เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า 295-2 ทรายกระจายร้อยสาย เถ้าถ่านร้อยกอง (2)

Now you are reading เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า Chapter 295-2 ทรายกระจายร้อยสาย เถ้าถ่านร้อยกอง (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 295 ทรายกระจายร้อยสาย เถ้าถ่านร้อยกอง (2)

หนิงอี้พูด “แม่นางเหยียน ยังเหลืออีกขั้นตอนสุดท้ายในการแก้ค่ายกล”

อาชุนพูดอย่างเฉยเมย “คุณชายหนิง ข้าไล่นักกระบี่เผ่ามนุษย์ที่ไล่ล่าเจ้ามาให้ ตอนนี้สงบแล้ว ในที่สุดก็ถึงเวลาที่เจ้าจะลงมือฆ่าปีศาจปราบมารแล้วรึ”

หนิงอี้ส่ายหน้า

เขาพูดเสียงเบา “ราชันปีศาจเจียหลัว เมื่อสองพันสามร้อยสิบสองปีก่อนถูกขังอยู่ใต้ดินประตูหยกต้าสุย”

ตอนที่เขาพูดประโยคนี้ น้ำเสียงเรียบนิ่งมาก

เขาพูดปีได้อย่างแม่นยำ

สองพันสามร้อยสิบสองปีก่อน

หลิ่วสืออีที่ยืนข้างหนิงอี้แค่นึกถึงตัวเลขนี้ก็รู้สึกยาวนานมาก ใจเกิดปลงอนิจจังขึ้นมา อายุขัยของปีศาจยืนยาวอย่างไม่ยุติธรรมเลย ใต้ฟ้าต้าสุยเปลี่ยนสภาพไปแล้ว…แต่เหตุใดหนิงอี้ถึงรู้จักจิ้งจอกสวรรค์ที่ประตูหยกดีขนาดนี้

เขาพลันเข้าใจนิดๆ จึงเม้มริมฝีปาก มองหนิงอี้

“ตอนนั้น ราชาหัวใจราชสีห์แดนอุดรเอาชนะสงครามอันยาวนานที่ใต้ฟ้าเผ่าปีศาจบุกโจมตี” หนิงอี้เอ่ยนิ่งๆ “ในการต่อสู้บนที่ราบสูงเทพสวรรค์ สองใต้ฟ้าเสียหายอย่างหนัก ราชันปีศาจที่เป็นฝ่ายแพ้สงคราม เจียหลัวถูกราชาหัวใจราชสีห์ขังไว้ในด่านประตูหยก เพื่อชดใช้บาปกรรมที่ทำไว้ในตอนนั้น

ที่ถลกหนังจิ้งจอกสวรรค์ของเจียหลัวก็เพราะเขาเคยถลกหนังผ่าท้องผู้บำเพ็ญดาราชะตาเผ่ามนุษย์สองคน แขวนไว้บนธงสงครามที่ราบสูงเทพสวรรค์ สุดท้ายก็ตัดหัวต่อหน้าทุกคน”

อาชุนหรี่ตาลง ไม่พูดอะไร

“ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” หนิงอี้พูด “ข้าว่าแม่นางเหยียนจะต้องเห็นสภาพน่าเวทนาของเจียหลัวแล้วแน่ๆ แต่กลับไม่รู้สาเหตุ…ปุถุชนต่างบอกว่าราชาหัวใจราชสีห์คือราชาคลั่งที่เหี้ยมโหดที่สุดในประวัติศาสตร์ต้าสุย แต่เขาสู้กับเผ่าปีศาจก็เพื่อปกป้องบ้านข้างหลัง หากต้าสุยแพ้สงคราม สถานการณ์เช่นนี้ ย่อมเกิดขึ้นที่ก้นทะเลพลิกผันอีกครั้งแน่นอน”

อาชุนพูดนิ่งๆ “เรื่องเมื่อสองพันปีก่อนแล้ว คุณชายหนิงบอกข้าเพื่ออะไรกัน”

“ต้าสุยขังยอดปีศาจไว้ใต้ดินด่านดินแดนไม่ใช่แค่เพื่อเสริมดวงชะตา เรื่องการขังปีศาจนี้ ความจริงเป็นกลยุทธ์ตอนที่ราชาหัวใจราชสีห์แดนอุดรกลับเมืองหลวงไปขึ้นบัลลังก์ ราชาหัวใจราชสีห์ท่านนั้นสู้ในแดนอุดรมาหลายปี เห็นความตายของสหายกับตามามากมาย ดังนั้นยอดปีศาจที่ถูกจับเป็นเชลยพวกนั้น ทำกรรมใดไว้ ตอนที่ลงใต้ดินก็ต้องรับกรรมเช่นนั้น นี่คือสิ่งแรกที่ราชาหัวใจราชสีห์ทำหลังจากได้คุมกฎเหล็ก”

ตอนที่หนิงอี้พูดนั้น สายน้ำในบ่อเทพเขาไหลหลาก ไม่นิ่งอีกต่อไป

ผลึกราชาหัวใจราชสีห์ที่ไม่ได้เคลื่อนไหวมานานนั้น ละลายไปส่วนหนึ่งช้าๆ ในบ่อเทพ

สำหรับราชันปีศาจเจียหลัว ผลึกความเป็นเทพก้อนนี้ค่อนข้างน่าสนใจ

ความทรงจำของราชาหัวใจราชสีห์คละปนในผลึกความเป็นเทพที่หลอมละลาย ไหลเวียนในความคิดหนิงอี้

เขายืนอยู่กลางพายุทราย ในความคิดเป็นบุรุษผู้หนึ่งที่อาบเลือดทั้งตัว ขึ้นไปบนกำแพงเมือง ปักธงใหญ่ในมือลงหัวเมือง มองทิวทัศน์ใต้ฟ้าไกลๆ

ในความทรงจำของราชาหัวใจราชสีห์มีความรู้สึกค่อนข้างรุนแรงปะปนอยู่

ความโกรธ ความเจ็บปวด มีทุกอย่าง…

หนิงอี้พูดเนิบนาบด้วยสีหน้าซับซ้อน “ยอดปีศาจพวกนี้ หากกำราบไว้ก็ไม่คิดจะปล่อยออกมาอีก ดังนั้นในเวลาต่อมา แรงอาฆาตจึงพุ่งขึ้นฟ้าจากในด่านต้าสุย ไอปีศาจยากจะสงบลง สุดท้ายราชาหัวใจราชสีห์จึงตัดสินใจอย่างหนึ่ง”

อาชุนขมวดคิ้ว

“ตอนเสริมพลังค่ายกล เจ้ากรมปราบปีศาจใหญ่จะใช้ยันต์และค่ายกลลงไปในเลือดยอดปีศาจที่ใช้เสริมพลังค่ายกล ให้ยอดปีศาจที่ถูกจองจำค่อยๆ ลืมอดีตของตัวเอง”

“นี่คือกลอุบายที่สำนักสัตว์แดนทักษิณเสนอมา…สำหรับยอดปีศาจพวกนั้นแล้ว ลืมอดีตของตัวเองก็ย่อมลืมความเกลียดชัง ลืมความแค้น”

หนิงอี้พูดถึงตรงนี้ก็ปลงอนิจจังเล็กน้อย “แม่นางอาชุน ดูจากการบำเพ็ญและตบะของเจ้าแล้ว ในช่วงที่อยู่กับเจียหลัว แรงอาฆาตที่ประตูหยกคงจะไม่ผุดออกมาแล้ว ที่นี่ค่อนข้างวุ่นวายเมื่อสองพันปีก่อน ผู้บำเพ็ญที่ผ่านทางมาจะถูกความแค้นมอมเมาและสู้กันเองเป็นประจำ กลยุทธ์ของราชาหัวใจราชสีห์ในตอนนั้นได้สร้างความบอบช้ำกับประชาชนของตัวเอง เรื่องสงครามนั้น…ความผิดในอดีตก็ไม่อาจชดใช้ได้หมด จ่ายเลือดเป็นการชดใช้มากแค่ไหน ก็ไม่สู้ลืมและอภัยให้กัน”

มาถึงตรงนี้ อารมณ์ความรู้สึกในผลึกราชาหัวใจราชสีห์ก็ไม่โกรธแค้นอีก แต่ปล่อยวางและสุขุมหลังจากความเจ็บปวดทั้งหมดยุติลง

เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่ความปรารถนาเดิมของราชาแห่งแดนอุดรคนนั้น

เขาอยากให้ยอดปีศาจพวกนี้ต้องเจ็บปวดทุกยุคสมัย

แต่ว่า…

ราชาหัวใจราชสีห์ราชาคลั่งที่ชาวโลกเล่าลือว่าเหี้ยมโหดคนนั้น สุดท้ายก็เลือกใช้ความเมตตาแก้ไขประวัติศาสตร์ช่วงเวลานี้

……

เผยฝานมองหนิงอี้ นางไม่เคยคิดเลยว่าหนิงอี้จะเข้าใจประวัติศาสตร์ของราชาหัวใจราชสีห์เมื่อสองพันปีก่อนขนาดนี้…เป็นเพราะผลึกความเป็นเทพที่ขโมยมาจากจวนเขาครามหรือ

หนิงอี้นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “หลังจากแรงอาฆาตหายไป ประตูหยกกลายเป็นทะเลทราย เพราะเลือดของเจียหลัวปนเปื้อนจึงไม่มีพืชเติบโตอีก สิ่งมีชีวิตที่ลงรากที่นี่อยู่รอดไม่ได้ จะต้องตายก่อนวัยอันควร เพราะเปราะบางเกินไป รับแรงอาฆาตของเจียหลัวไม่ไหว…จิ้งจอกสวรรค์ที่ถูกขังอยู่ที่นี่ การทรมานที่สุดไม่ใช่ถูกถลกหนัง แต่ต้องทนกับความโดดเดี่ยวและความมืดที่ไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวัน หากเจ้าเป็นพืชเปิดจิตวิญญาณ เช่นนั้นเจ้าก็จะเป็นวิญญาณปีศาจตนแรกที่กำเนิดหลังจากเจียหลัวไม่คลุ้มคลั่งอีก และเป็นแสงสว่างหลุดพ้นหลังจากเขาชดใช้บาปหมดแล้ว”

