เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า 227 ข้า เฉาหลัน วันนี้จะทะลวงขอบเขตที่สิบ

Now you are reading เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า Chapter 227 ข้า เฉาหลัน วันนี้จะทะลวงขอบเขตที่สิบ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 227 ข้า เฉาหลัน วันนี้จะทะลวงขอบเขตที่สิบ

ค่ำคืนเมืองหลวง เงียบสงัด

ปราณกระบี่สายหนึ่งทำลายความเงียบ จวนขุนนางรองท่องกระบี่ในตอนนี้ไม่เงียบสงบอีก

ร่างเงาบนชายคาบ้านหยัดกายขึ้นช้าๆ ใต้แสงจันทร์ส่องสว่าง ชุดคลุมยาวโบกสะบัด

ทุกสายตาจับจ้องไปที่เฉาหลัน

และเสียงของเฉาหลันดังกึกก้อง

“หนิงอี้นั่งอันดับหนึ่งรายนามดารา…ใครเห็นด้วยบ้าง ใครคัดค้านบ้าง”

ทุกคนรู้

เฉาหลันไม่เคยอ้อมค้อม และไม่พูดโกหก

อู๋ซานมีสีหน้าซับซ้อนเล็กน้อย เขานำหญ้าน้ำค้างต้นหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ เคี้ยวในปาก มองจวนขุนนางรองท่องกระบี่ที่เปิดประตูใหญ่ หนิงอี้กับเผยฝานสองคนเดินออกมาช้าๆ มองออกว่าสองคนเพิ่งผ่านศึกใหญ่ ใบหน้าซีดขาว

อู๋ซานขมวดคิ้วพลางเคี้ยวหญ้า

หนิงอี้เป็นขุนนางรองท่องกระบี่ที่ฝ่าบาทแต่งตั้งให้ด้วยตนเอง เป็นอันดับหนึ่งรายนามดารา วางในรุ่นเยาว์ย่อมมีพลังบำเพ็ญไม่ธรรมดา แต่เหตุใดแม่นางน้อยที่ดูเยาว์วัยและน่ารักข้างกายถึงมีกลิ่นอายพลังแสงดาราในตัวหนาแน่นยิ่งเช่นกัน ด้วยสายตาของเขา จะมองตื้นลึกหนาบางไม่ออกได้อย่างไร

ในตัวเผยฝานมีปราณกระบี่อยู่เช่นกัน นางอยู่ในจวนขุนนางรองท่องกระบี่มาตลอด อยู่เงียบๆ มาตลอด นี่เป็นครั้งแรกที่นางเผยตัวต่อหน้าทุกคน

ผู้บำเพ็ญหลั่งไหลมากันมากขึ้นเรื่อยๆ กลางฟ้าจวน ร่างเงาขี่กระบี่รวมกันเต็มไปหมด บ้างก็เป็นผู้บำเพ็ญขอบเขตหลังใช้แสงดารายืนบนอากาศ

“เด็กนี่คือน้องสาวหนิงอี้รึ ไม่อยากเชื่อว่าจะงามถึงเพียงนี้”

มีคนเห็นเผยฝานแล้วก็พบความไม่ธรรมดาในตัวเด็กสาวทันที

“นางก็ร่วมศึกนั้นกับเฉาหลันด้วยรึ กลิ่นอายพลังในตัวยังไม่นิ่งเลย นี่มันเทพเซียนจากที่ใดกัน”

หนิงอี้กับเผยฝานยืนหลังเฉาหลัน

หนิงอี้มีสีหน้าแปลกไปเล็กน้อย เขามองเฉาหลัน ในแววตามีการขอบคุณสามส่วน คุณชายหยวนฉุนแห่งหอบัววางตำแหน่งอันดับหนึ่งรายนามดาราไว้บนหัวตน สองปีมานี้ ความจริงมีกลิ่นอาย ‘ไม่คู่ควร’ อยู่

เพราะเยี่ยหงฝูกับเฉาหลันยังอยู่ในรายนาม!

ศึกเมื่อครู่ หนิงอี้พอจะเข้าใจความคิดของเฉาหลันนิดๆ…รายนามดาราจัดเพียงอัจฉริยะสิบขอบเขต ผู้บำเพ็ญพเนจรแดนอุดรที่สันโดษมาตลอดคนนี้มาถึงช่วงปลายการทะลวงพลังแล้ว ครึ่งขาก้าวสู่ดาราชะตา ไม่นับว่าเป็นคนในสิบขอบเขต

เกรงว่าตอนนั้นที่ตนอยู่ตำแหน่งนี้ เฉาหลันก็เดินก้าวนั้นแล้ว

ถึงอย่างไรเป้าหมายของเขาก็คือเซียนจุติแห่งเขาเชียง ลั่วฉางเซิงออกจากรายนามดารา เขาก็คงทิ้งห่างไม่ไกลนัก

คืนนี้ เฉาหลันก้าวออกมาพูดให้ตน กวาดล้างศัตรูทุกคนให้เขา อย่างน้อยก็ลบเสียงโจมตีลับๆ พวกนั้นไปได้!

เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ

มีเสียงน่ากลัวดังขึ้นหน้าประตูจวนขุนนางรองท่องกระบี่ หุ้มด้วยแสงดารายากจะแยกแยะชายหญิงได้ ดังขึ้นบนพื้นราบ

“หนิงอี้นั่งอันดับหนึ่งรายนามดารา ข้าว่าสมเหตุผล เอาชนะเซียนกระบี่น้อยหวังอี้แห่งเขาเชียงที่หุบเขานิรันดร์ แม้แต่ลั่วฉางเซิงยังไม่กล้าออกหน้า แดนบูรพาเป็นใบ้ หรือว่านี่ยังไม่พอกัน”

เมื่อสิ้นเสียงคำพูดนี้ หนิงอี้มีสีหน้าเย็นชาลง

เป็นการถากถางและยั่วยุอย่างโจ่งแจ้ง

ไม่ใช่แค่หนิงอี้ ศิษย์เขาเชียงที่ลอยอยู่บนฟ้าจวนขุนนางรองท่องกระบี่พลันหน้าเปลี่ยนสีไป กวาดจิตสัมผัสออก แต่หาเจ้าของคำพูดไม่พบ

หนิงอี้ขมวดคิ้ว

คำพูดนี้มีลับลมคมใน ทำให้คนรังเกียจ เพื่อประจานตนและเขาเชียง เจ้าของเสียงมีฝีมืออยู่สามส่วน บีบเสียงเข้าแสงดารา กระทั่งวิชาสัมผัสเขาสู่ซานของหนิงอี้ยังตรวจสอบต้นตอไม่พบในทันที เห็นได้ชัดว่าจะใช้อุบายต่ำช้าสร้างเรื่องให้ใหญ่ขึ้น

ผู้บำเพ็ญเขาเชียงเบนสายตาไปทางสำนักศึกษาถ้ำกวางขาวที่อยู่ไม่ไกล

อ้อยอิ่งมาที่หน้าจวนเช่นกัน นางขมวดคิ้ว ตนฝึกวิถีเสียงพิณ สำแดงอุบายนี้ได้สบายมาก ก่อนหน้านี้หวังอี้เขาเชียงยั่วยุตน จึงเกิดเป็นความบาดหมางระหว่างสองสำนักแล้ว

นางทำเสียงขึ้นจมูก ขี้เกียจจะเถียง

“ดี ดีมาก”

เฉาหลันที่เอามือข้างหนึ่งกดงอบพลันเงยหน้าขึ้นมองไปในทางหนึ่ง ก่อนจะแสยะปากยิ้ม “ซ่อนอยู่ตรงนั้นคิดว่าข้าไม่เห็นเจ้ารึ ไสหัวออกมาเดี๋ยวนี้!”

เฉาหลันออกมืออย่างฉับพลัน เงื้อฝ่ามือตบออกไป ฝ่ามือยิงเปลวเพลิงร้อนระอุพุ่งไปหลายสิบจั้ง ร่างเงาผอมสูงขี่กระบี่บินร้องออกมาทีหนึ่ง ตัวแตกเป็นเปลวเพลิง ถูกฝ่ามือตบกระเด็นออกไป กระทั่งคนส่วนใหญ่ยังมองไม่ทันด้วยซ้ำ เฉาหลันพลันหุบฝ่ามือ แรงดูดมหาศาลคว้าคนนั้นเข้ามา

บุรุษสวมงอบยิ้มหยีตาถาม “ที่แท้ก็ผู้บำเพ็ญภูตผีแดนทักษิณ ต่อให้เป็นหานเยวีย มาเมืองหลวงก็ยังต้องเจียมตัว ไม่ก่อเรื่อง ไม่อยากเชื่อว่าเจ้าจะอวดดีถึงเพียงนี้”

ร่างเงาผอมสูงนั้นหน้าขาวซีด เบ้าตาลึกลงไป ไม่คิดเลยว่าตนจะถูกจับมา เขาพูดเสียงแหบ “เฉาหลัน! เจ้าอย่ามาใส่ความคนดี! เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้า!”

ชุดคลุมดำเข้มดุจน้ำหมึกพ่นเปลวเพลิงร้อนระอุออกมา ผู้บำเพ็ญภูตผีแดนทักษิณ นอกจากสายฟ้าสวรรค์แล้ว สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือเปลวเพลิงเผาหัวใจ เขาถูกเฉาหลันจับส่วนหน้าของเสื้อยกขึ้นสูง กระทั่งปลายเท้าไม่แตะพื้น สภาพน่าสงสารมาก

เฉาหลันยังคงยิ้ม “มีอะไรจะสั่งเสียหรือไม่”

ผู้บำเพ็ญภูตผีคนนั้นอึ้งงัน พอได้ยินว่า ‘คำสั่งเสีย’ ก็ตะโกนเสียงดัง “เฉาหลัน เจ้ากล้าฆ่าข้ารึ คุณชายหานเยวีย…”

จากนั้นเป็นเสียงตะโกนแหบแห้งที่เจ็บปวดถึงที่สุด เพลิงมังกรร้อนพุ่งมาจากในตัวเขา พลันกลายเป็นกลุ่มประกายไฟระเบิดออกดังปัง

เฉาหลันสะบัดมือ

เศษชุดดำที่ตกลงพื้นกลายเป็นเถ้าถ่านกลางประกายไฟ จากนั้นไหม้จนเป็นความว่างเปล่า

“ไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก ข้าจัดการมันให้แทนเขาเชียงแล้ว” เฉาหลันมองเขาเชียงด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะมองผู้คุมกฎหลายคนจากดอกบัวแดนบูรพา “ก่อนเขาตาย ได้เอ่ยนามของหานเยวีย คนนี้เกี่ยวข้องกับดอกบัวแดนบูรพาหรือไม่”

ผู้คุมกฎพวกนั้นรีบส่ายหน้า ขีดความสัมพันธ์ชัดเจน

เฉาหลันยิ้มหยีตามองกลุ่มของแดนทักษิณ “พวกเจ้าคิดว่าข้าสังหารผิดคนหรือไม่”

เงียบ

ในกลุ่มแดนทักษิณ หญิงชุดดำพูดอย่างเฉยชา “คนนี้ไม่มีสำนักไม่มีฝักฝ่าย ไม่มีพี่น้องหรือสหาย ไม่เกี่ยวกับพวกเรา ล่วงเกินคุณชายเฉา ถือว่ารนหาที่ตายเอง”

นี่เป็นการปกป้องตนเองโดยการขีดความสัมพันธ์อย่างหนึ่ง อยู่คนละพวกกัน ผู้บำเพ็ญภูตผีแดนทักษิณมีนิสัยเย็นชา หากเฉาหลันยึดมั่นจะฆ่า ต่อให้สนิทเหมือนพี่น้อง มีสายเลือดเดียวกัน ตอนนี้ก็จะเขี่ยทิ้งได้

เฉาหลันหัวเราะให้กับคำพูดที่ว่าล่วงเกินตนจึงถูกฆ่า ไม่ได้ปฏิเสธ

ทางกลุ่มของสำนักศึกษาถ้ำกวางขาว

อ้อยอิ่งมองเฉาหลัน นัยน์ตามีความเหลือเชื่ออย่างชัดเจน

แม้แต่นางยังหาคนนี้ไม่เจอ เฉาหลันทำได้อย่างไรกัน

ในนี้มีหลายคนกอดความสงสัยนี้ไว้ แต่มีคนมากกว่าที่คิดว่าเฉาหลันแค่จับผีดวงซวยมาเชือดไก่ให้ลิงดูเท่านั้น

เฉาหลันมองความคิดอ้อยอิ่งออก เขาปรบมืออย่างเกียจคร้านก่อนจะพูดอย่างเฉยเมย “จับออกมาได้อย่างไร ข้าขี้เกียจอธิบายแล้ว แต่หากมีใครไม่พอใจก็มาลองดูได้ ดูว่าฝีมือใครจะเหนือกว่ากัน”

หลังเอ่ยจบ เฉาหลันก็มองไปรอบๆ

ดีมาก

มีคนหนึ่งก้าวออกมาจากในกลุ่มเขาเชียง

ไม่ใช่เซียนกระบี่น้อยหวังอี้ แต่เป็นศิษย์เขาเชียงไร้ชื่อเสียง ชื่อโจวยวน จากการแบ่งรุ่น มีศักดิ์เท่ากับคุณชายน้อยของสำนักศึกษาและเตรียมบุตรศักดิ์สิทธิ์ของเขาศักดิ์สิทธิ์

โจวยวนโค้งตัวลงลึก ก่อนจะพูดขึ้น “เฉาหลัน ศิษย์พี่ใหญ่ข้าฝากข้ามาทักทายเจ้าด้วย”

เฉาหลันเลิกคิ้วขึ้นใต้ผ้าปิดหน้า

โจวยวนเบนสายตามองไปมองชายหญิงข้างเฉาหลันช้าๆ ก่อนพูดนิ่งๆ “ข้าเคยถามศิษย์พี่ใหญ่แล้ว ว่าคิดอย่างไรกับเรื่องรายนามดารา”

หนิงอี้หรี่ตาลง ไม่อยากเชื่อว่าผู้บำเพ็ญเขาเชียงจะไปถามลั่วฉางเซิงเกี่ยวกับเรื่องนี้

“เซียนกระบี่น้อยหวังอี้แพ้ให้หนิงอี้ ไม่มีอะไรจะพูด แพ้ชนะเป็นเรื่องธรรมดา” โจวยวนเอ่ยนิ่งๆ “คุณชายหนิงอี้จะอยู่อันดับเท่าไร ที่พำนักเทพไม่สนใจเลยสักนิด วันนี้เจ้าบอกว่าเขาเป็นอันดับหนึ่ง พวกข้าย่อมให้ความเคารพ แต่ว่า เฉาหลัน ข้ามีคำถามข้อหนึ่ง ไม่รู้ว่าควรจะถามหรือไม่”

คำพูดนี้ไม่น่าฟังเลย ปล่อยผ่านเรื่องหวังอี้แพ้ไปได้อย่างง่ายดาย และยังถือโอกาสเหยียบหนิงอี้ไปอีกที

ในนั้นยังไม่ลืมยกยอเฉาหลันอีกหน่อยด้วย

หนิงอี้ยิ้ม ไม่ได้สนใจอะไร

มีคนกลั้นลมหายใจ พอจะเดาคำถามที่โจวยวนจะถามได้แล้ว

วันนี้เฉาหลันประกาศว่าหนิงอี้เป็นอันดับหนึ่งรายนามดารา…เช่นนั้นเฉาหลันจะวางตัวอย่างไร

ที่นี่เงียบลงทันที

บุรุษสวมงอบเอ่ยอย่างเย็นชา “ถ้าแค่เจ้าอยากถามก็หุบปากไปเถอะ เพราะเจ้าไม่มีสิทธิ์มาถามข้า อีกอย่าง…เจ้าอยากถามอะไร ข้าไม่สนใจสักนิด”

คำพูดนี้ฟังดูคุ้นๆ

พูดมาแบบนั้นก็ต้องโดนย้อนกลับไปเสียบ้าง

โจวยวนอัดอั้นจนหน้าแดงขึ้นมาทันที

จนถึงตอนนี้ เขาพูดก็ไม่ได้ ไม่พูดก็ไม่ได้ เพิ่งออกโรงมา เพิ่งอาศัยบารมีที่พำนักเทพแสดงความเป็นผู้สูงส่ง รวมความฮึกเหิมมาจนมากพอ แต่กลับหายไปจนหมดในพริบตา

เดิมทีเขาคิดว่าหยิบยกนามของศิษย์พี่ใหญ่ออกมา อย่างน้อยเฉาหลันก็ต้องไว้หน้าเขาบ้าง

แต่เฉาหลันไม่ไว้หน้าเขาเลย

เฉาหลันพูดด้วยรอยยิ้ม “เจ้าโง่เขาเชียง วันๆ เอาแต่ใช้นามของลั่วฉางเซิงไปก่อเรื่อง หาเท้าไปทั่ว ตัวเองเป็นกองอุจจาระ ยังหวังจะให้คนอื่นให้เกียรติเจ้ารึ เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าวันนี้ ต่อให้ข้าทุบตีเจ้าแทนหนิงอี้ ศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้าก็จะไม่ว่าอะไร”

หนิงอี้ไม่โกรธเลยแม้แต่น้อยจนน่าแปลก เขายิ้มอ่อนโยนให้โจวยวน “กลับไปอย่าลืมบอกลั่วฉางเซิงล่ะว่า ปราณนิรันดร์เขาเชียงยังอยู่ที่ข้า ยินดีให้เอาอีกสามเล่มที่เหลือมาไถ่ถอน”

โจวยวนหน้าเขียวปั้ด

“ไปให้พ้น” เฉาหลันพ่นมาคำหนึ่ง “มาทางไหนไปทางนั้นเลย ไม่อย่างนั้นข้าจะอัดเจ้า”

ใบหน้าโจวยวนเต็มไปด้วยความโกรธ ก่อนกลับไปในกลุ่มเขาเชียงด้วยความโมโห อยากจะหาซอกดินมุดลงไปใจจะขาด

…….

เฉาหลันเงยหน้าขึ้นด้วยความพอใจมาก เขายื่นมานิ้วหนึ่งชี้เงาบนชายคาบ้าน

เขาอนันต์เล็ก ตำหนักทะเลสาบกระบี่ เขาเชียง จวนขานฟ้า สำนักศึกษาตะวันสูง สำนักศึกษาขุนเขา สำนักศึกษาถ้ำกวางขาว ตำหนักฟ้า จวนปฐพี แดนทักษิณ แดนอุดร…

“ครบแล้ว”

เฉาหลันพูดเสียงต่ำ

เขาเงยหน้าขึ้น

“ข้ารู้ว่าพวกเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่”

บุรุษหนุ่มสะบัดชุดคลุม พลังพุ่งขึ้นฟ้า ประกายไฟสว่างจ้าแผ่กระจายมาจากในแขนเสื้อ

เสียงคำรามมังกรดังกึกก้อง

“นี่เป็นเรื่องที่สองที่ข้าจะพูดกับต้าสุย”

ประกายไฟไหลมารวมกันเหนือศีรษะเฉาหลัน ดาวดวงหนึ่งรวมกันทีละนิด แม้จะยังไม่รวมอย่างสมบูรณ์ แต่ก็มีเค้าโครงเงาแล้ว

“ข้า เฉาหลัน วันนี้จะทะลวงขอบเขตที่สิบ!”

…………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด