เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า 188 หุบเขาที่หลับใหลนิรันดร์
ตอนที่ 188 หุบเขาที่หลับใหลนิรันดร์
ขั้นบันไดเส้นทางภูเขาที่ตั้งศิลาหิน
น้ำฝนตกลงมา แตกกระเซ็น
เส้นทางนี้เดินยากมาก คนใหญ่คนโตหลายคนแกะสลักศิลาที่นี่ ฝากท่วงทำนอง แผ่จิตวิญญาณผ่านศิลาหิน กดดันผู้มาจากภายนอก ผู้บำเพ็ญที่มีจิตใจไม่แน่วแน่พอจะเดินไปไกลได้ยากมาก
หนิงอี้หุบร่มกระดาษมัน
เสียงลมพัดผ่านใบร่มหลังจากหุบลง ส่งเสียงดังพึ่บพั่บกังวาน น้ำฝนเล็กไหลผ่านกระบี่ร่ม
ต้าสุยตลอดพันปีร้อยปีมานี้ ปรมาจารย์มากมายตอนมีชีวิตก็ฝากหินศิลาไว้ที่นี่
ไม่กางร่มเป็นการเคารพต่อพวกเขา
“หุบเขานิรันดร์มีศิลาหินเยอะมาก”
หนิงอี้พูดพึมพำเสียงเบา
มองไป หมอกตรงหน้าเขากระจายออก แม้ว่าที่นี่จะมีหินศิลาตั้งอยู่มากมาย แต่ก็ไม่ได้วังเวงเหมือนสุสาน จิตวิญญาณใหม่วนเวียนบนศิลาหิน จิตวิญญาณแผ่กระจายออกกลางหมอกฝน กลายเป็นร่างเงาคน
นักกระบี่สวมงอบยืนเอาสองมือปักกระบี่
หญิงอรชรแบกพิณโบราณ
ยอดขุนพลยุคโบราณสวมชุดเกราะหนัก
บุรุษหล่อเหลาแบกทวนยาวพู่สีแดง
หนิงอี้ได้เห็นผู้อาวุโสมากมายกลางหมอก บนฟ้าศิลาหินอันเงียบสงบพวกนั้นเหมือนจะสร้างออกมาเป็นเหล่าวีรชนต้าสุยที่เคยมาที่นี่ จิตวิญญาณแผ่ออกมาผ่านหินศิลา กำลังมองตนอยู่ที่นี่
อำนาจคุกคามไร้รูปลักษณ์ขยายออก
หนิงอี้ไหล่สั่นเล็กน้อย ไม่ได้รับผลอะไรมาก
เขาเห็นรูปเหมือนคนพวกนี้ เหมือนเป็นเพียงภาพลวงตา ที่ราบกระดูกในตันเถียนสั่นไหวเล็กน้อย ภาพมายาพวกนี้ก็หายไปไม่ปรากฏมาอีก
สิ่งที่ตาคนเห็นคือศิลาหินที่เงียบงันดุจสุสาน
“หุบเขานิรันดร์…หุบเขาที่หลับใหลชั่วนิรันดร์”
หนิงอี้เอ่ยเสียงเบาเหมือนกำลังละเมอ
เขาเดินไปส่วนลึกของหุบเขานิรันดร์ อำนาจคุกคามข้างนอกกดลงตรงบ่า ทำให้เขาหยุดชะงักเล็กน้อย
หนิงอี้สูดลมหายใจเบาๆ โคจรที่ราบกระดูกในตันเถียน ความเป็นเทพไหลเวียนในสายเลือด ดังนั้นความหนาวเหน็บที่มาจากจิตวิญญาณและแรงกดดันจิตใจจึงค่อยๆ สลายหายไป…
เขาเดินตรงไปข้างหน้า ผ่านหญิงอรชรแบกพิณโบราณ เดินไปทางศิลาหินของนักกระบี่สวมงอบคนนั้น
แม้ร่างที่ออกมาจากจิตวิญญาณจะหายไปแล้ว แต่ท่วงทำนองมหามรรคยังคงอยู่
หนิงอี้ย่อตัวลง เขายื่นมือมาข้างหนึ่ง สัมผัสศิลาหินนั้นช้าๆ
‘วิ้ง…’
มีการสั่นไหวเบาๆ จากศิลาหิน
คลื่นจิตวิญญาณไร้รูปลักษณ์ถาโถมใส่ทะเลสาบจิตของหนิงอี้
หนิงอี้ร้องออกมาทีหนึ่ง
เขาเงยหน้าขึ้นมองบนศิลาหิน เงานักกระบี่สวมชุดกันฝนนั้นปรากฏมาอีกครั้งแล้ว ครั้งนี้ไม่ได้ใช้สองมือปักกระบี่ แต่เอามือข้างหนึ่งกดตรงขอบงอบเล็กน้อย ร่างกายเหมือนรวมขึ้นเป็นของจริง สายฝนบนฟ้าตกลงตรงงอบหญ้าหนวดมังกร ไหลผ่านขอบลงมา เหมือนม่านน้ำสีเงิน
บนฟ้าไม่ใช่แค่เกิดฝนตกหนัก
แต่ยังมีสายฟ้าสว่างวูบเข้ามา
เสียงของบุรุษดังขึ้นบนศิลาหินทีละคำ
“ข้าคือ…ราชันดาราฝูผิงแห่งต้าสุย!”
……
ตีนหุบเขานิรันดร์ ความเงียบสงบถูกทำลายลง
กลุ่มคนของเขาเชียงซานมาถึงหุบเขานิรันดร์ คุมเชิงกับผู้บำเพ็ญสำนักศึกษาถ้ำกวางขาว
อ้อยอิ่งประจันหน้ากับหวังอี้ ไม่ใช่แค่เกิดการคุมเชิงของเขาเชียงซานกับถ้ำกวางขาว แต่สี่สำนักศึกษาและทั้งแดนบูรพามากันตามข่าว หมอกหุบเขานิรันดร์กระจาย ใต้ฟ้าต้าสุย อัจฉริยะหนุ่มสาวเกือบครึ่งมารวมกันที่เมืองหลวง
ตีนหุบเขานิรันดร์เกิดเสียงดังเจี๊ยวจ๊าวขึ้น
ไม่ใช่แค่เกี่ยวกับอ้อยอิ่งและหวังอี้ แต่มีคนพบว่าประตูเพลิงดาราลุกโชนนั้นเหมือนจะปิดลงแล้ว แสงดาราที่มีมาไม่ขาดสายไม่ลุกโชติช่วงตรงขอบประตูสี่เหลี่ยมอีก แต่มีแนวโน้มจะดับลง…ทว่าเด็กหนุ่มชุดคลุมขาวที่นั่งกลางหมอกก็หายไปเช่นกัน
หลิ่วสืออีหายตัวไป!
มีคนพบเรื่องนี้
ดังนั้นข่าวนี้จึงกระจายจากวงแคบยิ่งออกไป
“หลิ่วสืออีไปไหนกัน ใครเห็นเขาออกมาบ้าง”
“ในหุบเขานิรันดร์ นอกจากหลิ่วสืออีแล้วก็น่าจะไม่มีใครอีก เซียนกระบี่น้อยเขาเชียงซานรอเขาอยู่ตลอด พวกเจ้าดูสิ…หวังอี้เหมือนจะบาดเจ็บเล็กน้อยด้วย สู้กับหลิ่วสืออีมารึ หรือว่าหลิ่วสืออีออกมาแล้ว หวังอี้จะขวางเขาไม่ได้กัน”
เสียงพวกนี้มีความไม่เข้าใจ มีความสงสัยและฉงน
และก็มีความตื่นเต้นเล็กน้อย
ชั่วขณะที่เสียงพูดคุยกำลังจะดังขึ้นเรื่อยๆ นั้น ก็เกิดสายฟ้าผ่าลงมา
หุบเขานิรันดร์เงียบไปในทันที
จากนั้นก็ปรากฏเงากลมและเล็กลอยขึ้นมาภายในประตูที่เพลิงดาราจะมอดดับลง
นั่นคือไข่มุกเชื่อมฟ้า
ไข่มุกเชื่อมฟ้านี้ได้ไขข้อสงสัยให้ทุกคน
เหมือนฟ้าดินกำเนิดแรกเริ่ม หยินหยางกำเนิดสองความหมาย เงาของไข่มุกพัวพันกัน ก่อนจะกระจายออกไปช้าๆ เหมือนน้ำหมึก
เด็กหนุ่มชุดคลุมขาวที่ถือกระบี่ยาวขาวหิมะมีใบหน้าเรียบนิ่งและเฉยชา จังหวะก้าวมั่นคงและเชื่องช้า เดินไปทีละก้าว ย่ำเส้นทางขึ้นไปสู่บนยอดหุบเขานิรันดร์
หลิ่วสืออี
ด้านหยางของไข่มุก
ภาพอีกภาพหนึ่ง ค่อยๆ รวมขึ้นกลางหมอกและสายฝน มีคนพบว่าตนพลาดคนที่สำคัญมากคนนั้นในเมืองหลวงมาตลอด
ด้านหยินของไข่มุก เงาสีดำลอยขึ้นมาเหมือนคลื่นน้ำหมึก
เด็กหนุ่มคนนั้นวางร่มกระดาษมันไว้ข้างหน้า นั่งขัดสมาธิหน้าศิลาหินและตระหนักรู้อย่างจริงจัง
หนิงอี้
…..
คุณชายครามมีสีหน้าไม่แน่ใจ
เขามองไข่มุกเชื่อมฟ้านั้น คุณชายพิรุณข้างกายพูดงึมงำ “หุบเขานิรันดร์จะปิดแล้ว เหตุใดพวกเขาถึงยังอยู่ข้างใน”
นี่เป็นเพียงคำถามหนึ่ง
คุณชายพิรุณมองศิษย์พี่เหลียนชิงของตน ในใจเขายังมีคำถามอีกมากมาย
เหตุใดหลิ่วสืออีถึงดูสุขุมเช่นนี้ จิตวิญญาณหุบเขานิรันดร์กดดันเขาไปถึงไหนแล้ว
หนิงอี้มาหุบเขานิรันดร์ตั้งแต่เมื่อไร
“ไข่มุกเชื่อมฟ้านี้สื่อถึงความตั้งใจของคนเฝ้าหุบเขา” คุณชายครามเลิกคิ้วขึ้น เอ่ยนิ่งๆ “คนเฝ้าหุบเขาอยากให้เราได้เห็นภาพในหุบเขานิรันดร์”
คุณชายพิรุณเงียบลง
“หุบเขานิรันดร์เป็นโชควาสนา ทุกคนเอาส่วนนั้นที่ตนต้องการไป คนเฝ้าหุบเขามองดอกไม้บานดอกไม้โรยรา เล่าลือว่าเขาเป็นคนที่เฉยชามาก เกิดคลื่นอารมณ์กับเรื่องใดๆ ได้น้อยมาก”
น้ำเสียงคุณชายครามมีความซับซ้อนอย่างบอกไม่ถูก “ตอนนี้ดูแล้ว เขาเหมือนจะชอบหลิ่วสืออีมาก และก็ชอบหนิงอี้มาก”
“เหตุใดถึงเป็นเช่นนั้น” หยวนหลินไม่เข้าใจนิดๆ
“ยังจำเรื่องที่คนเฝ้าหุบเขาไม่ให้หานเยวียเข้าหุบเขานิรันดร์ได้หรือไม่ นั่นไม่ใช่แค่เพราะกฎของต้าสุย” คุณชายครามชำเลืองตามองหยวนหลินทีหนึ่ง “แต่แค่เพราะคนเฝ้าหุบเขาไม่ชอบ”
“หากเขาไม่ชอบ หานเยวียก็จะเข้าหุบเขานิรันดร์ไม่ได้”
“หากเขาไม่ชอบหลิ่วสืออีกับหนิงอี้ หุบเขานิรันดร์ก็คงจะไม่รอพวกเขา มันไม่ปิดลง…ซ้ำยังเหมือนตั้งใจรอพวกเรามากันด้วย” คุณชายครามชะงักไปก่อนจะเอ่ยต่อ “เหมือนกับให้เราเป็นผู้ประจักษ์”
“ผู้ประจักษ์หรือ” น้ำเสียงหยวนหลินมีความโกรธเล็กน้อย เขาถามอย่างจริงจัง “มีสิทธิ์อะไรกัน แค่คนเฝ้าหุบเขาชอบ ก็จะให้อัจฉริยะมากขนาดนี้มาเป็นผู้ชมรึ”
คุณชายครามยิ้มอ่อนโยน หลังจากศึกที่จวนเขาคราม นิสัยเขาก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
เหลียนชิงโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะพูดยิ้มๆ “ช่างเถอะ…มันไม่มีความหมายอะไรหรอก ข้าว่านะ พวกเขาอาจจะหา ‘ประตูที่สอง’ ของหุบเขานิรันดร์พบ”
“ศิษย์พี่ หากท่านเข้าหุบเขานิรันดร์จะต้องพบเหมือนกันแน่” หยวนหลินมองเหลียนชิง หลายวันมานี้หมอกหุบเขานิรันดร์บางลง เมื่อไม่นานมานี้คุณชายครามเพิ่งสู้กับกายวิญญาณอมตะ ผู้บำเพ็ญเขาศิลาเต่าหลิงสวินวาดแผนที่ขึ้นเขาที่สมบูรณ์แบบ จวนขานฟ้าก็เช่นกัน แต่คุณชายครามกลับโบกมือปฏิเสธเจตนาดีของสำนักตน
เขาไม่ได้เข้าหุบเขานิรันดร์
นี่เป็นโชควาสนา แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ต้องการโชควาสนาเช่นนี้
คุณชายครามหรี่ตาลง พิจารณามองภาพของหลิ่วสืออีอย่างละเอียด เขาตกใจเล็กน้อย ปากพูดงึมงำ “หลิ่วสืออีจะขึ้นสู่ยอดรึ”
“ขึ้นสู่ยอดหรือ”
หยวนหลินมองศิษย์พี่ของตนอย่างเหลือเชื่อ
“ขึ้นสู่ยอด”
คุณชายครามพูดอย่างมั่นใจมาก “และไม่ใช่แค่ขึ้นสู่ยอด”
หยวนหลินไม่เข้าใจนิดๆ ศิษย์จวนขานฟ้าทุกคนต่างก็งุนงงเช่นกัน
“ไม่ดูศิลา ไม่ตระหนักรู้…คนเฝ้าหุบเขาใช้อำนาจของตนวางเส้นทางไปสู่ยอดให้เขา ช่วยให้เขาสำเร็จวิถีกระบี่ที่กำลังจะข้ามผ่านไป” คุณชายครามมีสีหน้าจริงจังขึ้นมา ก่อนเอ่ยทีละคำ “นั่นคือเส้นทางขึ้นสู่ยอดที่ในประวัติศาสตร์มีเพียงราชวงศ์ที่เดินไปได้!”
คุณชายพิรุณยังคงงุนงง
เขาเหมือนเข้าใจและไม่เข้าใจ “แต่ว่า วิถีกระบี่ของหลิ่วสืออีคืออะไร”
คุณชายครามส่ายหน้าและพูดด้วยรอยยิ้ม “หากมีโอกาส ข้าประมือกับเขา ตอนนั้นคงจะรู้เอง”
ตอนที่พูดประโยคนี้ คุณชายครามมองทอดไกล มองผ่านระยะห่างสั้นๆ และหมอกบางๆ เห็นผู้บำเพ็ญเขาศิลาเต่าแดนบูรพาที่สวมชุดคลุมดำคนหนึ่งกำลังจ้องตนด้วยสายตาไม่เป็นมิตร
กายวิญญาณอมตะยังคงสวมหน้ากากสีเงินนั้น ตั้งสองนิ้วมือตรงหน้าอก กางม่านแสงดารา แต่กลับปล่อยให้พายุคลั่งพัดเข้ามา ชุดคลุมขาวโบกสะบัดดังพึ่บพั่บ
หลินสวินเบนสายตาออกจากคุณชายคราม
สองคนเคยสู้กันก่อนหมอกหุบเขานิรันดร์บางลง ก็ยังตัดสินแพ้ชนะไม่ได้
หลังจากศึกนี้ จิตใจคุณชายครามได้รับการปล่อยวางลงอย่างถึงที่สุด
หลิงสวินกลับไม่ใช่เช่นนั้น เขาขึ้นหุบเขานิรันดร์ หาเส้นทางที่เหมาะสมกับตนที่สุดตามแผนที่ขึ้นเขาที่ศิษย์พี่ศิษย์น้องวาดให้ หลังจากกลับมา กายวิญญาณอมตะก็อยากได้โอกาสทำศึกตัดสินกับคุณชายครามอีกครั้ง เอาชนะคุณชายใหญ่จวนขานฟ้าคนนี้!
คุณชายครามมีใบหน้าเรียบนิ่ง
เขาไม่สนใจผู้บำเพ็ญเขาศิลาเต่าพวกนั้นอีก แต่มองไปที่ไข่มุกเชื่อมฟ้าอีกครั้ง
“หนิงอี้กำลังทำอะไร”
หยวนหลินเองก็สังเกตเห็นผู้บำเพ็ญเขาศิลาเต่าพวกนั้น เขามีสีหน้าเฉยชา สองมือสอดเข้าไปในแขนเสื้อ ภายในแขนเสื้อแปะยันต์เต็มไปหมด เห็นได้ชัดว่าเตรียมตัวมาดี
คุณชายพิรุณไม่ถือสาจะให้เขาศิลาเต่าเห็นกลอุบายของตน ราชาต่อราชา ขุนพลต่อขุนพล ระหว่างการต่อสู้ของศิษย์พี่ใหญ่ของตนกับกายวิญญาณอมตะ เขาเชื่อมั่นในคนแรกยิ่งกว่า
หากรุ่นเยาว์ของจวนขานฟ้าสู้กับเขาศิลาเต่า เขาจะต้องเป็นแนวหน้า พิสูจน์ว่าการฝึกฝนอย่างหนักของตนไม่เสียเปล่า
ในไข่มุกเชื่อมฟ้า
ศิลาหินหุบเขานิรันดร์ตั้งกันเต็มไปหมด
หนิงอี้ที่นั่งขัดสมาธิอยู่หน้าศิลาหินให้ทุกคนเห็นเพียงเงาแผ่นหลังโดดเดี่ยว
ฝนตกหนัก บรรยากาศเงียบเหงา
ใต้หุบเขานิรันดร์ ในสายตาพวกคุณชายคราม ไม่มีร่างเงาคนที่รวมออกมาจากแรงปณิธานบนศิลาหิน
เส้นทางหุบเขานิรันดร์ยาวไกล ภูเขาสูง เส้นทางที่ผ่านแทบจะมีน้อยคนมากที่หยุดลง
หาศิลาหินสักก้อน นั่งลง ตระหนักรู้ จากนั้นออกไป
อัจฉริยะบางคนตระหนักรู้ศิลาหินได้สองสามก้อน
ทว่าหนิงอี้เพิ่งเข้าหุบเขานิรันดร์ก็นั่งขัดสมาธิลง เริ่มตระหนักรู้ศิลาหินวิถีกระบี่ก้อนแรกที่ตนพบ
คุณชายครามมีสีหน้าจริงจัง
หยวนหลินเหมือนเกิดความคิดที่ไร้สาระบางอย่างขึ้น
เขาพูดพึมพำ “นี่เขาจะ ตระหนักรู้ศิลาหินทั้งหุบเขานิรันดร์ในวันเดียวเลยรึ”
…………………………..
…………………………………….
Comments