เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า 40 จิตสังหารจากขุมนรก

Now you are reading เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า Chapter 40 จิตสังหารจากขุมนรก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 40 จิตสังหารจากขุมนรก

วิชาของจวนปฐพี ชำนาญการอำพรางตัวมากที่สุด

ซ่อนกายในเงามืด หาโอกาสออกมือที่ดีที่สุด เน้นเรื่องการปลิดชีพในทีเดียว พลาดก็จะหนีไปไกล

แต่พญายมน้อยต่างจากมือสังหารส่วนใหญ่ของจวนปฐพี

หากพญายมน้อยจะฆ่าใคร เช่นนั้นจะต้องฆ่าให้ได้

ก่อนเขามาเมืองหลวง คนที่อยู่ในรายชื่อของเขาตายหมดแล้ว

ต่อให้จวนปฐพีเป็นหนึ่งในสองแดนศักดิ์สิทธิ์ของเมืองหลวง ได้รับการยอมรับกลายๆ จากจักรพรรดิไท่จง แต่อัจฉริยะรุ่นเยาว์ก็ยังรวมพญายมสิบวิหารไม่ครบ

เพราะระหว่างอัจฉริยะของจวนปฐพีก็มีการลอบสังหารกันไปมาเช่นกัน

การสังหารเป็นวิธีการฝึกฝนที่เป็นที่ยอมรับโดยนัย

ดังนั้นพญายมน้อยจึงมาเมืองหลวงและจับตามองอัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งทันที

คุณชายครามแห่งจวนขานฟ้า

ในสี่สำนักศึกษา สี่คุณชายใหญ่มีพลังบำเพ็ญสุดยอด เหนือกว่าคนอายุเท่ากัน

พญายมน้อยไม่ได้ลงมือเลย เขาเพียงแค่จับตามองอยู่ไกลๆ ไม่ใช่เพราะเขารอโอกาสที่ดีที่สุด…แต่พลังบำเพ็ญของคุณชายครามแกร่งกว่าที่เขาคิดไว้มาก

คุณชายใหญ่สี่คนนั้น แข็งกว่าที่เขาคิดไว้มาก

ที่เขาจับตามองคุณชายครามและเอ่ยคำพูดออกมานั้น…เป็นเพราะคุณชายครามให้ความสำคัญกับการบำเพ็ญที่สุด หากไม่ใช่เพราะเจ้าลัทธิมาเมืองหลวง เช่นนั้นคุณชายครามคงจะฝึกฝนอยู่ในจวนภูเขาครามทุกวัน

จวนภูเขาครามเป็นสถานที่ใด

แดนศักดิ์สิทธิ์ฝึกบำเพ็ญของจวนขานฟ้า มีค่ายกลมากมายปกคลุม จวนปฐพีอย่าได้คิดเข้าไปเลย

พญายมน้อยไม่มีความมั่นใจว่าจะสังหารคุณชายครามได้

เพราะพลังบำเพ็ญเขา…มีเพียงขอบเขตกลาง ห่างจากขอบเขตหลังอีกเพียงเสี้ยวเดียว

มือสังหารระดับสุดยอดที่มีชื่อเสียงโด่งดังแห่งจวนปฐพีคนนี้ลอบสังหารผู้บำเพ็ญขอบเขตหลังสำเร็จมาแล้ว ไม่เคยพลาด ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือเช่นนี้ได้ เหตุผลส่วนใหญ่เป็นเพราะเขาเอ่ยออกมาว่าจะลอบสังหารคุณชายคราม

นี่เป็นการยั่วยุอย่างโจ่งแจ้ง

ไม่มีใครรู้ว่าพญายมน้อยมีพลังบำเพ็ญใด แต่ก็ยอมรับโดยนัยยกเขาไปอยู่ระดับนั้นแล้ว

เขายังไม่เคยเผยสายตาต่อหน้าทุกคน ซ่อนในเงามืดตลอด ฝึกฝนอย่างหนักเงียบๆ ก็เพื่อรอโอกาสมาถึงเช่นกัน

แต่พญายมน้อยรู้แก่ใจดี โอกาสลอบสังหารที่ว่ามีความหวังริบหรี่มากจริงๆ

ต่อให้รออีกหนึ่งปี ก็เกรงว่าคงจะไม่ได้ลงมือ

โอกาสลอบสังหารคุณชายครามสำเร็จต่ำมากจริงๆ หากตนเผยหน้าก็มีโอกาสสูงที่จะดึงตัวเองเข้าไป ต่อให้หนีรอดมาได้ ชื่อเสียงที่ลำบากสร้างมาจะพังครืนลงในชั่วข้ามคืน

ทว่าตอนที่เขาพบหนิงอี้ที่ถนนนิมิตชาด เขารู้สึกถึงลางสังหรณ์ว่า…เด็กหนุ่มที่ไม่ว่าจะชื่อเสียงหรือเบื้องหลังก็ไม่น้อยหน้าไปกว่าคุณชายครามแห่งจวนขานฟ้าคนนี้ต่างหากคือเป้าหมายที่ตนควรล่า

ความรู้สึกที่ซ่อนในจิตสำนึกเขา อาจารย์อาน้อยเขาสู่ซานที่ชื่อหนิงอี้คนนี้ มีพลังบำเพ็ญไม่ได้ลึกล้ำเหมือนที่คนอื่นคิด

โดยเฉพาะตอนที่ ‘ท่านนั้น’ มาหาตน

องค์ชายสามหลี่ไป๋หลินบอกกับเขาอย่างมั่นใจว่า หนิงอี้มีพลังบำเพ็ญเพียงขอบเขตกลาง มีโอกาสบรรลุขอบเขตที่หกต่ำมาก!

พญายมน้อยเริ่มตื่นเต้นขึ้นมา

เขาวางแผนสังหารเช่นนี้

ตั้งแต่ต้นจนจบ ค่ายกลสังหารเป็นเหยื่อล่อ ค่ายกลผนึกแสงดาราก็เป็นเหยื่อล่อเช่นกัน

แม้แต่ผู้ฝึกหลอมกายที่มีกายและจิตแข็งแกร่งสามคนนั่นก็เป็นแค่ตัวล่อ

ตัวล่อพวกนี้ได้มาจากหลี่ไป๋หลิน พญายมน้อยรู้ดีว่าองค์ชายสามยินดีไว้ใจตน เพราะตนไม่เคยพลาด คนที่สังหารไม่มีใครหนีรอดไปจากการลงทัณฑ์ของชะตาชีวิตได้

พญายมน้อยซ่อนในเงามืด

เขาอยากเห็นไพ่ตายของหนิงอี้

ตอนนี้เขาเห็นชัดเจนแล้ว

อาจารย์อาน้อยเขาสู่ซานมีค่ายกลสังหารปราณกระบี่อย่างเดียว น่าเสียดายยันต์นั่นใช้ได้แค่ครั้งเดียว เขาเห็นจากที่อีกฝ่ายเก็บยันต์ไปด้วยสีหน้าเสียดายในตอนสุดท้าย ค่ายกลสังหารปราณกระบี่นั่นมีเพียงชิ้นเดียว ไม่มีชิ้นที่สองแล้ว

หนิงอี้ยังมีพินิจเหมันต์อีกเล่ม

พญายมน้อยสังเกตเห็นรายละเอียดอย่างหนึ่ง ตอนที่เด็กหนุ่มออกกระบี่นั้น เหมือนจะมีความเป็นเทพเบาบางไหลเวียน โหมซัดสาดไปตามการออกกระบี่

บนถนนนิมิตชาด เขาก็สังเกตเห็นรายละเอียดนี้เช่นกัน

หนิงอี้มีโชควาสนาที่สุดยอดเหมือนกัน

เขาเลียริมฝีปาก จ้องหนิงอี้ที่อาจจะปล่อยปละละเลยได้ทุกเมื่อ จิตสังหารในดวงตาถูกซ่อนไว้อย่างดียิ่ง ซ่อนตัวอยู่กลางหมอก วิชาอำพรางชั้นยอดของจวนปฐพีนี้ทำให้เขาใช้พลังบำเพ็ญขอบเขตกลางปฏิบัติการได้อย่างชำนาญภายใต้สัมผัสของคุณชายคราม ตอนนั้นบนถนนนิมิตชาด ต่อให้จงหลีกับกู้ชางสองคนมาพร้อมกัน ห่างกับตนใกล้ขนาดนี้ ก็ยังไม่ถูกพบ

จิตสังหารของเขาจะต้องปล่อยในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด

จากนั้นลากหนิงอี้ลงหุบเหวลึกในทีเดียว!

ท่ามกลางฝุ่นควันจวนถล่ม เขาดึงลูกธนูเล็กและยาวออกมาช้าๆ ขึ้นคันศรอย่างเงียบเชียบ ธนูสั้นนี้เหมาะกับการลอบสังหาร ตัวคันศรพันด้วยงูมังกรดำ ดูน่าสยดสยองมาก

หัวธนูอาบยาพิษ

ใต้เท้าของพญายมน้อยเหยียบตาค่ายกลผนึกแสงดารานั้นไว้ เขาไม่ส่งเสียงใดๆ เหมือนกับก้อนหินแห้ง เต่าแก่ตาย หลังง้างคันศรจนตึง ก็เตรียมจะปลดค่ายกลนี้ตลอดเวลา

ให้แสงดาราหลั่งไหลเข้าไปในหัวธนู ให้ลูกธนูนี้…ปลิดชีวิตอาจารย์อาน้อยเขาสู่ซาน

เขาต้องรอโอกาสที่ดีที่สุด

หนิงอี้สังหารผู้ฝึกหลอมกายไปสามคน

หนิงอี้เก็บกระบี่

หนิงอี้…พ่นลมหายใจยาว

จนถึงตอนนี้ พญายมน้อยยังไม่ลงมือ

เขาต้องรอให้เด็กหนุ่มนามหนิงอี้ละความระแวงลงทั้งหมด ไม่อกสั่นขวัญแขวนใดๆ อีก

การลอบสังหารครั้งนี้ ความจริงแผนการไม่ได้สมบูรณ์แบบ

เดิมทีเขาคิดว่าหนิงอี้ไม่ใช่ผู้ฝึกหลอมกายที่แข็งแกร่งเท่าไร แต่ไม่นึกเลยว่ากายและจิตของอาจารย์อาน้อยเขาสู่ซานคนนี้จะเหนือกว่าขอบเขตแสงดาราขั้นหนึ่ง

หากกายและจิตของหนิงอี้ไม่แกร่งพอ เช่นนั้นการจัดการค่ายกลสังหารนั้นจะเป็นปัญหาเล็กน้อย รับมือกับผู้ฝึกหลอมกายสามคนก็จะเป็นเรื่องอันตราย หากเป็นอย่างนั้น ถึงตอนนี้ ธนูของเขาก็จะเป็นหมันไป

พญายมน้อยหรี่ตาลงข้างหนึ่ง

พญายมน้อยกำลังรอหนิงอี้หายใจครั้งที่สอง

หนิงอี้ไม่รีบร้อนจากไป แต่ยืนอยู่ที่เดิม ตระหนักกระบี่นั้นบนถนนนิมิตชาดเงียบๆ กระบี่นั้นที่ตนเพิ่งออกไปมีเค้าโครงอยู่บ้าง ยังขาดไปเล็กน้อย

เขามองไปรอบๆ สัมผัสไม่ได้ถึงจิตสังหารใดๆ เลย

หนิงอี้พูดพึมพำ “ยังขาดอีกนิด ขาดที่ใดกัน…” ดฮณ๊ฯดฯฌซ,

หนิงอี้พ่นลมหายใจเบาๆ

พญายมน้อยคีบนิ้วมือที่ขนนกธนู พร้อมจะปล่อยทุกเมื่อ

ลมหายใจที่สองของหนิงอี้ไม่ยาวอีก นี่หมายความว่าเขาลดความระวังลงแล้ว

หนิงอี้สูดลมหายใจเข้าที่สาม ก็ยังพ่นลมหายใจเบาเหมือนเดิม

พญายมน้อยยกเท้าที่เหยียบค่ายกลออก

แสงดารามหาศาลถาโถมเต็มฟ้า แสงดาราจุดสูงสุดขอบเขตที่หกหลั่งไหลเข้าไปในหัวธนูทั้งหมด!

ลูกธนูพุ่งออกไป!

แสงดาราสว่างไสว มาพร้อมกับเงามืด จะปลิดชีวิตคนหนึ่ง

หมอกดำถูกธนูทะลวง ทิศทางที่ปลายหัวธนูชี้ไป เด็กหนุ่มที่หันหลังให้มือสังหารเผยใบหน้าเข้าใจแจ่มแจ้งขึ้น

หนิงอี้พูดงึมงำ “ที่แท้ก็ขาดตรงนี้”

……

คนอยู่กระบี่อยู่

หัวหลุดจากตัวได้ แต่กระบี่ห้ามหลุดจากมือ

นี่เป็นคำสอนที่สวีจั้งสอนหนิงอี้ หนิงอี้จดจำไว้ในใจมาตลอด

เดินทางในยุทธภพต้องออกดาบออกกระบี่ อาจจะเพียงแค่เสี้ยวพริบตาเดียว ของใครออกฝักช้ากว่า คนนั้นแพ้

บ่อยครั้ง แพ้ หมายถึงความตาย

หนิงอี้ชักกระบี่ออกจากฝักเร็วมาก

เพราะกระบี่เขาไม่มีฝัก ฝักนั้นตายไปพร้อมกับสวีจั้งแล้ว

ไม่ใช่แค่เพราะพินิจเหมันต์ไม่มีฝัก

แต่เพราะประสาทสัมผัสของหนิงอี้เร็วกว่าผู้ฝึกกระบี่ในขอบเขตเดียวกันมาก

ขอบเขตราชันดารา ผู้บำเพ็ญที่มีประสาทสัมผัสแกร่งที่สุด ในสี่เขตแดน คนที่เป็นที่ยอมรับคือพันกรแห่งเขาสู่ซาน และพันกร แม้จะมีศักดิ์เป็นศิษย์พี่หญิงของหนิงอี้ แต่ความจริงเป็นอาจารย์ของหนิงอี้

พันกรเคยบอกว่า คำว่าสัมผัส…ต้องใช้แสงดาราและลางสังหรณ์

แต่ไม่ใช้ดวงเด็ดขาด

คนที่อาศัยดวงสัมผัสพวกนั้นตายกันหมดแล้ว

หนิงอี้ได้รับสืบทอดมรดกจากพันกร คำว่าสัมผัส สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องพึ่ง…การคาดเดา

ไม่ใช่คาดเดามั่ว แต่เป็นการครุ่นคิดอย่างหนักในเวลาอันสั้น จากนั้นไปตามหา

ตนก้าวสู่ตรอกเล็กนี้ก็เริ่ม ‘สัมผัส’ แล้วว่าผนังกำแพงนี้หนาเท่าไร มีค่ายกลหรือไม่ หากมี จะเริ่มด้วยรูปแบบใด จะจบลงด้วยรูปแบบใด

หนิงอี้คาดเดาว่าจะเริ่มด้วยรูปแบบนี้

เขาคาดเดาได้ด้วยว่าจะไม่จบลงแค่ตนสังหารผู้ฝึกหลอมกายสามคน

สิ่งที่รอเขาอยู่ยังมีกระบวนท่าสังหารที่อันตรายยิ่งกว่า ยิ่งคลื่นลมสงบมากเท่าไรก็ยิ่งซ่อนไว้ลึกมากเท่านั้น

ดังนั้นเขาจึงนึกถึงเงาที่สบตากับตนบนชายคาถนนนิมิตชาดนั้น

“พญายมน้อย”

เด็กหนุ่มที่เอ่ยสี่คำเบาๆ ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย มือข้างหนึ่งกดด้ามกระบี่พินิจเหมันต์ กดจนตัวกระบี่โค้ง วาดเป็นเส้นโค้งสมบูรณ์แบบสองสาย ไอรีนโนเวล

แสงกระบี่พาดผ่าน หนิงอี้ใช้สองมือจับกระบี่ ฟันจากบนลงล่าง

‘แก๊ง’

เสียงโลหะกระทบดังขึ้น

พินิจเหมันต์ที่โดดเด่นเรื่องความคมที่สุดในใต้หล้าชนกับหัวธนูที่พุ่งมาอย่างรวดเร็วนั้นอย่างแรง แรงมหาศาลดันหนิงอี้ให้ถอยไปไม่หยุด สุดท้ายทรงตัวได้ ข้างหน้าเป็นร่องเล็กยาวหลายจั้ง

ลูกธนูนั้นถูกฟันขาด ตัวธนูจากเหล็กขาดเป็นสองส่วน เสียบอยู่กับพินิจเหมันต์

หนิงอี้ยังคงอยู่ในท่าสองมือถือกระบี่ฟัน หยัดกายยืนตรงช้าๆ ปลายกระบี่ชี้ลง หัวธนูที่บิดเบี้ยวเป็นเหล็กเสียถูกเขาโยนลงพื้น

ธนูนี่น่ากลัวจริงๆ

หากตนไม่มี ‘สัมผัส’ มาในทางที่ถูกต้อง เช่นนั้นตนคงตายด้วยธนูนี้แล้ว

‘เมืองหลวง บ้านใหญ่อยู่ยาก’ จริงๆ ใต้เท้าบุตรสวรรค์ก็ยังมีคนกล้าทำการเช่นนี้

หนิงอี้ปลงอยู่ในใจ ที่หลี่ไป๋หลินไม่เกรงกลัวเช่นนี้ เกรงว่าคงเพราะเชิญมือสังหารระดับสุดยอดของจวนปฐพีมาลอบสังหารตน

แม้ลูกธนูนี้จะไม่สัมฤทธิผล แต่กำแพงของทั้งบ้านก็พังถล่มลงด้วยแรงปะทะจากคลื่นลม

“พญายมน้อยผู้ไม่เคยพลาด…เป็นชื่อเสียงที่น่าตกใจจริงๆ”

หนิงอี้มองตรงเงามืดที่อบอวลด้วยหมอกนั้น พลางเอ่ยหน้านิ่งๆ “เจ้าไม่ลอบสังหารคุณชายคราม เพราะไม่กล้ากระมัง พลังบำเพ็ญมีเพียงขอบเขตที่หก…ดังนั้นเลยจับตามองข้ารึ”

เงานั้นไม่พูด เพียงแค่ขึ้นลำธนูดอกที่สองเงียบๆ

มือสังหารพลาด โจมตีครั้งเดียวต้องหนี

แต่ตอนนี้ไม่ใช่แบบนั้น

“แค้นกันถึงตายเลยรึ” หนิงอี้หัวเราะ “ค่ายกลกั้นเสียงพังแล้ว อีกไม่นานจะมีคนมาที่ตรอกนี้ ใต้เท้าบุตรสวรรค์ เจ้าไม่กลัวว่าจะมีชีวิตฆ่าข้า แต่ไม่มีชีวิตหนีรอดรึ”

พญายมน้อยที่เล็งธนูใส่หนิงอี้มีใบหน้าไร้คลื่นอารมณ์

จริง การต่อสู้ทำลายตรอกฝนพรำไปเจ็ดแปดส่วนแล้ว อีกเดี๋ยวจะมีคนมา

แต่เมื่อนึกถึงคำสัญญาที่ตนให้ไว้กับองค์ชายท่านนั้นแล้ว หากตนถอยตอนนี้ เกรงว่าจากนี้จะมีปัญหาตามมามากมาย

เขาจ้องหนิงอี้ตาเขม็ง เอ่ยด้วยเสียงแหบแห้ง “มีชีวิตฆ่าเจ้า ก็พอแล้ว”

……………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด