เจ้าของร้านพิศวง [我真不是邪神走狗] 332 : วิธีจัดประเภทอีกแบบหนึ่ง
บทที่ 332 : วิธีจัดประเภทอีกแบบหนึ่ง
รอยยิ้มธุรกิจบนใบหน้าของหลินเจี๋ยค่อย ๆ เลือนหาย แล้วมือที่ยื่นค้างไว้ก็ค่อย ๆ ลดลง
พูดกันจริง ๆ แล้ว เขาไม่ได้โกรธเคืองต่อทัศนคติเดียดฉันท์ที่อีกฝ่ายแสดงออกมาอย่างหยาบคายแต่อย่างใด ชายหนุ่มเจอคนแบบนี้มาเยอะแล้วทั้งก่อนและหลังการย้ายโลก
ถ้าต้องเข่นเขี้ยวพองขนทุกครั้งที่เจอเรื่องแบบนี้ บางทีเขาคงกลายเป็นปลาปักเป้าไปแล้ว
แต่การไม่โกรธก็ไม่ได้หมายความว่าเขาต้องชาชินและปล่อยวางต่ออีกฝ่ายราวกับตัวเองเป็นพระโพธิสัตว์…
การจับมือตอบเป็นมารยาทพื้นฐานที่สุดและแทบไม่ต้องใช้ความพยายามเลยสักนิด เห็นได้ชัดว่าคุณจอห์นคนนี้ไม่ได้ไว้หน้าทั้งสองฝ่ายเลย
หากเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าหลินเจี๋ยจะอารมณ์ดีใจเย็นขนาดไหน เขาก็ไม่มีแผนรักษามาดนักธุรกิจผู้เป็นมิตรกับเจ้าหมอนี่ต่อ
หลินเจี๋ยถอนหายใจ ยักไหล่แล้วพูดอย่างมั่นใจ “ผมก็แค่เจ้าของร้านหนังสือที่ไม่โด่งดังอะไร ไม่ควรค่าให้เอ่ยชื่อหรอกครับ จากฐานะแล้ว ผมกับทุกคนที่นี่ห่างกันเป็นโยชน์เลยล่ะ”
ตอนที่จี้จือซู่แนะนำตัวเขา เธอก็ลังเลเรื่องนี้แหละ
ในตอนนี้ที่เรื่องความร่วมมือระหว่างเขากับบริษัทโรลล์ยังไม่ได้เปิดเผย หากแนะนำตัวเขาเป็นเจ้าของร้านหนังสือธรรมดา ๆ ตรง ๆ บางทีเขาอาจได้รับการดูถูกและกดดันด้วยเจตนาร้ายเพิ่มขึ้น…
ซึ่งนั่นทำให้เธอเครียด
อย่างไรก็ตาม คุณหนูจี้ก็มองข้ามความมุ่งมั่นในการหาเรื่องของเจ้าหมอนี่มากเกินไป… หากพูดให้มีชั้นเชิงหรือเปลี่ยนมุมมองสักนิด เขาก็ไม่ควรจะตั้งคำถามเช่นนี้ต่อจี้จือซู่เลย เพราะนี่มีความเป็นไปได้สูงมากที่คำพูดเหล่านั้นจะไปสบประมาทจี้จือซู่อย่างแรงได้
ดังนั้น การพูดอย่างหยาบคายไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมนี้ก็แสดงว่าถ้าอีกฝ่ายไม่ได้โง่จริง ๆ ก็ไร้ความกลัวและคิดว่าตัวเองจะพูดอย่างไรก็ได้
แม้ว่าหลินเจี๋ยจะคิดว่าเป็นไปได้ที่จะเป็นข้อแรกมากกว่าก็เถอะ แต่หากพูดอย่างเป็นกลาง ความเป็นไปได้ข้อที่สองก็มีโอกาสเป็นไปได้สูงอยู่เช่นกัน
โดยเฉพาะดวงตาจองหองของเจ้าหมอนี่ที่ปิดอย่างไรก็ไม่มิด…
ไม่ใช่แค่หลินเจี๋ยที่มองเห็นเช่นนั้น จี้จือซู่เองก็เช่นกัน
หรือก็คือ…เจ้าหมอนี่มั่นหน้า คิดว่าตัวเองมีสถานะสูงกว่าเมื่อเทียบกับคุณหนูจี้แห่งเครือบริษัทโรลล์?
เมื่อคาดการณ์ด้วยสามัญสำนึกแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปได้เลย เครือบริษัทโรลล์ยืนหยัดเป็นบริษัทการค้าผูกขาดยักษ์ใหญ่อันดับหนึ่งในนอร์ซินมาช้านาน ไม่ว่าใครในงานเลี้ยงนี้ก็ตระหนักได้ถึงน้ำหนักแห่งเงินตราที่หาใครเปรียบไม่ได้ของยักษ์ใหญ่ตนนี้…กระทั่งในเขตกลาง นอกจากฝ่ายการเมืองการปกครองแล้ว คนอื่น ๆ ก็ยังต้องไตร่ตรองทัศนคติของตนต่อเครือบริษัทโรลล์อย่างถี่ถ้วน
แต่ว่า… ถ้าไม่ใช้สามัญสำนึกในการคาดการณ์ล่ะ?
หลินเจี๋ยหรี่ตาแล้วพูดเนือย ๆ “การแนะนำตัวทั้งสองฝ่ายควรกระทำเพื่อความเท่าเทียมจริง ๆ ครับ แต่การให้ผมได้แนะนำตัวเองก็อาจจะเป็นการแสดงความเคารพต่ออีกฝ่ายได้ดีกว่า นี้ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร แต่ผมเกรงว่า…คนที่จู้จี้เรื่องนี้เนี่ย อาจไม่ได้ปรารถนาการให้เกียรติอย่างเท่าเทียมอยู่ตั้งแต่ต้นแล้วหรือเปล่าครับ?”
จอห์นเลื่อนสายตาจากจี้จือซู่ไปยังหลินเจี๋ย เชิดคางขึ้นเล็กน้อยแล้วพูดด้วยรอยยิ้มเสแสร้ง “นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยนะ…เจ้าสามัญชน!”
ความหมายก็คือ คุณในฐานะ ‘สามัญชน’ ไม่เข้าใจหรือว่า…ความแตกต่างทางสถานะระหว่างทั้งสองฝ่ายสำคัญแค่ไหนในการร่วมเสวนา?
นี่อาจจะเป็นการถือตัวเกินพอแล้วจริง ๆ
แต่เห็นได้ชัดว่าจอห์นคิดว่าตัวเองยังถือตัวไม่มากพอ…ความริษยากำลังแผดเผาหัวใจของเขา
ใช่แล้ว จอห์นไม่เคยซ่อนพฤติกรรมการแสดงตัวเป็นเจ้าของจี้จือซู่เลย ในความคิดเห็นของเขา เขาคือหนึ่งในบุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดซึ่งสามารถแข่งขันชิงตำแหน่งลูกเขยของเครือบริษัทโรลล์ได้อย่างแน่นอนที่สุด
จนกระทั่งจี้จือซู่เชิญใครก็ไม่รู้คนนี้มาเป็นคู่เต้นรำคนแรกในงานเลี้ยงวันเกิดครบยี่สิบปีของเธอ
ในฐานะผู้ดีและผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ นักเวทหนุ่มผู้มีความสามารถโดดเด่น จอห์นรู้สึกเหมือนตนเองถูกหยาม!
และตอนนี้ ความหึงหวงก็กำลังบอกให้เขาสั่งสอนเจ้าสามัญชนที่หวังเป็นหนูตกถังข้าวสารคนนี้ให้ไปตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาตัวเองเสีย
“แน่นอน ผมไม่ได้พูดถึงคุณนะ คุณคนไร้ชื่อ”
จอห์นแสร้งยักไหล่อย่างจนใจ แสดงสีหน้าเป็นห่วง “ผมเข้าใจความคิดของสามัญชนพวกนี้ดีมากเลยครับ สำหรับพวกเขาแล้ว ความแตกต่างทางสถานะอาจจะไม่จำเป็นมาก เพราะปกติพวกเขาก็เอาแต่ไล่ตามสิ่งที่พวกเขาเรียกว่าความเท่าเทียมและเสรีภาพ แล้วก็คงคิดว่าพวกผู้ดีก็แค่พวกที่อยู่สบาย ๆ ไปวัน ๆ แต่ว่า…”
เขาบุ้ยใบ้ไปรอบ ๆ “ดูสิ ที่นี่คือจุดที่ใกล้ศูนย์กลางของนอร์ซินมากที่สุด อยู่ตรงกลางโซน A เลย ดูเครื่องประดับที่ประเมินค่าไม่ได้พวกนี้สิ แต่พวกเขาเหรอ? อาศัยอยู่ในถนนที่มีแต่ตัวเลข ตัวหนังสือไม่มีสักตัว หรือกระทั่งในคูน้ำเหม็น ๆ ที่ผังเมืองยังไม่มีระบุ โลกนี้มีความเท่าเทียมด้วยเหรอ?”
“ด้วยความเคารพนะ เครื่องประดับแต่ละชิ้นที่นี่ซื้อทาสระดับต่ำได้เป็นร้อย ๆ เฮะ ๆ… คุณลองเดาดูเถอะว่าทาสพวกนี้จะมาจากไหนได้?”
“…แต่ผมว่าไม่ต้องคิดแล้วล่ะมั้ง คุณคงไม่รู้อยู่ดีแหละ…สำหรับคนมีฐานะแล้ว ทาสที่ซื้อขายได้อย่างถูกกฏหมายก็ยังมีอยู่ นี่เป็นเรื่องที่เขตกลางให้การอนุมัติแล้ว และแน่นอน ในฐานะผู้ดีชั้นสูง เราก็ไม่ต้องทำอะไรเลยที่เกินขอบเขตคำขอที่สมเหตุสมผลของทาสเหล่านี้”
“ผมก็แค่อยากจะถามว่าคุณเข้าใจความหมายของตัวเลขเหล่านี้ไหมครับ? ตัวมันเองแบ่งคนออกเป็นสองประเภท…นั่นคือสามัญชนและผู้ดี”
“เหมือนกับการแบ่งเกรดเครื่องใช้ต่าง ๆ ที่มาอยู่บนโต๊ะอาหารนี่แหละครับ พวกเขาไม่จำเป็นต้องเข้าใจมารยาทบนโต๊ะอาหารก็ได้ เพราะถึงอย่างไร พวกเขาก็จะไม่ได้เห็นเครื่องใช้อื่น ๆ นอกจากตะเกียบ ช้อนและส้อมในชีวิตประจำวันพวกเขาอยู่ดี บางทีพวกเขาอาจคว้าอาหารเข้าปากด้วยมือเลยก็ได้ โอ้คุณพระ! เป็นพฤติกรรมที่สกปรก ต่ำตมและน่าขยะแขยงจริง ๆ!”
แววตาของจอห์นเต็มไปด้วยความประชดประชัน แม้ว่าภายนอกเขาจะดูอ่อนโยนราวกับกำลังพูดถึงมารยาทอย่างชนชั้นสูงอยู่จริง ๆ “แต่คุณก็ต้องทราบนะ ว่ามารยาทพวกนั้นเป็นสัญลักษณ์ของอารยชน”
“และความมีอารยธรรมนี้จะแบ่งคนจากสัตว์…หรือก็คือความต่างระหว่างมนุษย์และปศุสัตว์นั่นแหละ”
สีหน้าของจี้จือซู่เปลี่ยนไปเสียจนไม่อาจอธิบายด้วยคำพูดใด ๆ ได้อีกแล้ว
เธอหน้าเสียและมีสีหน้าบิดเบี้ยวมาก
ในตอนที่จอห์นอ้าปาก เธอก็แทบปรี่เข้าไปทำให้เจ้าคนที่ไม่รู้เสียแล้วว่ากำลังคุยกับใครให้ได้รับบทเรียนที่ยากจะลืมเลือนตลอดชีวิต
แต่ในตอนที่เธอกำลังจะอ้าปากพูดนั้นเอง หลินเจี๋ยกลับยกมือขึ้นหยุดเธอไว้ก่อน
เธอหันกลับมาเห็นหลินเจี๋ยที่มองตรงไปยังจอห์นด้วยสีหน้านิ่งสงบ
“…”
แม้ว่าท่าทีของหลินเจี๋ยจะนิ่งสงบจนเรียกว่าสุภาพอ่อนโยนได้ แต่จี้จือซู่กลับตัวสั่นอย่างไม่รู้ตัว
เพราะเธอพลันค้นพบว่า…ดวงตาที่มืดดำอยู่เสมอคู่นั้นในตอนนี้ไม่มีแสงสว่างอบอุ่นสีเหลืองจาง ๆ อย่างที่เขามักจะมีนับแต่ออกมาจากร้านหนังสือแล้ว เหลือเพียงความมืดล้ำลึกที่มองไม่เห็นก้นบึ้งเท่านั้น
เห็นได้ชัดว่าไม่ว่าจะเป็นทิวทัศน์ห้องโถงสว่างไสวหรืองานเลี้ยงที่มีชีวิตชีวา ภาพอันรื่นเริงเหล่านี้ไม่อาจสะท้อนในดวงตาคู่นั้นได้เลย
“ที่จริงแล้ว ผมรู้สึกว่าสิ่งที่คุณพูดมาก็สมเหตุสมผลอยู่มากเลยนะครับ”
หลินเจี๋ยเผยรอยยิ้มสว่างไสว “ในเมื่อทุกคนในงานเลี้ยงครั้งนี้ล้วนแล้วแต่เป็นแขกของคุณหนูจี้ แต่ถ้าคุณต้องการจัดประเภทแยกย่อยลงไปอีกล่ะก็…”
เจ้าของร้านหนังสือมองจอห์นแล้วพูดเสียงต่ำพร้อมรอยยิ้ม “ผมคิดว่า ระหว่างผมกับคุณเนี่ย ยังมีวิธีจัดประเภทอีกแบบหนึ่งอยู่นะครับ”
—
Comments
เจ้าของร้านพิศวง [我真不是邪神走狗] 332 : วิธีจัดประเภทอีกแบบหนึ่ง
บทที่ 332 : วิธีจัดประเภทอีกแบบหนึ่ง
รอยยิ้มธุรกิจบนใบหน้าของหลินเจี๋ยค่อย ๆ เลือนหาย แล้วมือที่ยื่นค้างไว้ก็ค่อย ๆ ลดลง
พูดกันจริง ๆ แล้ว เขาไม่ได้โกรธเคืองต่อทัศนคติเดียดฉันท์ที่อีกฝ่ายแสดงออกมาอย่างหยาบคายแต่อย่างใด ชายหนุ่มเจอคนแบบนี้มาเยอะแล้วทั้งก่อนและหลังการย้ายโลก
ถ้าต้องเข่นเขี้ยวพองขนทุกครั้งที่เจอเรื่องแบบนี้ บางทีเขาคงกลายเป็นปลาปักเป้าไปแล้ว
แต่การไม่โกรธก็ไม่ได้หมายความว่าเขาต้องชาชินและปล่อยวางต่ออีกฝ่ายราวกับตัวเองเป็นพระโพธิสัตว์…
การจับมือตอบเป็นมารยาทพื้นฐานที่สุดและแทบไม่ต้องใช้ความพยายามเลยสักนิด เห็นได้ชัดว่าคุณจอห์นคนนี้ไม่ได้ไว้หน้าทั้งสองฝ่ายเลย
หากเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าหลินเจี๋ยจะอารมณ์ดีใจเย็นขนาดไหน เขาก็ไม่มีแผนรักษามาดนักธุรกิจผู้เป็นมิตรกับเจ้าหมอนี่ต่อ
หลินเจี๋ยถอนหายใจ ยักไหล่แล้วพูดอย่างมั่นใจ “ผมก็แค่เจ้าของร้านหนังสือที่ไม่โด่งดังอะไร ไม่ควรค่าให้เอ่ยชื่อหรอกครับ จากฐานะแล้ว ผมกับทุกคนที่นี่ห่างกันเป็นโยชน์เลยล่ะ”
ตอนที่จี้จือซู่แนะนำตัวเขา เธอก็ลังเลเรื่องนี้แหละ
ในตอนนี้ที่เรื่องความร่วมมือระหว่างเขากับบริษัทโรลล์ยังไม่ได้เปิดเผย หากแนะนำตัวเขาเป็นเจ้าของร้านหนังสือธรรมดา ๆ ตรง ๆ บางทีเขาอาจได้รับการดูถูกและกดดันด้วยเจตนาร้ายเพิ่มขึ้น…
ซึ่งนั่นทำให้เธอเครียด
อย่างไรก็ตาม คุณหนูจี้ก็มองข้ามความมุ่งมั่นในการหาเรื่องของเจ้าหมอนี่มากเกินไป… หากพูดให้มีชั้นเชิงหรือเปลี่ยนมุมมองสักนิด เขาก็ไม่ควรจะตั้งคำถามเช่นนี้ต่อจี้จือซู่เลย เพราะนี่มีความเป็นไปได้สูงมากที่คำพูดเหล่านั้นจะไปสบประมาทจี้จือซู่อย่างแรงได้
ดังนั้น การพูดอย่างหยาบคายไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมนี้ก็แสดงว่าถ้าอีกฝ่ายไม่ได้โง่จริง ๆ ก็ไร้ความกลัวและคิดว่าตัวเองจะพูดอย่างไรก็ได้
แม้ว่าหลินเจี๋ยจะคิดว่าเป็นไปได้ที่จะเป็นข้อแรกมากกว่าก็เถอะ แต่หากพูดอย่างเป็นกลาง ความเป็นไปได้ข้อที่สองก็มีโอกาสเป็นไปได้สูงอยู่เช่นกัน
โดยเฉพาะดวงตาจองหองของเจ้าหมอนี่ที่ปิดอย่างไรก็ไม่มิด…
ไม่ใช่แค่หลินเจี๋ยที่มองเห็นเช่นนั้น จี้จือซู่เองก็เช่นกัน
หรือก็คือ…เจ้าหมอนี่มั่นหน้า คิดว่าตัวเองมีสถานะสูงกว่าเมื่อเทียบกับคุณหนูจี้แห่งเครือบริษัทโรลล์?
เมื่อคาดการณ์ด้วยสามัญสำนึกแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปได้เลย เครือบริษัทโรลล์ยืนหยัดเป็นบริษัทการค้าผูกขาดยักษ์ใหญ่อันดับหนึ่งในนอร์ซินมาช้านาน ไม่ว่าใครในงานเลี้ยงนี้ก็ตระหนักได้ถึงน้ำหนักแห่งเงินตราที่หาใครเปรียบไม่ได้ของยักษ์ใหญ่ตนนี้…กระทั่งในเขตกลาง นอกจากฝ่ายการเมืองการปกครองแล้ว คนอื่น ๆ ก็ยังต้องไตร่ตรองทัศนคติของตนต่อเครือบริษัทโรลล์อย่างถี่ถ้วน
แต่ว่า… ถ้าไม่ใช้สามัญสำนึกในการคาดการณ์ล่ะ?
หลินเจี๋ยหรี่ตาแล้วพูดเนือย ๆ “การแนะนำตัวทั้งสองฝ่ายควรกระทำเพื่อความเท่าเทียมจริง ๆ ครับ แต่การให้ผมได้แนะนำตัวเองก็อาจจะเป็นการแสดงความเคารพต่ออีกฝ่ายได้ดีกว่า นี้ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร แต่ผมเกรงว่า…คนที่จู้จี้เรื่องนี้เนี่ย อาจไม่ได้ปรารถนาการให้เกียรติอย่างเท่าเทียมอยู่ตั้งแต่ต้นแล้วหรือเปล่าครับ?”
จอห์นเลื่อนสายตาจากจี้จือซู่ไปยังหลินเจี๋ย เชิดคางขึ้นเล็กน้อยแล้วพูดด้วยรอยยิ้มเสแสร้ง “นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยนะ…เจ้าสามัญชน!”
ความหมายก็คือ คุณในฐานะ ‘สามัญชน’ ไม่เข้าใจหรือว่า…ความแตกต่างทางสถานะระหว่างทั้งสองฝ่ายสำคัญแค่ไหนในการร่วมเสวนา?
นี่อาจจะเป็นการถือตัวเกินพอแล้วจริง ๆ
แต่เห็นได้ชัดว่าจอห์นคิดว่าตัวเองยังถือตัวไม่มากพอ…ความริษยากำลังแผดเผาหัวใจของเขา
ใช่แล้ว จอห์นไม่เคยซ่อนพฤติกรรมการแสดงตัวเป็นเจ้าของจี้จือซู่เลย ในความคิดเห็นของเขา เขาคือหนึ่งในบุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดซึ่งสามารถแข่งขันชิงตำแหน่งลูกเขยของเครือบริษัทโรลล์ได้อย่างแน่นอนที่สุด
จนกระทั่งจี้จือซู่เชิญใครก็ไม่รู้คนนี้มาเป็นคู่เต้นรำคนแรกในงานเลี้ยงวันเกิดครบยี่สิบปีของเธอ
ในฐานะผู้ดีและผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ นักเวทหนุ่มผู้มีความสามารถโดดเด่น จอห์นรู้สึกเหมือนตนเองถูกหยาม!
