เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า 205 ปราณเพาะบ่มมโหฬารนิรันดร์ อ่านคัมภีร์ไร้อักษรสงบ
ตอนที่ 205 ปราณเพาะบ่มมโหฬารนิรันดร์ อ่านคัมภีร์ไร้อักษรสงบ
หนิงอี้รวมจิตกระบี่ประจำตัวได้แล้ว!
คุณชายใหญ่สำนักศึกษา คุณชายครามยังถือว่านิ่งเฉยเพราะคาดการณ์บทสรุปไว้ได้ก่อนแล้ว ส่วนจงหลีกับกู้ชางมองหน้ากัน นัยน์ตามีความตื่นตกใจเสี้ยวหนึ่ง
ทุกคนเห็นภาพในไข่มุกเชื่อมฟ้านั้นกันหมด หลังจากหนิงอี้ก้าวเข้าไปในเมฆหมอกที่สูงกว่า ภาพก็ขาดหายไป ไม่มีใครรู้ว่าสุดท้ายหนิงอี้ทำการใหญ่ศึกษาศิลาหินทั้งหุบเขานิรันดร์สำเร็จหรือไม่ ตอนนี้รวมจิตกระบี่ประจำตัวได้ก็คงอธิบายทุกอย่างได้แล้ว
ศึกษาศิลาหินทั้งหุบเขานิรันดร์สำเร็จหรือไม่ไม่สำคัญแล้ว
ในค่ายแดนบูรพา เทพหยินเขาล่องโอฬารในชุดคลุมดำขาลอยขึ้นจากพื้นพูดด้วยน้ำเสียงมีลับลมคมใน “หนิงอี้แห่งเขาสู่ซาน…ข้าเคยได้ยินนามนี้มาแล้ว หอบัวยกเขาเป็นอันดับหนึ่งรายนามดารา ใต้ตำแหน่งนี้ยังมีเยี่ยหงฝูกับเฉาหลัน อันดับหนึ่งคนก่อนคือลั่วฉางเซิงแห่งที่พำนักเทพ ไม่มีใครคัดค้าน ตอนนี้เหมือนจะไม่ใช่อัจฉริยะที่เก่งกาจสักเท่าไร”
เทพหยางเขาล่องโอฬารในชุดคลุมขาว ข้างหลังประทับดวงตะวันใหญ่สีแดง ขาลอยขึ้นจากพื้นเช่นกัน พูดด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก “ออกมาจากหุบเขานิรันดร์ ดูดซับกลิ่นอายมรณะทั้งตัวอย่างไม่คิดชีวิต เพียงเพื่อฉายาไร้พ่ายในขอบเขตที่สิบ ไม่กลัวตอนจุดดาราชะตา ดวงวิญญาณดับสลายตายไม่มีที่ฝังเหมือนอวี๋ชิงสุ่ยเมื่อห้าร้อยปีก่อนรึ”
กายวิญญาณอมตะแห่งเขาศิลาเต่าที่ยืนอยู่ข้างบุตรศักดิ์สิทธิ์เขาล่องโอฬารสองคนหรี่ตาลง จ้องหนิงอี้เหมือนคิดอะไรบางอย่าง ราวกับว่าสังเกตเห็นกลิ่นอายที่ตนคุ้นเคยมาก่อน
ในตัวหนิงอี้มีกระดองเต่าที่อู๋เต้าจื่อมอบให้ กระดองเต่านั่นไม่เคยใช้ผ่านมือนักบวชนั่นมาก่อนเลย ต้องใส่ความเป็นเทพเข้าไป หลิงสวินฝึกยอดวิชามหามรรคเขาศิลาเต่า เขาสัมผัสได้ถึงต้นกำเนิดจากในตัวหนิงอี้ลับๆ แต่เพียงแค่แวบเดียวก็ไม่ได้รู้สึกลึกยิ่งกว่านี้
กายวิญญาณอมตะมองเด็กหนุ่มชุดดำที่กอดร่มกระดาษมันก้าวออกมาจากหมอกช้าๆ ตามตัวมีรูแตกหลายรู อาภรณ์โบกสะบัด ใบหน้าเปื้อนดินโคลนเล็กน้อย แต่ดวงตาสว่างไสวจนเขาเกิดความกลัวขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
ปราณกระบี่เก็บไปข้างใน ไม่เผยร่องรอย
อย่างน้อยเขาก็มองไม่ออกว่าจิตกระบี่ประจำตัวของหนิงอี้ว่าคืออะไร
……
“ปราณเพาะบ่มมโหฬารนิรันดร์ อ่านคัมภีร์ไร้อักษรสงบ”
หนิงอี้ก้าวออกมาจากหมอกก็เอ่ยเช่นนี้นิ่งๆ
หวังอี้หน้าทั้งเขียวทั้งขาวซีด
เขาเชียงแขวนกระบี่ยาวสี่เล่มแบ่งเป็น ‘ปราณนิรันดร์’ ‘มโหฬาร’ ‘คัมภีร์สงบ’ และ ‘ไร้อักษร’ พวกนี้ล้วนมาจากอักษรบนป้ายภูเขาของบรรพบุรุษเขาเชียง
ก่อนลั่วฉางเซิงเกิด เขาเชียงเก็บตัวอยู่เงียบมาตลอด ความจริงเซียนจุติคนนี้ไม่ใช่คนที่ชอบแก่งแย่งชิงกับใครเหมือนกัน เพียงแต่เขาเชียงรออยู่พันปีถึงได้ปรากฏอัจฉริยะที่สุดของยุคที่มีอำนาจกดดันมหาโลกเช่นนี้ ถึงกับสร้าง ‘ที่พำนักเทพ’ แดนเทวาเล็กให้กับลั่วฉางเซิงโดยเฉพาะ ศิษย์ในสำนักก้าวออกมาต่างก็ได้เชิดหน้าชูตา
หวังอี้มีชื่อเสียงได้เหตุผลส่วนใหญ่เป็นเพราะศิษย์พี่ลั่วฉางเซิงของเขา เซียนจุติคนนั้นมีชื่อเสียงโด่งดังมากจริงๆ ทุกคำพูดและการกระทำเป็นที่สนใจ อีกทั้งตอนหวังอี้เพิ่งเข้าเขาเชียงก็ได้คำชมจากลั่วฉางเซิงว่าเป็นเซียนกระบี่น้อย นับจากนั้นมาก็โผทะยานขึ้นเหนือกิ่งไม้
สำหรับหวังอี้แล้ว ลั่วฉางเซิงเป็นแรงบันดาลใจที่ดีที่สุดในเส้นทางบำเพ็ญ เขาอายุยังน้อย ยังไม่เข้าใจอารมณ์ความรู้สึกคน ความซับซ้อนถูกผิด รู้แค่ว่าลั่วฉางเซิงอุ้มชูตน ต่อให้คำว่าเซียนกระบี่น้อยจะแค่พูดไปอย่างนั้น เขาก็ยังจดจำบุญคุณไว้ในใจ
เงานั้นที่สูงสุดในเขาเชียงคือเงาที่สูงสุดในรุ่นเยาว์ใต้ฟ้าต้าสุย จะไปยอมให้คนอื่นมาทำให้แปดเปื้อนได้อย่างไร หลังจากศิษย์พี่ตนออกจากรายนามดารา เขาก็ไม่สนใจรายนามนั้นอีก คนที่ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งในรายนาม ไม่ว่าจะเยี่ยหงฝูหรือเฉาหลัน เขาก็ไม่สนใจทั้งนั้น
แต่เหตุใดถึงได้เป็นเด็กกำพร้าเทือกเขาประจิมที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้ากัน
มีสิทธิ์อะไรกัน
หวังอี้จ้องหนิงอี้ ดวงตาเกิดเส้นเลือดฝอยขึ้น
“หลิ่วสืออีล่ะ”
เซียนกระบี่น้อยเอ่ยเสียงแหบ “เขาอยู่ไหน เหตุใดไม่มาพบข้า?”
“หลิ่วสืออีออกจากเมืองหลวงแล้ว”
หนิงอี้ยังคงมีใบหน้าเรียบนิ่ง แค่ถอนหายใจอยู่ข้างใน หวังอี้เพิ่งมาถึงเหตุใดถึงได้สร้างศัตรูไว้มากขนาดนี้ ค่ายแดนบูรพาดูเหมือนแผ่นเหล็ก แต่ว่าเขาศักดิ์สิทธิ์อื่น ตอนนี้มีใครจะยืนอยู่ข้างหลังหวังอี้บ้าง
“หลิ่วสืออีกลัวรึ” หวังอี้แค่นยิ้ม เขากอดปราณนิรันดร์ ตรงมุมปากยังมีคราบเลือด เมื่อครู่นี้บาดเจ็บจากการต่อสู้กับอ้อยอิ่งเล็กน้อย เส้นผมกระเซิงดูน่าสงสาร
ใต้หุบเขานิรันดร์มีกลุ่มคนมารวมกัน เด็กหนุ่มกอดกระบี่ตรงกลางสุดจ้องหนิงอี้เขม็ง นัยน์ตาทอประกายโกรธเกรี้ยว
“หลิ่วสืออีกลัวหรือ”
หนิงอี้ยิ้มในทันที เขามองเด็กหนุ่มอายุไม่เกินสิบสี่ปีพลางถามเนิบนาบ “นามของเจ้าหวังอี้มีสิทธิ์อะไรถึงให้คนอื่นกลัว เจ้าเคยไปล่ายอดปีศาจเก้าร้อยปีในที่ราบสูงเทพสวรรค์หรือไม่ เจ้าเคยเอาชนะบุตรศักดิ์สิทธิ์เขาศักดิ์สิทธิ์ในรายนามดาราหรือไม่ ตั้งแต่ออกจากภูเขา ระหว่างทางคงถูกคนชมไม่น้อยเลยสิ จะบอกเจ้าให้นะ พวกเขาแค่กลัวเขาเชียงและก็นามของลั่วฉางเซิงก็เท่านั้น”
“วิชากระบี่เขาเชียงให้ความสำคัญกับการฝึกการบ่มเพาะร่างกาย ถึงจะไม่เคยเจอศิษย์พี่ของเจ้า แต่ข้าก็เจอผู้อาวุโสเขาเชียงในหุบเขานิรันดร์มาเยอะ” หนิงอี้ก้าวออกมาจากหมอก เอ่ยราบเรียบ คำพูดนี้ไม่ใช่คำพูดจากใจจริง แต่ก็มีประโยชน์หลายอย่าง เขาพูดกับหวังอี้อย่างจริงจัง “ยังจำคำสอนบรรพชนเขาเชียงได้หรือไม่ หัวใจที่แก่งแย่งชิงนั้นหนักเกินไป ไม่ใช่เรื่องดี เจ้าจะกลับเขาเชียงไปปิดด่านบำเพ็ญสักปีก็ได้ หรือไปขอคำชี้แนะจากลั่วฉางเซิงก็ได้ ตอนนี้เมืองหลวงยังไม่เหมาะกับเจ้า”
หวังอี้ทำเสียงถุย
“บ่มเพาะปราณแห่งความยิ่งใหญ่ก่อน แล้วค่อยสงบจิตกระบี่” หนิงอี้ยืนเคียงข้างอ้อยอิ่ง เขาพูดนิ่งๆ “ศึกในสิบวันให้หลังนี้ หากเจ้าไม่อยากถูกตีจิตมรรคแตก ก็ล้มเลิกเสียที่นี่”
ท่านหญิงพิณมองหนิงอี้ด้วยแววตาตกใจเล็กน้อย
ใบหน้าหนิงอี้ยังคงนิ่งเฉย
“หนิงอี้ เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาสอนข้า” หวังอี้แค่นยิ้ม “อย่างเจ้าหรือรวมจิตกระบี่ประจำตัวได้ ข้าจะบอกเจ้าให้นะ เจ้ายังห่างชั้นกับศิษย์พี่ข้าอีกแสนแปดพันลี้!”
หนิงอี้ไม่โกรธ แต่พูดด้วยรอยยิ้ม “ข้ากับศิษย์พี่เจ้าใครแกร่งกว่ากันไม่รู้ แต่ข้าแกร่งกว่าเจ้าแน่ๆ”
“เจ้าถามข้าหรือว่ามีสิทธิ์อะไรไปสอนเจ้า ก็เพราะตอนนี้ข้าเป็นอันดับหนึ่งรายนามดารา ตำแหน่งที่ศิษย์พี่เจ้าเคยนั่งมาก่อน!”
เมื่อเสียงตกกระทบ
“อ๊ากๆๆ”
เสียงตะโกนแหบแห้งเกรี้ยวกราดดังมาจากในลำคอหวังอี้
ปราณกระบี่พุ่งออกมา
หนิงอี้เลิกคิ้วขึ้น อ้อยอิ่งเอียงตัวครึ่งหนึ่งมาขวางหน้าเขา ก่อนยกมือขึ้น ปราณกระบี่ของปราณนิรันดร์เขาเชียงพลันระเบิดตรงหน้าหนิงอี้กับอ้อยอิ่ง เวลานี้ เศษใบไม้กระจายไปทั่ว
“หนิงอี้! ข้าจะเดิมพันกระบี่กับเจ้า! ที่นี่เดี๋ยวนี้!”
เงียบสงัด เซียนกระบี่น้อยหวังอี้ดวงตาแดงก่ำ ปักปราณนิรันดร์ลงพื้นอย่างแรง
อ้อยอิ่งรู้สึกเหมือนตาฝาดไป
นางมองหนิงอี้ข้างกาย แก้มใบหน้าเผยรอยยิ้ม หลังก้าวออกมาจากฝุ่นธุลี ใบหน้าก็กลับมาราบเรียบนิ่งเฉยอีกครั้ง
“เช่นนั้นข้าจะสั่งสอนเจ้าแทนลั่วฉางเซิงเอง”
………………………..
Comments