เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า 72 กฎเหล็กกับเสียงระฆังของต้าสุย

Now you are reading เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า Chapter 72 กฎเหล็กกับเสียงระฆังของต้าสุย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 72 กฎเหล็กกับเสียงระฆังของต้าสุย

สตรีที่ยืนกลางฟ้าดินจับดาบไว้แน่นจนไม่รู้จะแน่นอย่างไรได้อีก

นางเลิกคิ้วขึ้น จิตใจฮึกเหิมเหมือนเด็กหนุ่มจับกระบี่เข้าสู่ยุทธภพครั้งแรก ชุดคลุมสีดำปลิวไสวเป็นชั้นๆ พื้นดินเว้าลงแล้วก็เว้าลงอีก รอยยิ้มของซูมู่เจอมีความบ้าคลั่งเยาว์วัยเสี้ยวหนึ่ง ดูยิ่งใหญ่มาก

ดาบหมึกสีดำนั้นพลันดึงขึ้นจากพื้น พลิกพื้นดินจวนภูเขาคราม พุ่งไปหาบรรพจารย์สำนักศึกษาที่อยู่สูงส่งคนนั้น

ฟันออกไป

นางจะทะลวงขอบเขตนิพพาน!

บุตรสู่ฟ้าที่กดฝ่ามือลงมามีใบหน้าเรียบนิ่ง รูปลักษณ์เขาไม่ปั่นป่วน ใบหน้าเปลี่ยนจากแก่ชราเป็นหนุ่ม ฝ่ามือกดลง บีบมือช้าๆ พื้นที่สิบจั้งรอบตัวซูมู่เจอ พลังถูกคนบีบไว้ในมืออย่างแน่นหนา ไม่ระบายออก ทั้งโลกถูกกุมไว้

ต่อให้มีกฎเหล็กต้าสุยนั่น บุตรสู่ฟ้าก็ยังมีพลังกำราบมหาศาล

เจ้าจวนขานฟ้ามีสีหน้าซับซ้อน จ้องพื้นที่สิบจั้ง จ้องหญิงที่ชักดาบอย่างกล้าหาญคนนั้น

เขากับซูมู่เจอเป็นผู้บำเพ็ญยุคเดียวกัน หลังจากคุณชายเจ้าหรุย ผู้บำเพ็ญราชันดาราของโลกนี้เหมือนจะสงบลง คนพวกนั้นที่เคยสาบานว่าจะก้าวสู่นิพพาน ปิดปากเงียบ ยุคสมัยแทบจะขาดหาย

ความรุ่งเรืองและเสื่อมโทรมของใต้ฟ้าต้าสุย เจ้าจวนสี่คนของสี่สำนักศึกษาคือตัวแทนที่ดีที่สุด ผู้บำเพ็ญหนุ่มของสำนักศึกษาตะวันสูงกับสำนักศึกษาขุนเขา แบกรับภาระหนักอึ้ง จนถึงตอนนี้ชายชราสองคนเป็นคนกุมอำนาจ ส่วนตนกับซูมู่เจอฝึกบำเพ็ญมาร้อยปี หยุดอยู่ขอบเขตราชันดารา เขาศักดิ์สิทธิ์อื่นล้วนเป็นเช่นนี้ เหล่าผู้บำเพ็ญที่มีพรสวรรค์สุดยอดในตอนนั้น หลังจุดดาราชะตาแล้วก็เดินไปถึงก้าวนั้นที่สำคัญที่สุด แต่ไม่กล้าก้าวออกไปง่ายๆ

ตอนนี้ ซูมู่เจอชักดาบหมึกของตนฟันทำลายโซ่ตรวนทุกอย่างโดยไม่สนใจสิ่งใด จะก้าวทำลายปราการทั้งหมดของขอบเขตราชันดารา

ไม่คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นข้างนอก

หากคืนนี้นางทำสำเร็จ เช่นนั้นสำนักศึกษาถ้ำกวางขาวจะรับฤดูใบไม้ผลิแรกหลังจากพ่ายแพ้มาพันปี

หากคืนนี้นางล้มเหลว เช่นนั้นสำนักศึกษาถ้ำกวางขาว…จะถูกลบนามไปจากโลกนี้ถาวร

แต่สิ่งที่น่าเสียดายยิ่งคือตอนนี้สิ้นสุดลง จะสำเร็จหรือไม่ไม่สำคัญอีกแล้ว

ไพ่ตายของสำนักศึกษาไม่ได้มีแค่อย่างเดียว ปิดผนึกมานานเกินไปจนปุถุชนเริ่มสงสัยการคงอยู่ของไพ่ตาย

อย่างเช่นบุตรสู่ฟ้า อย่างเช่นบุตรยอดขุนนาง…สองไพ่ตายนี้กดความยากลำบากไว้มากมายในโลก หากยังไม่พอ…เช่นนั้นสำนักศึกษาก็อาจจะปลุกการคงอยู่ที่แกร่งกว่าสองท่านนี้มาได้

เจ้าจวนขานฟ้ามีจิตใจไม่แน่นอน มองใบหน้าสตรีห้าวหาญนั้น เขารู้สึกว่าลึกๆ ในใจตนเหมือนมีบางอย่างที่ต่างไปจากเมื่อก่อน

จิตมรรค

จิตมรรคของเขา ทันทีที่ซูมู่เจอทะลวงนิพพานก็ไม่มั่นคงอีก

ซูมู่เจอไม่มองเขาอีก แต่มองบรรพจารย์สำนักศึกษาที่อยู่ห่างไกลในยุคก่อน นางจะก้าวสู่ขั้นแรกของนิพพานภายใต้การกำราบของกฎเมืองหลวงต้าสุย แล้วสู้กับบุตรสู่ฟ้าอย่างยุติธรรม!

การจะช่วยจิตมรรคนี้ ความจริงมีวิธีที่ง่ายและตรงไปตรงมา

ตอนนี้ เจ้าจวนขานฟ้าแค่ปลดผนึกทุกอย่าง ปล่อยแสงดาราแผดเผา เผาอายุขัยทั้งหมดลง ก้าวสู่ขอบเขตนิพพานระหว่างความเป็นตาย ก็จะบอกจิตมรรคนี้ว่าตนไม่เคยสั่นคลอน

แต่เขาไม่ทำเช่นนั้น

เขาเพียงแค่จับกระบี่นิ่งๆ รอฝุ่นดินของคลื่นลมครั้งนี้สงบลง

รอซูมู่เจอทะลวงพลังล้มเหลว จากนั้นปลอบจิตมรรค บอกตนว่าใช้ชีวิตในกาลเวลายาวนานของขอบเขตราชันดารา จะต้องหาโอกาสทะลวงพลังที่เหมาะสมได้แน่

เขายังมีอะไรมากมายที่วางไม่ลง

เขาเห็นโซ่ตรวนอยู่ตรงหน้าตน

เขาเห็นโซ่ตรวนอยู่ในใจตน

ซูมู่เจอพูดไว้ไม่ผิด เขาเห็นทุกอย่าง แต่เขาไม่มีความกล้า…โลกนี้มีกฎมากมาย แต่สิ่งที่ขวางการกระทำของคนหนึ่งมีเพียงตัวเอง

……

แสงสว่างพร่างพราว

จวนภูเขาครามเกิดลำแสงยิ่งใหญ่ที่มองตรงไม่ได้

ฝนตกหนัก

สุ่ยเยวี่ยยืนหน้าหนิงอี้ นางหน้าซีดขาว มองเด็กหนุ่มที่นั่งยองหน้ารูปปั้น แน่นิ่งไม่สนใจอะไรเหมือนเข้าฌาน ก่อนจะยื่นแขนเสื้อมาบังแสงสว่างจ้าแสบตาไว้

“เจ้าสำนัก…ทำสำเร็จแล้วรึ” เสียงสุ่ยเยวี่ยมีความงุนงงเล็กน้อย นางจ้องไปทางซูมู่เจอเขม็ง แต่เห็นไม่ชัดเลยว่าข้างนอกเกิดอะไรขึ้น ประกายสายฟ้าสว่างจ้าไปรอบๆ

เหมือนมีคนยื่นดาบออกมา จากนั้นฟันอะไรบางอย่าง

กลางหมอกไกลๆ

บรรพจารย์ที่สองขาลอยอยู่กลางอากาศมีสีหน้าจริงจัง เขาก้มหน้าลงมองคราบเลือดตรงฝ่ามือตน ปราณดาบไหลเชี่ยวกราก เผาเป็นรอยสีแดงฉาน เขาเช็ดฝ่ามือ กำแน่นแล้วก็คลายออก บาดแผลตรงฝ่ามือฟื้นกลับมาสภาพเต็มเปี่ยมดั่งหยกช้าๆ

ซูมู่เจอฟันดาบลงด้วยพลังทั้งหมด

ไม่ใช่แค่พื้นที่ฝ่ามือโดยรอบสิบจั้ง

แม้แต่งูสายฟ้าใต้เท้าบุตรสู่ฟ้ายังถูกดาบฟันขาดกระจาย

บุตรสู่ฟ้าเงยหน้าขึ้น ขมวดคิ้วพลางเพ่งมองหมอกดำไกลๆ

ปลายดาบส่วนหนึ่งต้านหมอก ยื่นออกมาช้าๆ

ข้างหลังปลายดาบเป็นตัวดาบ หลังตัวดาบเป็นด้ามดาบ ทางนั้นของด้ามดาบเป็นสตรีสูงใหญ่ชุดคลุมดำขาดวิ่น ก้าวออกมาจากหมอกดำฟุ้งกระจาย

เจ้าจวนขานฟ้าหน้าซีดขาว มือที่จับด้ามกระบี่เริ่มสั่น จ้องหญิงที่เดินออกมาจากหมอกนั้น สีหน้าไม่เป็นธรรมชาติอีก

แสงดาราแตกกระจายลุกแผดเผา

หญิงที่ควรตายไปแล้วกลับไม่ตาย

แสงดาราทั้งหมด หลังลุกไหม้แล้วก็เปล่งแสงอ่อนตรงระหว่างคิ้วนาง เหมือนเปลวเพลิงกลุ่มหนึ่ง เป็นสัญลักษณ์ความรุ่งโรจน์ของเกิดใหม่กับนิพพาน เป็นสัญลักษณ์ความกล้าหาญที่เดินสู่ความตายและกำเนิดใหม่

ด่านนี้ขวางคนมาไม่รู้เท่าไรตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

และก็ขวางตนเช่นกัน

แต่กลับขวางซูมู่เจอไม่ได้

ราชันดาราอี๋อู๋มองหญิงที่เดินออกมาจากหมอกและยืนอย่างโอหังนั้น สองมือบีบแน่น บีบจนหินครามใต้ร่างแตกเป็นเศษหิน ระเบิดออกเสียงเบาอย่างยิ่ง

ยอดผู้บำเพ็ญสามสำนักศึกษาเห็นผู้บำเพ็ญที่อาบไฟเกิดใหม่คนนี้แล้ว ลึกๆ ในใจกลับไม่ผ่อนคลายแม้แต่น้อย แต่จริงจังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ชุดคลุมดำในตัวซูมู่เจอลุกไหม้ขึ้นช้าๆ เพลิงดาราไร้รูปพุ่งออกมาอีกครั้ง ล้อมรอบเจ้านายพวกมัน แสดงความยินดีกับการเกิดใหม่ท่ามกลางสายตาทุกคน

“นี่มัน…”

สุ่ยเยวี่ยที่ยืนหน้าหนิงอี้น้ำตาไหลลงมาสองข้างแก้ม นางเหมือนโล่งอกครั้งใหญ่ ข้อนิ้วมือที่บีบจนออกสีเขียวอมขาวถอดสีไปช้าๆ

นางพูดงึมงำ “นิพพาน…นิพพานสำเร็จแล้ว…”

ท่ามกลางความเงียบจนคนหายใจไม่ออก

ซูมู่เจอพ่นลมหายใจขุ่นยาว เป่าควันดำและเศษหินตรงหน้า

ใบหน้านางแน่วแน่และมั่นใจในตัวเอง มองบุตรสู่ฟ้าที่ลอยอยู่หน้าตนไม่ไกลพลางชูดาบหมึกขึ้น

ปลายดาบชี้ไปยังบรรพจารย์คนนั้น

ซูมู่เจอพูดอย่างจริงจัง “ข้ามีหนึ่งดาบ กล้ารับหรือไม่”

บุตรสู่ฟ้าที่ได้ยินคำนี้มีสีหน้าเคร่งขรึม

ทันใดนั้นมีเสียงระฆังยาวและหนักดังขึ้นบนฟ้าไกล ข้ามทั้งภูเขาครามมาที่นี่

เสียงระฆังดังมาจากเมืองหลวง

บุตรสู่ฟ้าเงยหน้าขึ้นช้าๆ มองท้องนภา

ซูมู่เจอขมวดคิ้ว

นางมองฟ้าเช่นกัน

…….

รอบนอกตำหนักวัง รถม้าจำนวนมากล้อมรอบอยู่ คนใหญ่คนโตของสามกรมมากันเนืองแน่นจนระบายออกไม่ได้ เก้ๆ กังๆ ทำอะไรไม่ถูก ต่างถือร่มลงจากรถ ไม่ทันแสดงความเคารพอะไรก็หิ้วชุดคลุมย่ำน้ำเดินไป แต่ทุกคนถูกขวางไว้นอกประตูตำหนักวัง

ฝ่าบาทองค์จักรพรรดิปิดประตูไม่ออกมา

แต่ทุกนาทีที่ผ่านไป…การต่อสู้ของสำนักศึกษามาถึงช่วงสุดท้ายแล้ว สามสำนักศึกษารวมพลเรียบร้อย พร้อมทำลายปราการสำนักศึกษาถ้ำกวางขาวทุกเมื่อ เข้าไปสังหารสำนักศึกษาสตรีที่ไม่ได้ประโยชน์อะไร กำราบปราบปรามครั้งสุดท้าย แต่คนใหญ่คนโตสามกรมที่รู้สึกแปลกๆ ต่างส่งกองกำลังมาขวางไว้

คนใหญ่คนโตของสามกรมกำลังรอคำสั่งจากตำหนักวัง

พวกเขากำลังรอเจตนารมณ์ของฝ่าบาทไท่จง

น้ำฝนตกกระทบพื้น สิ่งที่สาดกระเซ็นไปด้วยกันคือเสียงระฆังหนักอึ้งที่กระเทือนหัวใจและปอดนั้นในตำหนักวัง

เสียงระฆังนั้นหมายความว่าฝ่าบาทท่านนั้นในตำหนักวังคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้

คนใหญ่คนโตของสามกรมเงยหน้าขึ้นมองท้องนภา

บนฟ้าเมืองหลวง น้ำฝนมากมายกัดเซาะยันต์นั้น ยิ่งชะล้างก็ยิ่งเป็นสีแดงสวยงาม

มันจำกัดสิ่งมีชีวิตในระยะร้อยลี้รอบเมืองหลวง ห้ามให้มีใครเหนือกว่าเส้นขอบเขต

ฟ้าแห่งนี้สูงมาก

แต่ยันต์นี้วางอยู่ที่นี่

เช่นนั้นก็ห้ามให้ใครสูงกว่ามัน

เมื่อเสียงระฆังดังกึกก้อง ยันต์สีแดงที่นี่ก็ไม่แดงอีก เริ่มกลับมาเป็นยันต์ธรรมดาช้าๆ

นกบินที่ถูกกดดันอยู่นาน ข้ามฟ้าสูงของจำกัดยันต์นั้น บินไปในฟ้าที่สูงกว่า

คนใหญ่คนโตของสามกรมมีสีหน้าซับซ้อน

ทุกคนในจวนภูเขาครามเหมือนยกภูเขาออกจากอก

กฎเหล็กต้าสุยที่กดอยู่เหนือศีรษะทุกคน ตอนนี้ปลดออกช้าๆ

ซูมู่เจอจ้องบรรพจารย์ที่พลังเพิ่มขึ้นอีกครั้งเขม็ง

ปลดจำกัดของขั้นแรกนิพพานแล้ว

พลังบำเพ็ญของบุตรสู่ฟ้ายังคงเพิ่มขึ้น ใบหน้าเขาหนุ่มขึ้น จอนผมและเส้นผมดำปลิวไสว พลังภายในแขนเสื้อเชื่อมต่อกันไม่ขาดสาย เหมือนธารน้ำใหญ่ไม่อาจขวางกั้น ยากจะจินตนาการได้ว่ากฎเหล็กต้าสุยนั้นกำราบบุตรสู่ฟ้าของสำนักศึกษาไว้โหดเช่นนี้ ตอนนี้ฟื้นกลับมาทั้งหมด พลังก่อนหน้านี้ไม่อาจหยิบยกมาเทียบกันได้เลย

ซูมู่เจอหน้าซีดขาว รู้สึกสิ้นหวังนิดๆ

เสียงระฆังดังผ่านภูเขาคราม ปลดผนึกของกฎเหล็ก ทำให้บรรพจารย์ขอบเขตนิพพานที่ปกครองสำนักศึกษามาร้อยปีและมีกำลังรบแก่กล้าไม่มีใครโดดเด่นไปกว่าเขาคนนี้ ตอนนี้ ออกมือออกเท้าได้เต็มที่

นี่คือเจตนารมณ์ของฝ่าบาทไท่จงหรือ…

นางจับดาบหมึก รู้สึกว่าการต่อต้านทุกอย่างในตอนนี้ ดูเสียแรงเปล่า

……

หลังสิ้นเสียงระฆัง ประตูใหญ่ในตำหนักวังเปิดออก ขุนนางชราที่โค้งตัวมองไปรอบๆ มองคนใหญ่คนโตสามกรม ก่อนจะให้คำตอบที่พวกเขาเฝ้ารอ

“นี่เป็นความเห็นของฝ่าบาท…”

ขุนนางชรานิ่งไป ก่อนก้มหน้าลง พูดเสียงเบามาก “อีกเดี๋ยวจะมีอีกคำสั่ง ขอให้ทุกท่ารออย่างใจเย็น”

เมื่อเอ่ยจบ

เมืองหลวงและจวนภูเขาคราม ทั้งสองที่

ใบหน้าของคนหลายสิบถึงร้อยคน

มีทั้งสับสน มีทั้งสงบนิ่ง มีคนใจสั่นไหว มีคนทำหน้าดีใจ

แต่ในมุมหนึ่ง เด็กหนุ่มที่ถูกทุกคนมองข้าม ยังคงนั่งยองอยู่หน้ารูปปั้นหินตลอด ยังคงท่าทางเดิมเหมือนรูปปั้นไม้ ตั้งแต่ต้นไม่เคยขยับเลย

ตอนนี้หนิงอี้เลิกปลายคิ้วขึ้นช้าๆ

เขาปล่อยสองนิ้วที่หนีบแขนเสื้อนั้นไว้

แขนเสื้อขาด เชื่อมกับมุมเสื้อที่ขาด

…………………………

—————————————-

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด