เจ้าของร้านพิศวง [我真不是邪神走狗] 157
บทที่ 157 : จุดจบของบัค
บ้าจริง! เราควรจะรู้ตั้งนานแล้วว่ามีอะไรผิดแปลก!
บัคสบถเงียบ ๆ ในขณะที่ตรวจสอบสิ่งแวดล้อมที่แปลกใหม่นี้ ก่อนที่จะถอยหลังอย่างระแวง
โถงตรงหน้าเขาดูเหมือนชั้นแรกของคฤหาสน์เก่า ๆ ที่มุมหนึ่งเขาพอจะเห็นขั้นบันใดได้ มีชั้นหนังสือที่เต็มไปด้วยหนังสือเรียงรายอยู่สองข้างทางและยาวเข้าไปในห้องหลายห้องที่ไกลออกไป ที่ใจกลางโถงมีโซฟา โต๊ะน้ำชาและของอื่น ๆ อยู่
หน้าต่างทุกบานปิดสนิท มันขุ่นมัวและบัคก็ไม่สามารถเห็นภาพภายนอกได้
ทว่ามันมีความรู้สึกลี้ลับว่าใครบางคนกำลังเฝ้ามองทุกการเคลื่อนไหวของเขาจากทุกองศา มันรู้สึกเหมือนกับว่ามีใครบางคนที่ซุกซ่อนในความมืดกำลังแอบดูทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในห้อง และมองทุกการขยับตัวของเขา
ในตอนนี้ บัครู้สึกว่าพลังของเขาเหือดหายไปอย่างไร้ร่องรอย ราวกับมันระเหยหายไปในอากาศ ไม่มีร่องรอยใด ๆ ของอีเธอร์รอบตัวเขาเลยสักนิด
เขาไม่แม้แต่จะสัมผัสการมีอยู่ของอีเธอร์ได้เลย…อย่าว่าแต่จะใช้มัน
มันราวกับว่าเขาได้กลายเป็นมนุษย์ธรรมดา ๆ ไปแล้วจริง ๆ!
ในขณะเดียวกัน บัคก็รู้สึกว่าทุกอารมณ์ความรู้สึกที่เขาเสียไปในชั่วชีวิตอันยาวนานของเขาจากการคืนชีพซ้ำ ๆ ได้ประดังประเดกลับเข้ามาหาเขาราวกับสายน้ำที่พัดกระหน่ำ
โทสะ ความไม่รู้ ความกลัว…อารมณ์ที่ไม่เคยชัดเจนได้ขนาดนี้มาก่อนของบัค มันรู้สึกราวกับว่าตัวเองผู้ซึ่งอยู่ใต้น้ำมาเป็นเวลานาน จู่ ๆ ก็สามารถโผล่พ้นน้ำมาได้ แล้วสัมผัสที่ด้านชาของตัวเองก็หวนกลับมา
แต่บัคไม่ได้ต้องการสิ่งเหล่านี้ที่เขาทิ้งไปเมื่อนานมาแล้ว ที่จริงแล้ว มันคือสิ่งเหล่านี้แหละที่ทำให้เขาผู้เป็นบุคคลระดับสูงที่สามารถตัดสินชีวิตของผู้คนมากมายได้ตามอำเภอใจตกลงสู่ขุมนรก สิ่งเหล่านี้ทำให้เขารู้สึกราวกับว่าจิตใจภายในของเขาทั้งหมดสั่นสะท้านและพลังทลาย
เมื่อไม่มีพลัง เขาก็รู้สึกราวกับว่าตัวเองไม่มีอะไรเลย
ความรู้สึกเหนือกว่าที่สามารถชี้เป็นชี้ตายผู้อื่นได้นั้นถูกแทนที่ด้วยความกลัวในความไม่มี
“ไม่ เป็นไปไม่ได้! นี่ต้องเป็นคาถาลวงตาแน่ ๆ!”
“เราต้องใจเย็นลง ตราบใดที่เราเจอเบาะแสแล้วปรับตัวได้ เราก็จะสามารถถอดรหัสพลังของศัตรูได้ พลังศักดิ์สิทธิ์ของเรายังคงมีอยู่…”
บัคปลอบตัวเองอย่างสุดความสามารถ เขาหันหลังกลับไปมองประตูไม้ที่ปิดอยู่ สูดหายใจลึก ๆ แล้วพยายามเปิดมัน
เอี๊ยด!
ประตูถูกล็อกปิด มันไม่สะท้านสะเทือนเลยไม่ว่าเขาจะใช้แรงเปิดมากแค่ไหน อยู่นิ่งราวกับว่ามันเป็นหนึ่งเดียวกับมิตินี้
บัคที่หอบหายใจหนักพลันหยุดลงแล้วจ้องมือทั้งสองของเขาที่กำลูกบิดประตูไว้แน่น
การสั่นไหวน้อย ๆ ในมือของเขานั้นเห็นได้ชัดเหลือเกิน…
จนตอนนั้นเองที่บัคตระหนักได้ว่ามันไม่ใช่แค่มือของเขา ข้อมือ และแขนเท่านั้นที่กำลังสั่นเทิ้ม ร่างของเขาทั้งร่างรวมไปถึงขาก็สั่นระริกและเริ่มอ่อนแรงด้วย
นี่มันจะเป็นไปได้ยังไง!
เป็นไปไม่ได้!
เราจะกลัวได้ยังไง!
ความรู้สึกไร้พลังอย่างแน่นอนที่บัครู้สึกนั้นค่อย ๆ แปรเปลี่ยนไปเป็นความสิ้นหวัง ซึ่งก่อให้เกิดเป็นความหวาดผวาภายในใจเขา
เขาพลันปล่อยลูกบิดประตูราวกับถูกกระแสไฟฟ้าช็อต หน้าอกของเขากระเพื่อมขึ้นลงอย่างหนักในขณะที่บังคับตนเองให้สงบลง
แล้วเขาจึงหันไปทางบันไดที่อยู่มุมห้อง
ผู้ร่ายสร้างฉากนี้ขึ้นมาต้องอยากให้เป้าหมายที่ติดในคาถาของเขาเข้าใจผิดว่าภาพลวงตานี้เป็นความจริงแล้ววางกับดักไว้ในนั้นแน่
หากเขาพยายามคิดในแง่มุมเดียวกับผู้ร่ายแล้วขึ้นไปหาเบาะแสที่ชั้นบน เขาก็จะติดกับดักอย่างแน่นอน แล้วจากนั้นเขาก็จะยิ่งเชื่อโดยไม่รู้ตัวว่าภาพตรงหน้าเขานี้เป็นความจริง แล้วเขาก็จะไม่มีวันออกไปได้
บัคแค่นหัวเราะ เขารู้คาถาลวงตาเหล่านี้ดีเอาเสียมาก ๆ
ดังนั้นทางเดียวที่จะฝ่าออกไปได้ในตอนนี้…ก็คือสืบเบาะแสในชั้นแรกต่อไป!
ใช่แล้ว บัคไม่มีแผนจะขึ้นบันไดไปชั้นบนเลย…
สิ่งที่เขาคาดเดาออกมานั้นเป็นแนวความคิดที่ผู้ร่ายอยากให้เหยื่อที่ติดกับคาถาของเขาคิดทุกประการ และคนส่วนใหญ่ก็คงเดินขึ้นชั้นบนไป แต่แท้ที่จริงแล้วนี่เป็นกับดัก
ไม่มีทางเลยที่ผู้ร่ายจะวางเบาะแสไว้อย่างเรียบร้อยเบ็ดเสร็จที่ชั้นบน เขาต้องทำให้แน่ใจว่าชั้นบนนั้นสมจริงยิ่งกว่า หรือตั้งกับดักเพิ่มเติมไว้ที่สามารถสร้างรอยร้าวในเกราะที่ล้อมหัวใจผู้คนได้
แล้วจากนั้นมันก็จะทำให้เกราะรอบหัวใจของเหยื่อเริ่มพังทลาย แล้วทำลายการปกป้องทางจิตใจในหัวใจของเหนืออย่างช้า ๆ ทีละขั้นตอน
ดังนั้น จากการคิดย้อนกลับ บัคก็สันนิษฐานว่าชั้นแรกนั้นจะเป็นชั้นที่ดูปลอมที่สุด
แม้ว่าสถานที่นี้จะถูกจัดเรียงและสร้างออกมาอย่างสมจริง หนังสือจำนวนมากดูน่าเกรงขามก็ตาม ที่จริงแล้วมันเป็นส่วนที่สร้างขึ้นได้อย่างยากเย็นที่สุด ตราบใดที่บัคสามารถพบตำหนิผิดพลาดในหนังสือสักเล่ม คาถาลวงตานี้ก็จะแหลกสลายไปเองได้!
บัคสูดหายใจลึก ๆ และดึงสติของเขาให้อยู่กับตน สภาพทางจิตใจที่เกือบแหลกสลายถูกทำให้เสถียรอีกครั้ง
เขาพึมพำกับตนเอง “ถ้าเราไม่มีพลังแล้วไง? เรามีความมุ่งมั่นและปัญญาที่เราได้รับมาตลอดชั่วชีวิต ของพวกนี้ทั้งหมดจะไม่หายไป”
“ภาพลวงตาแบบนี้มันห่างไกลเกินกว่าจะล้มฉันได้เฟ้ย!”
บัคขยับเข้าไปใกล้ชั้นหนังสือด้วยสายตาระแวดระวัง และก้าวเดินของเขาก็ใจกล้ามากขึ้นเรื่อย ๆ
ออร่ายิ่งใหญ่ของ ‘อาณาจักรคนตาย’ กลับมาอีกครั้ง
“ไหนดูซิว่าแกเล่นลูกไม้อะไรอยู่” บัคพูดพลางหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากชั้นวาง
—
หลินเจี๋ยสัมผัสได้ว่าเขามีแขกคนแรกในแดนนิมิตที่เขาสร้างขึ้น
ซิลเวอร์พูดไว้ว่า ในตอนที่แดนนิมิตยังสร้างไม่เสร็จดี หรือตอนที่ ‘อำนาจควบคุม’ ยังไม่ถูกสร้างขึ้น สิ่งมีชีวิตบางอย่างจากโลกนิมิตหรือวิญญาณของคนอื่น ๆ ในโลกจริงอาจจะถูกดูดเข้ามาในแดนนิมิตได้โดยไม่ตั้งใจ
‘แต่อย่าห่วงเลย ผู้มาเยือนเหล่านั้นไม่มีอันตรายใดต่อเจ้าหรอก หากเจ้าเห็นสัตว์นิมิตที่เจ้าชอบใจ เจ้าสามารถกระทั่งเลี้ยงมันไว้ในแดนนิมิตของเจ้าในฐานะสัตว์เลี้ยงได้ด้วยนะ’ นั่นคือสิ่งที่ซิลเวอร์เคยพูดไว้
นั่นเป็นเหตุที่หลินเจี๋ยไม่ตระหนก เขากระทั่งเฝ้ามองการกระทำของผู้มาเยือนอย่างสนอกสนใจมากจากมุมมองด้านบน
เขาอดไม่ได้ที่จะคิดถึงตัวเอง เฮ้อ…เจ้าหมอนี่ดูอุบาทว์พอตัวเลย…
มันดูราวกับชิ้นส่วนต่าง ๆ ถูกต่อเข้าให้กันแล้วนวดจนเป็นรูปร่างมนุษย์ นี่คงเป็นสัตว์ประหลาดแปลก ๆ จากโลกนิมิต…
ช่างเถอะ เราก็แค่ฆ่ามันให้ไว ไม่อย่างนั้นถ้ามองมันไปนาน ๆ เราอาจฝันร้ายก็ได้
โอ้…จริงด้วย เรากำลังฝันอยู่แล้วนี่หว่า
เดี๋ยวก่อนนะ ถ้าเป็นแบบนั้น หรือนี่จะเป็นที่มาของฝันร้ายที่ว่านั่น?
สิ่งมีชีวิตจากแดนนิมิตที่บุกรุกเข้าไปในความฝันของคนธรรมดาเหรอ? หลินเจี๋ยคิดเล่น ๆ
ทว่าแม้ว่าเขาจะตัดสินใจอย่างรวดเร็ว แต่หลินเจี๋ยก็ไม่ได้ลงมือทันที การกระทำของสิ่งคล้ายมนุษย์อันพิลึกพิลั่นนั่นดึงความสนใจของเขาไป
เจ้าหมอนั่นดูจะกำลังกลัว เขาพยายามเปิดประตูหนีไปและกระทั่งเริ่มตั้งสติ…บางทีเจ้าสิ่งนี้อาจจะมีสติปัญญาอยู่บ้าง
ทว่าเรื่องเหล่านี้ไม่ได้เปลี่ยนความคิดเห็นของหลินเจี๋ยเลย เขาก็อยากจะทดลองหาขีดจำกัดของแดนนิมิตของเขาเหมือนกัน…
แน่นอนว่าหากเป็นวิญญาณมนุษย์ หลินเจี๋ยก็แน่ใจได้ว่าเขาจะส่งมันออกไปหลังเวลาผ่านไปสักพัก เพราะถึงอย่างไร เขาไม่ต้องใช้สมองก็รู้ดีว่าอะไรจะเกิดขึ้นถ้าร่างกายไม่มีวิญญาณ เขาไม่อยากจะกลายเป็นฆาตกรโดยไม่มีเหตุผลที่ชัดเจนหรอก
หือ? ดูเหมือนมันจะไปหยุดอยู่หน้าชั้นหนังสือ?
หลินเจี๋ยแปลกใจที่ได้เห็นเจ้าสิ่งคล้ายมนุษย์นั้นหยิบหนังสือออกมา
ดวงตาของหลินเจี๋ยเบิกกว้าง มันกระทั่งสนใจวิชาดาราศาสตร์ด้วยแฮะ…
เอ…ในกรณีนี้ เราจะเปิดร้านหนังสือในแดนนิมิตเพื่อขายหนังสือให้พวกสิ่งมีชีวิตในโลกนิมิตด้วยได้ไหมนะ?
ก่อนที่หลินเจี๋ยจะทันได้ครุ่นคิดเพิ่มเติมเกี่ยวกับไอเดียใหม่นี้ ร่างกายของเจ้าสิ่งคล้ายมนุษย์นั้นพลันบิดเบี้ยว มันกรีดร้องราวกับเป็นคนที่อยู่ในรูปวาดสีน้ำมัน ‘เดอะ สกรีม’ แล้วร่างที่เหมือนมนุษย์นั้นก็พลันลุกไหม้ เปลี่ยนเป็นกองเพลิงราวกับกองฟืนที่ถูกจุดไฟ ก่อนที่จะค่อย ๆ สลายกลายเป็นเถ้าถ่าน
เจ้าของร้านหลินที่เพิ่งถูกความทะเยอทะยานสูบฉีดในร่างไปได้ไม่นานตกตะลึงและสับสน เขากะพริบตาปริบ ๆ อย่างจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าเมื่อครู่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
—
ภายใต้ม่านรัตติกาล เหล่าผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่มารวมตัวกันเพราะรางวัลที่โบสถ์แห่งจุดสูงสุดเสนอมานั้น ทุกคนต่างนิ่งสนิท พวกเขาต่างมองไปที่ผู้อยู่ในระดับภัยพิบัติที่กำลังแผ่ออร่าน่ากลัวอยู่เหนือหัว
พวกเขาต่างรอให้อัครสาวกเดือนเสี้ยวข้างแรม หรือผู้มีสมญา ‘ยมทูตคร่าวิญญาณ’ ‘อาณาจักรคนตาย’ และอีกมากมาย ได้ลงมือล้างแค้น
ทุกคนรู้ว่าบาทหลวงทุศีลผู้ทำลายวิหารและสังหารอัครสาวกไปถึงสองคนในคืนเดียวนั้น ในตอนนี้เขาอยู่ในร้านหนังสือซอมซ่อไม่ห่างออกไปเท่าไหร่นั่น
ในตอนนี้ การเผชิญหน้านี้ในสายตาของทุกคนคือการประลองกันอย่างเงียบ ๆ
เมื่อบัคเริ่มลงมือ มันจะกลายเป็นมหาสงครามระหว่างระดับเหนือนภา
แต่ทว่า…
หนึ่งนาทีต่อไป แล้วกลายเป็นห้านาที สิบนาที สามสิบนาที หนึ่งชั่วโมงผ่านไป…ไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ จากร่างที่ลอยอยู่เหนือท้องฟ้านั่นเลยสักนิด
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ?”
“ไม่ใช่ว่าท่านบัคผู้ยิ่งใหญ่จะลงมือแล้วเหรอ? มันจะสว่างอยู่แล้วนะ…”
“นายจะไปรู้อะไรล่ะ? ศึกระดับเหนือนภามันรบกันง่ายขนาดนั้นเลยเรอะ? นายต้องมองภาพรวมสิ!”
“นั่นเป็นไปไม่ได้หรอก บัคกระเหี้ยนกระหือรืออยากลงมือแล้วกระทั่งเดินหน้าเข้าไปแล้ว ทำไมเขาถึงหยุดชะงักไปดื้อ ๆ ตั้งนานสองนานแบบนั้นล่ะ?”
“ดูนั่น เขาขยับแล้ว!”
ในขณะที่เหล่าผู้มีพลังเหนือธรรมชาติหารือกันอยู่นั้นเอง ร่างบนฟ้าก็ขยับในที่สุด…
อัครสาวกเดือนเสี้ยวข้างแรมในชุดดำสั่นไหวในขณะที่มือของเขาเอื้อมไปที่ศีรษะของตน แล้วเขาก็พลันกู่ร้องออกมาสุดเสียง
แล้วจากนั้นก็เกิดประกายไฟเล็ก ๆ ขึ้นอย่างไร้สุ้มเสียง แล้วร่างทั้งร่างของบัคก็กลายเป็นธุลีที่ถูกลมหอบหายไปในท้องฟ้าราตรี…
ไม่เหลือสิ่งใดไว้เลย…
ในพริบตา ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติทุกคนที่นั่นต่างตะลึงงัน แล้วแขนขาของพวกเขาก็ไร้เรี่ยวแรง ความกลัวอันหนาวเหน็บกุมหัวใจของพวกเขาไว้
พวกที่ขี้กลัวหน่อยสัมผัสได้ว่าขาของพวกเขาอ่อนยวบ แล้วพวกเขาก็ร่วงลงไปกองกับพื้น
คนอื่น ๆ พากันหันหลังแล้วเผ่นหนีไปทันที
ในความเงียบงันนั้น ทุกคนต่างหนีเตลิดอย่างลนลาน ไม่มีใครกล้าคิดจะเข้าไปในร้านหนังสืออีกแล้ว…
Comments
เจ้าของร้านพิศวง [我真不是邪神走狗] 157
บทที่ 157 : จุดจบของบัค
บ้าจริง! เราควรจะรู้ตั้งนานแล้วว่ามีอะไรผิดแปลก!
บัคสบถเงียบ ๆ ในขณะที่ตรวจสอบสิ่งแวดล้อมที่แปลกใหม่นี้ ก่อนที่จะถอยหลังอย่างระแวง
โถงตรงหน้าเขาดูเหมือนชั้นแรกของคฤหาสน์เก่า ๆ ที่มุมหนึ่งเขาพอจะเห็นขั้นบันใดได้ มีชั้นหนังสือที่เต็มไปด้วยหนังสือเรียงรายอยู่สองข้างทางและยาวเข้าไปในห้องหลายห้องที่ไกลออกไป ที่ใจกลางโถงมีโซฟา โต๊ะน้ำชาและของอื่น ๆ อยู่
หน้าต่างทุกบานปิดสนิท มันขุ่นมัวและบัคก็ไม่สามารถเห็นภาพภายนอกได้
ทว่ามันมีความรู้สึกลี้ลับว่าใครบางคนกำลังเฝ้ามองทุกการเคลื่อนไหวของเขาจากทุกองศา มันรู้สึกเหมือนกับว่ามีใครบางคนที่ซุกซ่อนในความมืดกำลังแอบดูทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในห้อง และมองทุกการขยับตัวของเขา
ในตอนนี้ บัครู้สึกว่าพลังของเขาเหือดหายไปอย่างไร้ร่องรอย ราวกับมันระเหยหายไปในอากาศ ไม่มีร่องรอยใด ๆ ของอีเธอร์รอบตัวเขาเลยสักนิด
เขาไม่แม้แต่จะสัมผัสการมีอยู่ของอีเธอร์ได้เลย…อย่าว่าแต่จะใช้มัน
มันราวกับว่าเขาได้กลายเป็นมนุษย์ธรรมดา ๆ ไปแล้วจริง ๆ!
ในขณะเดียวกัน บัคก็รู้สึกว่าทุกอารมณ์ความรู้สึกที่เขาเสียไปในชั่วชีวิตอันยาวนานของเขาจากการคืนชีพซ้ำ ๆ ได้ประดังประเดกลับเข้ามาหาเขาราวกับสายน้ำที่พัดกระหน่ำ
โทสะ ความไม่รู้ ความกลัว…อารมณ์ที่ไม่เคยชัดเจนได้ขนาดนี้มาก่อนของบัค มันรู้สึกราวกับว่าตัวเองผู้ซึ่งอยู่ใต้น้ำมาเป็นเวลานาน จู่ ๆ ก็สามารถโผล่พ้นน้ำมาได้ แล้วสัมผัสที่ด้านชาของตัวเองก็หวนกลับมา
แต่บัคไม่ได้ต้องการสิ่งเหล่านี้ที่เขาทิ้งไปเมื่อนานมาแล้ว ที่จริงแล้ว มันคือสิ่งเหล่านี้แหละที่ทำให้เขาผู้เป็นบุคคลระดับสูงที่สามารถตัดสินชีวิตของผู้คนมากมายได้ตามอำเภอใจตกลงสู่ขุมนรก สิ่งเหล่านี้ทำให้เขารู้สึกราวกับว่าจิตใจภายในของเขาทั้งหมดสั่นสะท้านและพลังทลาย
เมื่อไม่มีพลัง เขาก็รู้สึกราวกับว่าตัวเองไม่มีอะไรเลย
ความรู้สึกเหนือกว่าที่สามารถชี้เป็นชี้ตายผู้อื่นได้นั้นถูกแทนที่ด้วยความกลัวในความไม่มี
“ไม่ เป็นไปไม่ได้! นี่ต้องเป็นคาถาลวงตาแน่ ๆ!”
“เราต้องใจเย็นลง ตราบใดที่เราเจอเบาะแสแล้วปรับตัวได้ เราก็จะสามารถถอดรหัสพลังของศัตรูได้ พลังศักดิ์สิทธิ์ของเรายังคงมีอยู่…”
บัคปลอบตัวเองอย่างสุดความสามารถ เขาหันหลังกลับไปมองประตูไม้ที่ปิดอยู่ สูดหายใจลึก ๆ แล้วพยายามเปิดมัน
เอี๊ยด!
ประตูถูกล็อกปิด มันไม่สะท้านสะเทือนเลยไม่ว่าเขาจะใช้แรงเปิดมากแค่ไหน อยู่นิ่งราวกับว่ามันเป็นหนึ่งเดียวกับมิตินี้
บัคที่หอบหายใจหนักพลันหยุดลงแล้วจ้องมือทั้งสองของเขาที่กำลูกบิดประตูไว้แน่น
การสั่นไหวน้อย ๆ ในมือของเขานั้นเห็นได้ชัดเหลือเกิน…
จนตอนนั้นเองที่บัคตระหนักได้ว่ามันไม่ใช่แค่มือของเขา ข้อมือ และแขนเท่านั้นที่กำลังสั่นเทิ้ม ร่างของเขาทั้งร่างรวมไปถึงขาก็สั่นระริกและเริ่มอ่อนแรงด้วย
นี่มันจะเป็นไปได้ยังไง!
เป็นไปไม่ได้!
เราจะกลัวได้ยังไง!
ความรู้สึกไร้พลังอย่างแน่นอนที่บัครู้สึกนั้นค่อย ๆ แปรเปลี่ยนไปเป็นความสิ้นหวัง ซึ่งก่อให้เกิดเป็นความหวาดผวาภายในใจเขา
เขาพลันปล่อยลูกบิดประตูราวกับถูกกระแสไฟฟ้าช็อต หน้าอกของเขากระเพื่อมขึ้นลงอย่างหนักในขณะที่บังคับตนเองให้สงบลง
แล้วเขาจึงหันไปทางบันไดที่อยู่มุมห้อง
ผู้ร่ายสร้างฉากนี้ขึ้นมาต้องอยากให้เป้าหมายที่ติดในคาถาของเขาเข้าใจผิดว่าภาพลวงตานี้เป็นความจริงแล้ววางกับดักไว้ในนั้นแน่
หากเขาพยายามคิดในแง่มุมเดียวกับผู้ร่ายแล้วขึ้นไปหาเบาะแสที่ชั้นบน เขาก็จะติดกับดักอย่างแน่นอน แล้วจากนั้นเขาก็จะยิ่งเชื่อโดยไม่รู้ตัวว่าภาพตรงหน้าเขานี้เป็นความจริง แล้วเขาก็จะไม่มีวันออกไปได้
บัคแค่นหัวเราะ เขารู้คาถาลวงตาเหล่านี้ดีเอาเสียมาก ๆ
ดังนั้นทางเดียวที่จะฝ่าออกไปได้ในตอนนี้…ก็คือสืบเบาะแสในชั้นแรกต่อไป!
ใช่แล้ว บัคไม่มีแผนจะขึ้นบันไดไปชั้นบนเลย…
สิ่งที่เขาคาดเดาออกมานั้นเป็นแนวความคิดที่ผู้ร่ายอยากให้เหยื่อที่ติดกับคาถาของเขาคิดทุกประการ และคนส่วนใหญ่ก็คงเดินขึ้นชั้นบนไป แต่แท้ที่จริงแล้วนี่เป็นกับดัก
ไม่มีทางเลยที่ผู้ร่ายจะวางเบาะแสไว้อย่างเรียบร้อยเบ็ดเสร็จที่ชั้นบน เขาต้องทำให้แน่ใจว่าชั้นบนนั้นสมจริงยิ่งกว่า หรือตั้งกับดักเพิ่มเติมไว้ที่สามารถสร้างรอยร้าวในเกราะที่ล้อมหัวใจผู้คนได้
แล้วจากนั้นมันก็จะทำให้เกราะรอบหัวใจของเหยื่อเริ่มพังทลาย แล้วทำลายการปกป้องทางจิตใจในหัวใจของเหนืออย่างช้า ๆ ทีละขั้นตอน
ดังนั้น จากการคิดย้อนกลับ บัคก็สันนิษฐานว่าชั้นแรกนั้นจะเป็นชั้นที่ดูปลอมที่สุด
แม้ว่าสถานที่นี้จะถูกจัดเรียงและสร้างออกมาอย่างสมจริง หนังสือจำนวนมากดูน่าเกรงขามก็ตาม ที่จริงแล้วมันเป็นส่วนที่สร้างขึ้นได้อย่างยากเย็นที่สุด ตราบใดที่บัคสามารถพบตำหนิผิดพลาดในหนังสือสักเล่ม คาถาลวงตานี้ก็จะแหลกสลายไปเองได้!
บัคสูดหายใจลึก ๆ และดึงสติของเขาให้อยู่กับตน สภาพทางจิตใจที่เกือบแหลกสลายถูกทำให้เสถียรอีกครั้ง
เขาพึมพำกับตนเอง “ถ้าเราไม่มีพลังแล้วไง? เรามีความมุ่งมั่นและปัญญาที่เราได้รับมาตลอดชั่วชีวิต ของพวกนี้ทั้งหมดจะไม่หายไป”
“ภาพลวงตาแบบนี้มันห่างไกลเกินกว่าจะล้มฉันได้เฟ้ย!”
บัคขยับเข้าไปใกล้ชั้นหนังสือด้วยสายตาระแวดระวัง และก้าวเดินของเขาก็ใจกล้ามากขึ้นเรื่อย ๆ
ออร่ายิ่งใหญ่ของ ‘อาณาจักรคนตาย’ กลับมาอีกครั้ง
“ไหนดูซิว่าแกเล่นลูกไม้อะไรอยู่” บัคพูดพลางหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากชั้นวาง
—
หลินเจี๋ยสัมผัสได้ว่าเขามีแขกคนแรกในแดนนิมิตที่เขาสร้างขึ้น
ซิลเวอร์พูดไว้ว่า ในตอนที่แดนนิมิตยังสร้างไม่เสร็จดี หรือตอนที่ ‘อำนาจควบคุม’ ยังไม่ถูกสร้างขึ้น สิ่งมีชีวิตบางอย่างจากโลกนิมิตหรือวิญญาณของคนอื่น ๆ ในโลกจริงอาจจะถูกดูดเข้ามาในแดนนิมิตได้โดยไม่ตั้งใจ
‘แต่อย่าห่วงเลย ผู้มาเยือนเหล่านั้นไม่มีอันตรายใดต่อเจ้าหรอก หากเจ้าเห็นสัตว์นิมิตที่เจ้าชอบใจ เจ้าสามารถกระทั่งเลี้ยงมันไว้ในแดนนิมิตของเจ้าในฐานะสัตว์เลี้ยงได้ด้วยนะ’ นั่นคือสิ่งที่ซิลเวอร์เคยพูดไว้
นั่นเป็นเหตุที่หลินเจี๋ยไม่ตระหนก เขากระทั่งเฝ้ามองการกระทำของผู้มาเยือนอย่างสนอกสนใจมากจากมุมมองด้านบน
เขาอดไม่ได้ที่จะคิดถึงตัวเอง เฮ้อ…เจ้าหมอนี่ดูอุบาทว์พอตัวเลย…
มันดูราวกับชิ้นส่วนต่าง ๆ ถูกต่อเข้าให้กันแล้วนวดจนเป็นรูปร่างมนุษย์ นี่คงเป็นสัตว์ประหลาดแปลก ๆ จากโลกนิมิต…
ช่างเถอะ เราก็แค่ฆ่ามันให้ไว ไม่อย่างนั้นถ้ามองมันไปนาน ๆ เราอาจฝันร้ายก็ได้
โอ้…จริงด้วย เรากำลังฝันอยู่แล้วนี่หว่า
เดี๋ยวก่อนนะ ถ้าเป็นแบบนั้น หรือนี่จะเป็นที่มาของฝันร้ายที่ว่านั่น?
สิ่งมีชีวิตจากแดนนิมิตที่บุกรุกเข้าไปในความฝันของคนธรรมดาเหรอ? หลินเจี๋ยคิดเล่น ๆ
ทว่าแม้ว่าเขาจะตัดสินใจอย่างรวดเร็ว แต่หลินเจี๋ยก็ไม่ได้ลงมือทันที การกระทำของสิ่งคล้ายมนุษย์อันพิลึกพิลั่นนั่นดึงความสนใจของเขาไป
เจ้าหมอนั่นดูจะกำลังกลัว เขาพยายามเปิดประตูหนีไปและกระทั่งเริ่มตั้งสติ…บางทีเจ้าสิ่งนี้อาจจะมีสติปัญญาอยู่บ้าง
ทว่าเรื่องเหล่านี้ไม่ได้เปลี่ยนความคิดเห็นของหลินเจี๋ยเลย เขาก็อยากจะทดลองหาขีดจำกัดของแดนนิมิตของเขาเหมือนกัน…
แน่นอนว่าหากเป็นวิญญาณมนุษย์ หลินเจี๋ยก็แน่ใจได้ว่าเขาจะส่งมันออกไปหลังเวลาผ่านไปสักพัก เพราะถึงอย่างไร เขาไม่ต้องใช้สมองก็รู้ดีว่าอะไรจะเกิดขึ้นถ้าร่างกายไม่มีวิญญาณ เขาไม่อยากจะกลายเป็นฆาตกรโดยไม่มีเหตุผลที่ชัดเจนหรอก
หือ? ดูเหมือนมันจะไปหยุดอยู่หน้าชั้นหนังสือ?
หลินเจี๋ยแปลกใจที่ได้เห็นเจ้าสิ่งคล้ายมนุษย์นั้นหยิบหนังสือออกมา
ดวงตาของหลินเจี๋ยเบิกกว้าง มันกระทั่งสนใจวิชาดาราศาสตร์ด้วยแฮะ…
เอ…ในกรณีนี้ เราจะเปิดร้านหนังสือในแดนนิมิตเพื่อขายหนังสือให้พวกสิ่งมีชีวิตในโลกนิมิตด้วยได้ไหมนะ?
ก่อนที่หลินเจี๋ยจะทันได้ครุ่นคิดเพิ่มเติมเกี่ยวกับไอเดียใหม่นี้ ร่างกายของเจ้าสิ่งคล้ายมนุษย์นั้นพลันบิดเบี้ยว มันกรีดร้องราวกับเป็นคนที่อยู่ในรูปวาดสีน้ำมัน ‘เดอะ สกรีม’ แล้วร่างที่เหมือนมนุษย์นั้นก็พลันลุกไหม้ เปลี่ยนเป็นกองเพลิงราวกับกองฟืนที่ถูกจุดไฟ ก่อนที่จะค่อย ๆ สลายกลายเป็นเถ้าถ่าน
เจ้าของร้านหลินที่เพิ่งถูกความทะเยอทะยานสูบฉีดในร่างไปได้ไม่นานตกตะลึงและสับสน เขากะพริบตาปริบ ๆ อย่างจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าเมื่อครู่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
—
ภายใต้ม่านรัตติกาล เหล่าผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่มารวมตัวกันเพราะรางวัลที่โบสถ์แห่งจุดสูงสุดเสนอมานั้น ทุกคนต่างนิ่งสนิท พวกเขาต่างมองไปที่ผู้อยู่ในระดับภัยพิบัติที่กำลังแผ่ออร่าน่ากลัวอยู่เหนือหัว
พวกเขาต่างรอให้อัครสาวกเดือนเสี้ยวข้างแรม หรือผู้มีสมญา ‘ยมทูตคร่าวิญญาณ’ ‘อาณาจักรคนตาย’ และอีกมากมาย ได้ลงมือล้างแค้น
ทุกคนรู้ว่าบาทหลวงทุศีลผู้ทำลายวิหารและสังหารอัครสาวกไปถึงสองคนในคืนเดียวนั้น ในตอนนี้เขาอยู่ในร้านหนังสือซอมซ่อไม่ห่างออกไปเท่าไหร่นั่น
ในตอนนี้ การเผชิญหน้านี้ในสายตาของทุกคนคือการประลองกันอย่างเงียบ ๆ
เมื่อบัคเริ่มลงมือ มันจะกลายเป็นมหาสงครามระหว่างระดับเหนือนภา
แต่ทว่า…
หนึ่งนาทีต่อไป แล้วกลายเป็นห้านาที สิบนาที สามสิบนาที หนึ่งชั่วโมงผ่านไป…ไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ จากร่างที่ลอยอยู่เหนือท้องฟ้านั่นเลยสักนิด
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ?”
“ไม่ใช่ว่าท่านบัคผู้ยิ่งใหญ่จะลงมือแล้วเหรอ? มันจะสว่างอยู่แล้วนะ…”
“นายจะไปรู้อะไรล่ะ? ศึกระดับเหนือนภามันรบกันง่ายขนาดนั้นเลยเรอะ? นายต้องมองภาพรวมสิ!”
“นั่นเป็นไปไม่ได้หรอก บัคกระเหี้ยนกระหือรืออยากลงมือแล้วกระทั่งเดินหน้าเข้าไปแล้ว ทำไมเขาถึงหยุดชะงักไปดื้อ ๆ ตั้งนานสองนานแบบนั้นล่ะ?”
“ดูนั่น เขาขยับแล้ว!”
ในขณะที่เหล่าผู้มีพลังเหนือธรรมชาติหารือกันอยู่นั้นเอง ร่างบนฟ้าก็ขยับในที่สุด…
อัครสาวกเดือนเสี้ยวข้างแรมในชุดดำสั่นไหวในขณะที่มือของเขาเอื้อมไปที่ศีรษะของตน แล้วเขาก็พลันกู่ร้องออกมาสุดเสียง
แล้วจากนั้นก็เกิดประกายไฟเล็ก ๆ ขึ้นอย่างไร้สุ้มเสียง แล้วร่างทั้งร่างของบัคก็กลายเป็นธุลีที่ถูกลมหอบหายไปในท้องฟ้าราตรี…
ไม่เหลือสิ่งใดไว้เลย…
ในพริบตา ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติทุกคนที่นั่นต่างตะลึงงัน แล้วแขนขาของพวกเขาก็ไร้เรี่ยวแรง ความกลัวอันหนาวเหน็บกุมหัวใจของพวกเขาไว้
พวกที่ขี้กลัวหน่อยสัมผัสได้ว่าขาของพวกเขาอ่อนยวบ แล้วพวกเขาก็ร่วงลงไปกองกับพื้น
คนอื่น ๆ พากันหันหลังแล้วเผ่นหนีไปทันที
ในความเงียบงันนั้น ทุกคนต่างหนีเตลิดอย่างลนลาน ไม่มีใครกล้าคิดจะเข้าไปในร้านหนังสืออีกแล้ว…
Comments