และตอนนี้ ความหึงหวงก็กำลังบอกให้เขาสั่งสอนเจ้าสามัญชนที่หวังเป็นหนูตกถังข้าวสารคนนี้ให้ไปตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาตัวเองเสีย
“แน่นอน ผมไม่ได้พูดถึงคุณนะ คุณคนไร้ชื่อ”
จอห์นแสร้งยักไหล่อย่างจนใจ แสดงสีหน้าเป็นห่วง “ผมเข้าใจความคิดของสามัญชนพวกนี้ดีมากเลยครับ สำหรับพวกเขาแล้ว ความแตกต่างทางสถานะอาจจะไม่จำเป็นมาก เพราะปกติพวกเขาก็เอาแต่ไล่ตามสิ่งที่พวกเขาเรียกว่าความเท่าเทียมและเสรีภาพ แล้วก็คงคิดว่าพวกผู้ดีก็แค่พวกที่อยู่สบาย ๆ ไปวัน ๆ แต่ว่า…”
เขาบุ้ยใบ้ไปรอบ ๆ “ดูสิ ที่นี่คือจุดที่ใกล้ศูนย์กลางของนอร์ซินมากที่สุด อยู่ตรงกลางโซน A เลย ดูเครื่องประดับที่ประเมินค่าไม่ได้พวกนี้สิ แต่พวกเขาเหรอ? อาศัยอยู่ในถนนที่มีแต่ตัวเลข ตัวหนังสือไม่มีสักตัว หรือกระทั่งในคูน้ำเหม็น ๆ ที่ผังเมืองยังไม่มีระบุ โลกนี้มีความเท่าเทียมด้วยเหรอ?”
“ด้วยความเคารพนะ เครื่องประดับแต่ละชิ้นที่นี่ซื้อทาสระดับต่ำได้เป็นร้อย ๆ เฮะ ๆ… คุณลองเดาดูเถอะว่าทาสพวกนี้จะมาจากไหนได้?”
“…แต่ผมว่าไม่ต้องคิดแล้วล่ะมั้ง คุณคงไม่รู้อยู่ดีแหละ…สำหรับคนมีฐานะแล้ว ทาสที่ซื้อขายได้อย่างถูกกฏหมายก็ยังมีอยู่ นี่เป็นเรื่องที่เขตกลางให้การอนุมัติแล้ว และแน่นอน ในฐานะผู้ดีชั้นสูง เราก็ไม่ต้องทำอะไรเลยที่เกินขอบเขตคำขอที่สมเหตุสมผลของทาสเหล่านี้”
“ผมก็แค่อยากจะถามว่าคุณเข้าใจความหมายของตัวเลขเหล่านี้ไหมครับ? ตัวมันเองแบ่งคนออกเป็นสองประเภท…นั่นคือสามัญชนและผู้ดี”
“เหมือนกับการแบ่งเกรดเครื่องใช้ต่าง ๆ ที่มาอยู่บนโต๊ะอาหารนี่แหละครับ พวกเขาไม่จำเป็นต้องเข้าใจมารยาทบนโต๊ะอาหารก็ได้ เพราะถึงอย่างไร พวกเขาก็จะไม่ได้เห็นเครื่องใช้อื่น ๆ นอกจากตะเกียบ ช้อนและส้อมในชีวิตประจำวันพวกเขาอยู่ดี บางทีพวกเขาอาจคว้าอาหารเข้าปากด้วยมือเลยก็ได้ โอ้คุณพระ! เป็นพฤติกรรมที่สกปรก ต่ำตมและน่าขยะแขยงจริง ๆ!”
แววตาของจอห์นเต็มไปด้วยความประชดประชัน แม้ว่าภายนอกเขาจะดูอ่อนโยนราวกับกำลังพูดถึงมารยาทอย่างชนชั้นสูงอยู่จริง ๆ “แต่คุณก็ต้องทราบนะ ว่ามารยาทพวกนั้นเป็นสัญลักษณ์ของอารยชน”
“และความมีอารยธรรมนี้จะแบ่งคนจากสัตว์…หรือก็คือความต่างระหว่างมนุษย์และปศุสัตว์นั่นแหละ”
สีหน้าของจี้จือซู่เปลี่ยนไปเสียจนไม่อาจอธิบายด้วยคำพูดใด ๆ ได้อีกแล้ว
เธอหน้าเสียและมีสีหน้าบิดเบี้ยวมาก
ในตอนที่จอห์นอ้าปาก เธอก็แทบปรี่เข้าไปทำให้เจ้าคนที่ไม่รู้เสียแล้วว่ากำลังคุยกับใครให้ได้รับบทเรียนที่ยากจะลืมเลือนตลอดชีวิต
แต่ในตอนที่เธอกำลังจะอ้าปากพูดนั้นเอง หลินเจี๋ยกลับยกมือขึ้นหยุดเธอไว้ก่อน
เธอหันกลับมาเห็นหลินเจี๋ยที่มองตรงไปยังจอห์นด้วยสีหน้านิ่งสงบ
“…”
แม้ว่าท่าทีของหลินเจี๋ยจะนิ่งสงบจนเรียกว่าสุภาพอ่อนโยนได้ แต่จี้จือซู่กลับตัวสั่นอย่างไม่รู้ตัว
เพราะเธอพลันค้นพบว่า…ดวงตาที่มืดดำอยู่เสมอคู่นั้นในตอนนี้ไม่มีแสงสว่างอบอุ่นสีเหลืองจาง ๆ อย่างที่เขามักจะมีนับแต่ออกมาจากร้านหนังสือแล้ว เหลือเพียงความมืดล้ำลึกที่มองไม่เห็นก้นบึ้งเท่านั้น
เห็นได้ชัดว่าไม่ว่าจะเป็นทิวทัศน์ห้องโถงสว่างไสวหรืองานเลี้ยงที่มีชีวิตชีวา ภาพอันรื่นเริงเหล่านี้ไม่อาจสะท้อนในดวงตาคู่นั้นได้เลย
“ที่จริงแล้ว ผมรู้สึกว่าสิ่งที่คุณพูดมาก็สมเหตุสมผลอยู่มากเลยนะครับ”
หลินเจี๋ยเผยรอยยิ้มสว่างไสว “ในเมื่อทุกคนในงานเลี้ยงครั้งนี้ล้วนแล้วแต่เป็นแขกของคุณหนูจี้ แต่ถ้าคุณต้องการจัดประเภทแยกย่อยลงไปอีกล่ะก็…”
เจ้าของร้านหนังสือมองจอห์นแล้วพูดเสียงต่ำพร้อมรอยยิ้ม “ผมคิดว่า ระหว่างผมกับคุณเนี่ย ยังมีวิธีจัดประเภทอีกแบบหนึ่งอยู่นะครับ”
—
Comments
เจ้าของร้านพิศวง [我真不是邪神走狗] 332 : วิธีจัดประเภทอีกแบบหนึ่ง
บทที่ 332 : วิธีจัดประเภทอีกแบบหนึ่ง
รอยยิ้มธุรกิจบนใบหน้าของหลินเจี๋ยค่อย ๆ เลือนหาย แล้วมือที่ยื่นค้างไว้ก็ค่อย ๆ ลดลง
พูดกันจริง ๆ แล้ว เขาไม่ได้โกรธเคืองต่อทัศนคติเดียดฉันท์ที่อีกฝ่ายแสดงออกมาอย่างหยาบคายแต่อย่างใด ชายหนุ่มเจอคนแบบนี้มาเยอะแล้วทั้งก่อนและหลังการย้ายโลก
ถ้าต้องเข่นเขี้ยวพองขนทุกครั้งที่เจอเรื่องแบบนี้ บางทีเขาคงกลายเป็นปลาปักเป้าไปแล้ว
แต่การไม่โกรธก็ไม่ได้หมายความว่าเขาต้องชาชินและปล่อยวางต่ออีกฝ่ายราวกับตัวเองเป็นพระโพธิสัตว์…
การจับมือตอบเป็นมารยาทพื้นฐานที่สุดและแทบไม่ต้องใช้ความพยายามเลยสักนิด เห็นได้ชัดว่าคุณจอห์นคนนี้ไม่ได้ไว้หน้าทั้งสองฝ่ายเลย
หากเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าหลินเจี๋ยจะอารมณ์ดีใจเย็นขนาดไหน เขาก็ไม่มีแผนรักษามาดนักธุรกิจผู้เป็นมิตรกับเจ้าหมอนี่ต่อ
หลินเจี๋ยถอนหายใจ ยักไหล่แล้วพูดอย่างมั่นใจ “ผมก็แค่เจ้าของร้านหนังสือที่ไม่โด่งดังอะไร ไม่ควรค่าให้เอ่ยชื่อหรอกครับ จากฐานะแล้ว ผมกับทุกคนที่นี่ห่างกันเป็นโยชน์เลยล่ะ”
ตอนที่จี้จือซู่แนะนำตัวเขา เธอก็ลังเลเรื่องนี้แหละ
ในตอนนี้ที่เรื่องความร่วมมือระหว่างเขากับบริษัทโรลล์ยังไม่ได้เปิดเผย หากแนะนำตัวเขาเป็นเจ้าของร้านหนังสือธรรมดา ๆ ตรง ๆ บางทีเขาอาจได้รับการดูถูกและกดดันด้วยเจตนาร้ายเพิ่มขึ้น…
ซึ่งนั่นทำให้เธอเครียด
อย่างไรก็ตาม คุณหนูจี้ก็มองข้ามความมุ่งมั่นในการหาเรื่องของเจ้าหมอนี่มากเกินไป… หากพูดให้มีชั้นเชิงหรือเปลี่ยนมุมมองสักนิด เขาก็ไม่ควรจะตั้งคำถามเช่นนี้ต่อจี้จือซู่เลย เพราะนี่มีความเป็นไปได้สูงมากที่คำพูดเหล่านั้นจะไปสบประมาทจี้จือซู่อย่างแรงได้
ดังนั้น การพูดอย่างหยาบคายไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมนี้ก็แสดงว่าถ้าอีกฝ่ายไม่ได้โง่จริง ๆ ก็ไร้ความกลัวและคิดว่าตัวเองจะพูดอย่างไรก็ได้
แม้ว่าหลินเจี๋ยจะคิดว่าเป็นไปได้ที่จะเป็นข้อแรกมากกว่าก็เถอะ แต่หากพูดอย่างเป็นกลาง ความเป็นไปได้ข้อที่สองก็มีโอกาสเป็นไปได้สูงอยู่เช่นกัน
โดยเฉพาะดวงตาจองหองของเจ้าหมอนี่ที่ปิดอย่างไรก็ไม่มิด…
ไม่ใช่แค่หลินเจี๋ยที่มองเห็นเช่นนั้น จี้จือซู่เองก็เช่นกัน
หรือก็คือ…เจ้าหมอนี่มั่นหน้า คิดว่าตัวเองมีสถานะสูงกว่าเมื่อเทียบกับคุณหนูจี้แห่งเครือบริษัทโรลล์?
เมื่อคาดการณ์ด้วยสามัญสำนึกแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปได้เลย เครือบริษัทโรลล์ยืนหยัดเป็นบริษัทการค้าผูกขาดยักษ์ใหญ่อันดับหนึ่งในนอร์ซินมาช้านาน ไม่ว่าใครในงานเลี้ยงนี้ก็ตระหนักได้ถึงน้ำหนักแห่งเงินตราที่หาใครเปรียบไม่ได้ของยักษ์ใหญ่ตนนี้…กระทั่งในเขตกลาง นอกจากฝ่ายการเมืองการปกครองแล้ว คนอื่น ๆ ก็ยังต้องไตร่ตรองทัศนคติของตนต่อเครือบริษัทโรลล์อย่างถี่ถ้วน
แต่ว่า… ถ้าไม่ใช้สามัญสำนึกในการคาดการณ์ล่ะ?
หลินเจี๋ยหรี่ตาแล้วพูดเนือย ๆ “การแนะนำตัวทั้งสองฝ่ายควรกระทำเพื่อความเท่าเทียมจริง ๆ ครับ แต่การให้ผมได้แนะนำตัวเองก็อาจจะเป็นการแสดงความเคารพต่ออีกฝ่ายได้ดีกว่า นี้ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร แต่ผมเกรงว่า…คนที่จู้จี้เรื่องนี้เนี่ย อาจไม่ได้ปรารถนาการให้เกียรติอย่างเท่าเทียมอยู่ตั้งแต่ต้นแล้วหรือเปล่าครับ?”
จอห์นเลื่อนสายตาจากจี้จือซู่ไปยังหลินเจี๋ย เชิดคางขึ้นเล็กน้อยแล้วพูดด้วยรอยยิ้มเสแสร้ง “นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยนะ…เจ้าสามัญชน!”
ความหมายก็คือ คุณในฐานะ ‘สามัญชน’ ไม่เข้าใจหรือว่า…ความแตกต่างทางสถานะระหว่างทั้งสองฝ่ายสำคัญแค่ไหนในการร่วมเสวนา?
นี่อาจจะเป็นการถือตัวเกินพอแล้วจริง ๆ
แต่เห็นได้ชัดว่าจอห์นคิดว่าตัวเองยังถือตัวไม่มากพอ…ความริษยากำลังแผดเผาหัวใจของเขา
ใช่แล้ว จอห์นไม่เคยซ่อนพฤติกรรมการแสดงตัวเป็นเจ้าของจี้จือซู่เลย ในความคิดเห็นของเขา เขาคือหนึ่งในบุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดซึ่งสามารถแข่งขันชิงตำแหน่งลูกเขยของเครือบริษัทโรลล์ได้อย่างแน่นอนที่สุด
จนกระทั่งจี้จือซู่เชิญใครก็ไม่รู้คนนี้มาเป็นคู่เต้นรำคนแรกในงานเลี้ยงวันเกิดครบยี่สิบปีของเธอ
ในฐานะผู้ดีและผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ นักเวทหนุ่มผู้มีความสามารถโดดเด่น จอห์นรู้สึกเหมือนตนเองถูกหยาม!
และตอนนี้ ความหึงหวงก็กำลังบอกให้เขาสั่งสอนเจ้าสามัญชนที่หวังเป็นหนูตกถังข้าวสารคนนี้ให้ไปตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาตัวเองเสีย
“แน่นอน ผมไม่ได้พูดถึงคุณนะ คุณคนไร้ชื่อ”
จอห์นแสร้งยักไหล่อย่างจนใจ แสดงสีหน้าเป็นห่วง “ผมเข้าใจความคิดของสามัญชนพวกนี้ดีมากเลยครับ สำหรับพวกเขาแล้ว ความแตกต่างทางสถานะอาจจะไม่จำเป็นมาก เพราะปกติพวกเขาก็เอาแต่ไล่ตามสิ่งที่พวกเขาเรียกว่าความเท่าเทียมและเสรีภาพ แล้วก็คงคิดว่าพวกผู้ดีก็แค่พวกที่อยู่สบาย ๆ ไปวัน ๆ แต่ว่า…”
เขาบุ้ยใบ้ไปรอบ ๆ “ดูสิ ที่นี่คือจุดที่ใกล้ศูนย์กลางของนอร์ซินมากที่สุด อยู่ตรงกลางโซน A เลย ดูเครื่องประดับที่ประเมินค่าไม่ได้พวกนี้สิ แต่พวกเขาเหรอ? อาศัยอยู่ในถนนที่มีแต่ตัวเลข ตัวหนังสือไม่มีสักตัว หรือกระทั่งในคูน้ำเหม็น ๆ ที่ผังเมืองยังไม่มีระบุ โลกนี้มีความเท่าเทียมด้วยเหรอ?”
“ด้วยความเคารพนะ เครื่องประดับแต่ละชิ้นที่นี่ซื้อทาสระดับต่ำได้เป็นร้อย ๆ เฮะ ๆ… คุณลองเดาดูเถอะว่าทาสพวกนี้จะมาจากไหนได้?”
“…แต่ผมว่าไม่ต้องคิดแล้วล่ะมั้ง คุณคงไม่รู้อยู่ดีแหละ…สำหรับคนมีฐานะแล้ว ทาสที่ซื้อขายได้อย่างถูกกฏหมายก็ยังมีอยู่ นี่เป็นเรื่องที่เขตกลางให้การอนุมัติแล้ว และแน่นอน ในฐานะผู้ดีชั้นสูง เราก็ไม่ต้องทำอะไรเลยที่เกินขอบเขตคำขอที่สมเหตุสมผลของทาสเหล่านี้”
“ผมก็แค่อยากจะถามว่าคุณเข้าใจความหมายของตัวเลขเหล่านี้ไหมครับ? ตัวมันเองแบ่งคนออกเป็นสองประเภท…นั่นคือสามัญชนและผู้ดี”
“เหมือนกับการแบ่งเกรดเครื่องใช้ต่าง ๆ ที่มาอยู่บนโต๊ะอาหารนี่แหละครับ พวกเขาไม่จำเป็นต้องเข้าใจมารยาทบนโต๊ะอาหารก็ได้ เพราะถึงอย่างไร พวกเขาก็จะไม่ได้เห็นเครื่องใช้อื่น ๆ นอกจากตะเกียบ ช้อนและส้อมในชีวิตประจำวันพวกเขาอยู่ดี บางทีพวกเขาอาจคว้าอาหารเข้าปากด้วยมือเลยก็ได้ โอ้คุณพระ! เป็นพฤติกรรมที่สกปรก ต่ำตมและน่าขยะแขยงจริง ๆ!”
แววตาของจอห์นเต็มไปด้วยความประชดประชัน แม้ว่าภายนอกเขาจะดูอ่อนโยนราวกับกำลังพูดถึงมารยาทอย่างชนชั้นสูงอยู่จริง ๆ “แต่คุณก็ต้องทราบนะ ว่ามารยาทพวกนั้นเป็นสัญลักษณ์ของอารยชน”
“และความมีอารยธรรมนี้จะแบ่งคนจากสัตว์…หรือก็คือความต่างระหว่างมนุษย์และปศุสัตว์นั่นแหละ”
สีหน้าของจี้จือซู่เปลี่ยนไปเสียจนไม่อาจอธิบายด้วยคำพูดใด ๆ ได้อีกแล้ว
เธอหน้าเสียและมีสีหน้าบิดเบี้ยวมาก
ในตอนที่จอห์นอ้าปาก เธอก็แทบปรี่เข้าไปทำให้เจ้าคนที่ไม่รู้เสียแล้วว่ากำลังคุยกับใครให้ได้รับบทเรียนที่ยากจะลืมเลือนตลอดชีวิต
แต่ในตอนที่เธอกำลังจะอ้าปากพูดนั้นเอง หลินเจี๋ยกลับยกมือขึ้นหยุดเธอไว้ก่อน
เธอหันกลับมาเห็นหลินเจี๋ยที่มองตรงไปยังจอห์นด้วยสีหน้านิ่งสงบ
“…”
แม้ว่าท่าทีของหลินเจี๋ยจะนิ่งสงบจนเรียกว่าสุภาพอ่อนโยนได้ แต่จี้จือซู่กลับตัวสั่นอย่างไม่รู้ตัว
เพราะเธอพลันค้นพบว่า…ดวงตาที่มืดดำอยู่เสมอคู่นั้นในตอนนี้ไม่มีแสงสว่างอบอุ่นสีเหลืองจาง ๆ อย่างที่เขามักจะมีนับแต่ออกมาจากร้านหนังสือแล้ว เหลือเพียงความมืดล้ำลึกที่มองไม่เห็นก้นบึ้งเท่านั้น
เห็นได้ชัดว่าไม่ว่าจะเป็นทิวทัศน์ห้องโถงสว่างไสวหรืองานเลี้ยงที่มีชีวิตชีวา ภาพอันรื่นเริงเหล่านี้ไม่อาจสะท้อนในดวงตาคู่นั้นได้เลย
“ที่จริงแล้ว ผมรู้สึกว่าสิ่งที่คุณพูดมาก็สมเหตุสมผลอยู่มากเลยนะครับ”
หลินเจี๋ยเผยรอยยิ้มสว่างไสว “ในเมื่อทุกคนในงานเลี้ยงครั้งนี้ล้วนแล้วแต่เป็นแขกของคุณหนูจี้ แต่ถ้าคุณต้องการจัดประเภทแยกย่อยลงไปอีกล่ะก็…”
เจ้าของร้านหนังสือมองจอห์นแล้วพูดเสียงต่ำพร้อมรอยยิ้ม “ผมคิดว่า ระหว่างผมกับคุณเนี่ย ยังมีวิธีจัดประเภทอีกแบบหนึ่งอยู่นะครับ”
—
Comments
เจ้าของร้านพิศวง [我真不是邪神走狗] 332 : วิธีจัดประเภทอีกแบบหนึ่ง
บทที่ 332 : วิธีจัดประเภทอีกแบบหนึ่ง
รอยยิ้มธุรกิจบนใบหน้าของหลินเจี๋ยค่อย ๆ เลือนหาย แล้วมือที่ยื่นค้างไว้ก็ค่อย ๆ ลดลง
พูดกันจริง ๆ แล้ว เขาไม่ได้โกรธเคืองต่อทัศนคติเดียดฉันท์ที่อีกฝ่ายแสดงออกมาอย่างหยาบคายแต่อย่างใด ชายหนุ่มเจอคนแบบนี้มาเยอะแล้วทั้งก่อนและหลังการย้ายโลก
ถ้าต้องเข่นเขี้ยวพองขนทุกครั้งที่เจอเรื่องแบบนี้ บางทีเขาคงกลายเป็นปลาปักเป้าไปแล้ว
แต่การไม่โกรธก็ไม่ได้หมายความว่าเขาต้องชาชินและปล่อยวางต่ออีกฝ่ายราวกับตัวเองเป็นพระโพธิสัตว์…
การจับมือตอบเป็นมารยาทพื้นฐานที่สุดและแทบไม่ต้องใช้ความพยายามเลยสักนิด เห็นได้ชัดว่าคุณจอห์นคนนี้ไม่ได้ไว้หน้าทั้งสองฝ่ายเลย
หากเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าหลินเจี๋ยจะอารมณ์ดีใจเย็นขนาดไหน เขาก็ไม่มีแผนรักษามาดนักธุรกิจผู้เป็นมิตรกับเจ้าหมอนี่ต่อ
หลินเจี๋ยถอนหายใจ ยักไหล่แล้วพูดอย่างมั่นใจ “ผมก็แค่เจ้าของร้านหนังสือที่ไม่โด่งดังอะไร ไม่ควรค่าให้เอ่ยชื่อหรอกครับ จากฐานะแล้ว ผมกับทุกคนที่นี่ห่างกันเป็นโยชน์เลยล่ะ”
ตอนที่จี้จือซู่แนะนำตัวเขา เธอก็ลังเลเรื่องนี้แหละ
ในตอนนี้ที่เรื่องความร่วมมือระหว่างเขากับบริษัทโรลล์ยังไม่ได้เปิดเผย หากแนะนำตัวเขาเป็นเจ้าของร้านหนังสือธรรมดา ๆ ตรง ๆ บางทีเขาอาจได้รับการดูถูกและกดดันด้วยเจตนาร้ายเพิ่มขึ้น…
ซึ่งนั่นทำให้เธอเครียด
อย่างไรก็ตาม คุณหนูจี้ก็มองข้ามความมุ่งมั่นในการหาเรื่องของเจ้าหมอนี่มากเกินไป… หากพูดให้มีชั้นเชิงหรือเปลี่ยนมุมมองสักนิด เขาก็ไม่ควรจะตั้งคำถามเช่นนี้ต่อจี้จือซู่เลย เพราะนี่มีความเป็นไปได้สูงมากที่คำพูดเหล่านั้นจะไปสบประมาทจี้จือซู่อย่างแรงได้
ดังนั้น การพูดอย่างหยาบคายไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมนี้ก็แสดงว่าถ้าอีกฝ่ายไม่ได้โง่จริง ๆ ก็ไร้ความกลัวและคิดว่าตัวเองจะพูดอย่างไรก็ได้
แม้ว่าหลินเจี๋ยจะคิดว่าเป็นไปได้ที่จะเป็นข้อแรกมากกว่าก็เถอะ แต่หากพูดอย่างเป็นกลาง ความเป็นไปได้ข้อที่สองก็มีโอกาสเป็นไปได้สูงอยู่เช่นกัน
โดยเฉพาะดวงตาจองหองของเจ้าหมอนี่ที่ปิดอย่างไรก็ไม่มิด…
ไม่ใช่แค่หลินเจี๋ยที่มองเห็นเช่นนั้น จี้จือซู่เองก็เช่นกัน
หรือก็คือ…เจ้าหมอนี่มั่นหน้า คิดว่าตัวเองมีสถานะสูงกว่าเมื่อเทียบกับคุณหนูจี้แห่งเครือบริษัทโรลล์?
เมื่อคาดการณ์ด้วยสามัญสำนึกแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปได้เลย เครือบริษัทโรลล์ยืนหยัดเป็นบริษัทการค้าผูกขาดยักษ์ใหญ่อันดับหนึ่งในนอร์ซินมาช้านาน ไม่ว่าใครในงานเลี้ยงนี้ก็ตระหนักได้ถึงน้ำหนักแห่งเงินตราที่หาใครเปรียบไม่ได้ของยักษ์ใหญ่ตนนี้…กระทั่งในเขตกลาง นอกจากฝ่ายการเมืองการปกครองแล้ว คนอื่น ๆ ก็ยังต้องไตร่ตรองทัศนคติของตนต่อเครือบริษัทโรลล์อย่างถี่ถ้วน
แต่ว่า… ถ้าไม่ใช้สามัญสำนึกในการคาดการณ์ล่ะ?
หลินเจี๋ยหรี่ตาแล้วพูดเนือย ๆ “การแนะนำตัวทั้งสองฝ่ายควรกระทำเพื่อความเท่าเทียมจริง ๆ ครับ แต่การให้ผมได้แนะนำตัวเองก็อาจจะเป็นการแสดงความเคารพต่ออีกฝ่ายได้ดีกว่า นี้ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร แต่ผมเกรงว่า…คนที่จู้จี้เรื่องนี้เนี่ย อาจไม่ได้ปรารถนาการให้เกียรติอย่างเท่าเทียมอยู่ตั้งแต่ต้นแล้วหรือเปล่าครับ?”
จอห์นเลื่อนสายตาจากจี้จือซู่ไปยังหลินเจี๋ย เชิดคางขึ้นเล็กน้อยแล้วพูดด้วยรอยยิ้มเสแสร้ง “นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยนะ…เจ้าสามัญชน!”
ความหมายก็คือ คุณในฐานะ ‘สามัญชน’ ไม่เข้าใจหรือว่า…ความแตกต่างทางสถานะระหว่างทั้งสองฝ่ายสำคัญแค่ไหนในการร่วมเสวนา?
นี่อาจจะเป็นการถือตัวเกินพอแล้วจริง ๆ
แต่เห็นได้ชัดว่าจอห์นคิดว่าตัวเองยังถือตัวไม่มากพอ…ความริษยากำลังแผดเผาหัวใจของเขา
ใช่แล้ว จอห์นไม่เคยซ่อนพฤติกรรมการแสดงตัวเป็นเจ้าของจี้จือซู่เลย ในความคิดเห็นของเขา เขาคือหนึ่งในบุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดซึ่งสามารถแข่งขันชิงตำแหน่งลูกเขยของเครือบริษัทโรลล์ได้อย่างแน่นอนที่สุด
จนกระทั่งจี้จือซู่เชิญใครก็ไม่รู้คนนี้มาเป็นคู่เต้นรำคนแรกในงานเลี้ยงวันเกิดครบยี่สิบปีของเธอ
ในฐานะผู้ดีและผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ นักเวทหนุ่มผู้มีความสามารถโดดเด่น จอห์นรู้สึกเหมือนตนเองถูกหยาม!
และตอนนี้ ความหึงหวงก็กำลังบอกให้เขาสั่งสอนเจ้าสามัญชนที่หวังเป็นหนูตกถังข้าวสารคนนี้ให้ไปตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาตัวเองเสีย
“แน่นอน ผมไม่ได้พูดถึงคุณนะ คุณคนไร้ชื่อ”
จอห์นแสร้งยักไหล่อย่างจนใจ แสดงสีหน้าเป็นห่วง “ผมเข้าใจความคิดของสามัญชนพวกนี้ดีมากเลยครับ สำหรับพวกเขาแล้ว ความแตกต่างทางสถานะอาจจะไม่จำเป็นมาก เพราะปกติพวกเขาก็เอาแต่ไล่ตามสิ่งที่พวกเขาเรียกว่าความเท่าเทียมและเสรีภาพ แล้วก็คงคิดว่าพวกผู้ดีก็แค่พวกที่อยู่สบาย ๆ ไปวัน ๆ แต่ว่า…”
เขาบุ้ยใบ้ไปรอบ ๆ “ดูสิ ที่นี่คือจุดที่ใกล้ศูนย์กลางของนอร์ซินมากที่สุด อยู่ตรงกลางโซน A เลย ดูเครื่องประดับที่ประเมินค่าไม่ได้พวกนี้สิ แต่พวกเขาเหรอ? อาศัยอยู่ในถนนที่มีแต่ตัวเลข ตัวหนังสือไม่มีสักตัว หรือกระทั่งในคูน้ำเหม็น ๆ ที่ผังเมืองยังไม่มีระบุ โลกนี้มีความเท่าเทียมด้วยเหรอ?”
“ด้วยความเคารพนะ เครื่องประดับแต่ละชิ้นที่นี่ซื้อทาสระดับต่ำได้เป็นร้อย ๆ เฮะ ๆ… คุณลองเดาดูเถอะว่าทาสพวกนี้จะมาจากไหนได้?”
“…แต่ผมว่าไม่ต้องคิดแล้วล่ะมั้ง คุณคงไม่รู้อยู่ดีแหละ…สำหรับคนมีฐานะแล้ว ทาสที่ซื้อขายได้อย่างถูกกฏหมายก็ยังมีอยู่ นี่เป็นเรื่องที่เขตกลางให้การอนุมัติแล้ว และแน่นอน ในฐานะผู้ดีชั้นสูง เราก็ไม่ต้องทำอะไรเลยที่เกินขอบเขตคำขอที่สมเหตุสมผลของทาสเหล่านี้”
“ผมก็แค่อยากจะถามว่าคุณเข้าใจความหมายของตัวเลขเหล่านี้ไหมครับ? ตัวมันเองแบ่งคนออกเป็นสองประเภท…นั่นคือสามัญชนและผู้ดี”
“เหมือนกับการแบ่งเกรดเครื่องใช้ต่าง ๆ ที่มาอยู่บนโต๊ะอาหารนี่แหละครับ พวกเขาไม่จำเป็นต้องเข้าใจมารยาทบนโต๊ะอาหารก็ได้ เพราะถึงอย่างไร พวกเขาก็จะไม่ได้เห็นเครื่องใช้อื่น ๆ นอกจากตะเกียบ ช้อนและส้อมในชีวิตประจำวันพวกเขาอยู่ดี บางทีพวกเขาอาจคว้าอาหารเข้าปากด้วยมือเลยก็ได้ โอ้คุณพระ! เป็นพฤติกรรมที่สกปรก ต่ำตมและน่าขยะแขยงจริง ๆ!”
แววตาของจอห์นเต็มไปด้วยความประชดประชัน แม้ว่าภายนอกเขาจะดูอ่อนโยนราวกับกำลังพูดถึงมารยาทอย่างชนชั้นสูงอยู่จริง ๆ “แต่คุณก็ต้องทราบนะ ว่ามารยาทพวกนั้นเป็นสัญลักษณ์ของอารยชน”
“และความมีอารยธรรมนี้จะแบ่งคนจากสัตว์…หรือก็คือความต่างระหว่างมนุษย์และปศุสัตว์นั่นแหละ”
สีหน้าของจี้จือซู่เปลี่ยนไปเสียจนไม่อาจอธิบายด้วยคำพูดใด ๆ ได้อีกแล้ว
เธอหน้าเสียและมีสีหน้าบิดเบี้ยวมาก
ในตอนที่จอห์นอ้าปาก เธอก็แทบปรี่เข้าไปทำให้เจ้าคนที่ไม่รู้เสียแล้วว่ากำลังคุยกับใครให้ได้รับบทเรียนที่ยากจะลืมเลือนตลอดชีวิต
แต่ในตอนที่เธอกำลังจะอ้าปากพูดนั้นเอง หลินเจี๋ยกลับยกมือขึ้นหยุดเธอไว้ก่อน
เธอหันกลับมาเห็นหลินเจี๋ยที่มองตรงไปยังจอห์นด้วยสีหน้านิ่งสงบ
“…”
แม้ว่าท่าทีของหลินเจี๋ยจะนิ่งสงบจนเรียกว่าสุภาพอ่อนโยนได้ แต่จี้จือซู่กลับตัวสั่นอย่างไม่รู้ตัว
เพราะเธอพลันค้นพบว่า…ดวงตาที่มืดดำอยู่เสมอคู่นั้นในตอนนี้ไม่มีแสงสว่างอบอุ่นสีเหลืองจาง ๆ อย่างที่เขามักจะมีนับแต่ออกมาจากร้านหนังสือแล้ว เหลือเพียงความมืดล้ำลึกที่มองไม่เห็นก้นบึ้งเท่านั้น
เห็นได้ชัดว่าไม่ว่าจะเป็นทิวทัศน์ห้องโถงสว่างไสวหรืองานเลี้ยงที่มีชีวิตชีวา ภาพอันรื่นเริงเหล่านี้ไม่อาจสะท้อนในดวงตาคู่นั้นได้เลย
“ที่จริงแล้ว ผมรู้สึกว่าสิ่งที่คุณพูดมาก็สมเหตุสมผลอยู่มากเลยนะครับ”
หลินเจี๋ยเผยรอยยิ้มสว่างไสว “ในเมื่อทุกคนในงานเลี้ยงครั้งนี้ล้วนแล้วแต่เป็นแขกของคุณหนูจี้ แต่ถ้าคุณต้องการจัดประเภทแยกย่อยลงไปอีกล่ะก็…”
เจ้าของร้านหนังสือมองจอห์นแล้วพูดเสียงต่ำพร้อมรอยยิ้ม “ผมคิดว่า ระหว่างผมกับคุณเนี่ย ยังมีวิธีจัดประเภทอีกแบบหนึ่งอยู่นะครับ”
—
Comments
Pengaturan Membaca
The quick brown fox jumps over the lazy dog
Background :
Font :
Size :