อาชุนมีสีหน้าสับสนเล็กน้อย

เจียหลัวบอกว่านางต้องรู้จักลืม ลืมความแค้น ลืมความเสียใจ…

เพราะเหตุนี้หรือ?

เจียหลัวบอกนางว่ามหาสมุทรสุดทางเหนือมีดวงดาราและตะวันจันทราหลับใหล เขาบรรยายโลกไว้อย่างสวยงาม…

ก็เพราะเหตุนี้หรือ

สตรีอาภรณ์แดงมองร่างนั้นพลางถามเสียงเบา “เจียหลัว…เป็นเช่นนั้นหรือ”

ไม่มีการตอบกลับ

เสียงนางดังก้องในทะเลทราย

ก่อนจะถูกสายลมพัดหายไป

ร่างทรายผอมแห้งนั้นไม่ปราดเปรียวเหมือนตอนเพิ่งรวมออกมาอีก ตอนนี้เหมือนเสาทรายที่เหม่อลอย ปักอยู่ที่เดิม

เสียงสตรีอาภรณ์แดงมีความลนลานนิดๆ “จะ…เจียหลัว?”

นางยื่นมือไปข้างหนึ่ง ยังไม่ทันสัมผัสใบหน้าร่างผอมแห้งนั้น ทรายส่วนหนึ่งก็หลุดออกดังกึก เพลิงจิ้งจอกในดวงตาลึกนั้นดับลงอย่างรวดเร็ว แสงสว่างเจ็ดดวงออกจากร่าง มุดลงใต้ดิน

หญิงอาภรณ์แดงเม้มริมฝีปาก ใบหน้าไร้สีเลือด

ในที่สุดร่างเจียหลัวที่รวมขึ้นจากดวงจิตตรงหน้านางก็ยื้อไว้ไม่ไหวอีก เริ่มพังลง…ความจริงดวงจิตที่ซ่อนอยู่ส่วนลึกของร่างนี้ ตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้เป็นเพียงดวงที่เล็กมาก เหมือนไส้ตะเกียงในตะเกียงกลางพายุฝน พร้อมจะดับลงทุกเมื่อ และพร้อมจะมอดดับตลอดเวลา

เพราะชื่อเสียงโหดเหี้ยมของเจียหลัวรวมถึงอำนาจคุกคามจากเพลิงจิ้งจอกเจ็ดดวงนั้น…ยอดนักกระบี่ซูชีแห่งตำหนักทะเลสาบกระบี่ถึงตกใจกลัว ยอมตัดนิ้วแลกกับชีวิต

และตอนนี้ ไส้ตะเกียงนั้นดับลงแล้ว

ไฟตะเกียงดวงนั้นขยับวูบไหว

ทรายกระจายร้อยสาย เถ้าถ่านร้อยกอง

หญิงอาภรณ์แดงเหม่อมองภาพเหนือความคาดหมายตรงหน้า

ค่ายกลของกรมปราบปีศาจพังลงแล้ว พื้นทรายยุบลงไป ทรายมากมายใต้เท้าอาชุนไหลลงไป

นางก้มหน้าลงเห็นภาพหลังปลดผนึก

ตรงถ้ำที่ทรายถล่มลงถูกแสงจันทร์ส่องสว่าง

จิ้งจอกสวรรค์ตนนั้นที่มีอายุยืนยาว หลังค่ายกลพังลงก็ไม่ได้ปรากฏกายออกมาตามพายุคลั่ง

แต่เงียบสงัด

จิ้งจอกที่ยิ้มให้ตนนอนอยู่ใต้พื้นทรายอย่างสงบ เก้าหางหุบลง

เงยหน้ามองจันทร์

เม็ดทรายไหลลงไปจากรอบๆ ตกลงไปเหมือนน้ำตก

อาชุนดวงตาแดง จ้องโครงกระดูกโดดเดี่ยวนั้น

สภาพเหมือนกับตอนที่แยกกับตนไม่มีผิด

จิ้งจอกสวรรค์ตัวนั้นไม่อยู่แล้ว

หนิงอี้ เผยฝาน หลิ่วสืออี ทรายใต้เท้าไหลไปเร็วมาก เหมือนแม่น้ำใหญ่ไหลไปใต้ดิน

ดวงจันทร์ใหญ่ไร้เสียง

โดยรอบเงียบสงัด

เสียงตะโกนด้วยความเศร้าดังก้องในทะเลทรายประตูหยก

……………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด