเดินหน้าต่อ เพียงแต่ระหว่างที่ไถลเข้ามานั้นร่างก็ฉีกออกจากกัน
พลังบำเพ็ญของคนพวกนี้ บางคนก้าวสู่ขอบเขตกลาง อย่างเช่นชายร่างใหญ่ที่ใช้หมัดและฝ่ามือทุบตีหงเฉิน แต่ก็มีขอบเขตแรกมากกว่า ซึ่งก็รังแกคนที่ไม่เคยฝึกบำเพ็ญได้สบาย
แต่ภายใต้กระบี่ของหนิงอี้ พวกเขาไม่ต่างกันเลย
ตัดได้ง่ายเหมือนใบไม้
ออกกระบี่ ฟันขาด
ไม่มีชะงักหรือติดขัดแม้แต่น้อย
ตอนที่หนิงอี้หยุดฝีก้าวนั้น สายลมได้พัดอาภรณ์ขึ้น เขามาอยู่ในระยะสามฉื่อตรงหน้าเจ้าหุบเขาห้าสายแล้ว
ทั้งสองคนจ้องหน้ากัน
เขาไม่เดินเข้าไปอีก
หญิงรับใช้สองคนข้างบุรุษผอมหน้าซีดขาว ต่างชูพัดลักษณะกลมใหญ่ขึ้น ด้ามพัดเล็กยาว พวกนางยืนเหม่ออยู่อย่างนั้น ไม่รู้เลยว่าเด็กหนุ่มชุดดำมาถึงตรงหน้าในเวลาอันสั้นเช่นนี้ได้อย่างไร
ส่วนเถี่ยจิ่วมีสีหน้างุนงง
เขายื่นมือออกไปลูบระหว่างคิ้วตัวเอง ตรงนั้นคันนิดๆ
ลูบเบาๆ ก็เป็นความเจ็บปวดอย่างรุนแรง
ตามมาด้วยเสียงดังผุ ตรงกลางระหว่างคิ้วเกิดเป็นรอยเล็กๆ เลือดพุ่งออกมาจากรูเล็กยิ่งนั้นเหมือนกับน้ำตกที่กั้นไว้ไม่อยู่
ออกมาไม่ขาดสาย
นี่คือผลของการแทงปลายกระบี่พินิจเหมันต์เบาๆ
นี่คือคนสุดท้ายก่อนเก็บกระบี่
เหมือนกับกระบี่ที่สวีจั้งสังหารเจ้าภูเขาอนันต์เล็ก
อานุภาพหนึ่งส่วน แต่มีความงดงามเจ็ดแปดส่วน
เมื่อครู่หนิงอี้ออกกระบี่ฆ่าคนอย่างราบรื่น แต่กลับไม่ได้ใช้แสงดาราเลย
เขาจำทุกกระบี่ของสวีจั้งตอนที่ขึ้นเขาอนันต์เล็กได้
บุรุษคนนั้นออกกระบี่ช้ามาก ก็เพื่อให้ตนจำไว้ ให้ตนเรียนรู้
ดังนั้นการออกกระบี่ของหนิงอี้เมื่อครู่จึงลอกแบบตามสวีจั้งทุกอย่าง
เร็วมาก
คมมาก
ใช้งานได้จริง
นี่คือหลักการที่สุดยอดที่สุดและง่ายที่สุดของวิถีกระบี่
ฆ่าคน
สายลมที่นี่พัดชุดดำของหนิงอี้ปลิวไสว
เขาเก็บกระบี่ยืนตรง ร่มกระดาษมันอยู่ตรงเอว สงบนิ่งเหมือนก่อน ไม่เห็นความดุดันที่เคยออกจากฝักไปฆ่าคนเลย
พริบตาที่ฆ่าคน เขาเหมือนกับสวีจั้งในตอนนั้นมาก
หลังเก็บกระบี่
เขาก็คือหนิงอี้ และเป็นเพียงหนิงอี้
……
หนิงอี้ขมวดคิ้ว ก้มหน้ามองฝ่ามือของตน ตอนที่ฆ่าคนเมื่อครู่ ตัวเขาไม่เปื้อนเลือดเลย กระบี่ก็เย็น
ทว่าฝ่ามือที่ถือกระบี่กลับอุ่น
จิตใจของเขาไม่สงบนิ่งเอามาก
ตอนนี้ทำให้เขานึกถึงการฆ่าคนครั้งแรก ฆ่าโจรม้าที่เมืองสันติ เขาในตอนนั้นตามหลังสวีจั้ง ทุกครั้งที่ออกกระบี่จะพยายามอย่างมาก ต้องใช้กำลังมหาศาลถึงจะฆ่าอีกฝ่ายได้
ตอนนี้เขามีกำลังแข็งแกร่งมากพอแล้ว
แข็งแกร่งจนเผชิญหน้ากับศัตรูตรงหน้า หนิงอี้ไม่ต้องใช้กำลังทั้งหมดอีก
ทุกครั้งที่ออกกระบี่ก็จะลบชีวิตหนึ่งไปได้
ก้าวหน้ามาถึงระดับอย่างตอนนี้
ในที่สุดในใจหนิงอี้ก็มีคำถามหนึ่งวนเวียนอยู่…
ตอนนั้นสวีจั้งบอกเขาว่ายอมฆ่าผิดคน ดีกว่าปล่อยไป
หลักการนี้ ถูกหรือผิด?
ยอมฆ่าผิดคนดีกว่าปล่อยไป เพราะหากปล่อยไปแล้ว คนที่ถูกตนปล่อยไปจะไม่ซาบซึ้งใจ แต่จะแค้นตนยิ่งกว่าเดิม ดังนั้นจึงต้องฝึกบำเพ็ญอย่างหนัก สักวันตนก็ต้องใช้กำลังมากกว่าเดิมในการฆ่าอีกฝ่ายครั้งที่สอง…นี่เป็นสิ่งที่สวีจั้งบอกหนิงอี้
ตอนนั้นหนิงอี้จดจำเอาไว้
เขาต้องพยายามอย่างหนักถึงจะรับรองได้ว่า ตนจะฆ่าศัตรูทุกคนในการฆ่าทุกครั้งนอกเมืองสันติได้
ต่อมา เขาจึงจำพูดของสวีจั้งมาตลอด
ทุกครั้งที่เขาออกกระบี่ก็จะออกอย่างเต็มที่ กอดความยึดมั่นว่าจะต้องสังหารอีกฝ่ายให้ได้เอาไว้
แต่จนถึงตอนนี้ คำพูดนี้ยังใช้ได้อยู่หรือไม่
หนิงอี้มอง ‘ผู้บริสุทธิ์’ สองคนตรงหน้าเขา
……
เสียงของตกดัง ‘ปึก’
เป็นเสียงพัดตกพื้น
บุรุษผอมที่ระหว่างคิ้วปล่อยน้ำตกสีแดงออกมา พัดในมือเขาตกลงพื้น
เถี่ยจิ่วคุกเข่ากับพื้นช้าๆ ไร้พลังชีวิตใดๆ
นี่เป็นเพียงพัด
มีทั้งหมดสามอัน
ยังมีอีกสองอัน
หญิงรับใช้ถือพัดสองคนนั้น ไม่มีสิ่งใดในมือแล้ว พวกนางคุกเข่ากับพื้น ริมฝีปากเป็นสีดำ มองหนิงอี้ด้วยแววตาว่างเปล่า เหลือเพียงความสิ้นหวังไม่มีที่สิ้นสุด
ภายใต้ความสิ้นหวังเช่นนี้ พวกนางพูดไม่ออกสักคำ
ตอนนี้พวกนางยังมีชีวิต…แต่ก็ไม่ต่างอะไรกับตายแล้ว
หนิงอี้ที่เก็บกระบี่ยืนตรงพลิกตัวขึ้นม้าอีกครั้ง ก้มหน้ามองหญิงรับใช้สองคนก่อนพูดอย่างเฉยชา “หากพวกเจ้าปิดปากเงียบ ไม่แพร่งพรายเรื่องในวันนี้ออกไป พวกเจ้าก็จะเป็นคนใหม่ได้”
คำพูดนี้ทำให้หญิงรับใช้สองคนอึ้งงัน
ไม่ใช่แค่หญิงรับใช้สองคน
เผยฝานที่หลับตาอยู่ยังลืมตาขึ้น
นางมองหนิงอี้ที่ควบม้าเข้ามาช้าๆ ส่วนลึกในแววตามีความซับซ้อนเล็กน้อย
ทุกคนที่นี่ นอกจากนางแล้วไม่มีใครรู้ว่าตอนที่หนิงอี้เพิ่งก้าวสู่เส้นทางบำเพ็ญเขาผ่านอะไรมาบ้าง
การสอนฆ่าคนของสวีจั้งเหมือนตะปูตอกลงในความคิดเขา
การได้รับคำชี้แนะจากสวีจั้งเป็นเรื่องดีเท่าฟ้า ด้วยชื่อเสียง ตำแหน่งและศักยภาพของสวีจั้ง เขาจะต้องชี้แนะด้วยวิชากระบี่ที่แข็งแกร่งไร้พ่ายที่สุดในต้าสุยเป็นแน่
ความจริงก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ
ในการต่อสู้เป็นตาย
สวีจั้งบอกหนิงอี้ว่าเวลาฆ่าคน อย่าได้ปล่อยให้ใครรอดไปได้
นี่ก็คือเส้นทางของสวีจั้ง
หากตอนนี้ เปลี่ยนหนิงอี้เป็นสวีจั้ง คนพวกนั้นก็คงไม่มีใครรอด หญิงรับใช้โบกพัดสองคนนั้น…ก็ไม่เว้น
เหยียนซิ่วชุนที่กอดกล่องเหล็กและหลุดออกมาจากความกลัวได้ เอามือข้างหนึ่งกดหน้าอก หอบหายใจแรง
นางควบม้าตามหนิงอี้ไป นัยน์ตาเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ
ตอนนี้เหยียนซิ่วชุนเชื่อจริงๆ แล้วว่าคนคนนี้ คือคุณชายหนิงแห่งเมืองหลวงที่ตนเดาเอาไว้ ศิษย์น้องของตัวอ่อนสังหารสวีจั้งแห่งเขาสู่ซาน…แต่เหตุใดคุณชายหนิงถึงมีความเมตตาที่ไม่ควรจะมีเช่นนี้ได้?
ไม่เหมือนกับที่ข้างนอกเล่าลือกันเลย
หลิ่วสืออีนั่งบนม้าแดงแคระ ตอนที่ผ่านไปยังก้มหน้ามองหญิงรับใช้ที่คุกเข่าน้ำตานองหน้าสองคนนั้น ก่อนจะส่งกระแสจิตเงียบๆ “ให้ข้าออกกระบี่ให้หรือไม่”
เด็กสาวส่ายหน้า
นางพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าเคารพการตัดสินใจของเขา”
………………………….
Comments