เจ้าวายร้ายทั้งสาม มาให้แม่เลี้ยงอย่างข้ากล่อมเกลาเสียดีๆบทที่ 805 คนเฝ้าประตู
บทที่ 805 คนเฝ้าประตู
เขาคือจ้าวชู!
จ้าวชูยังไม่ตายหรือ?!
เมื่อจ้าวชูเห็นถังหลี่ก็รีบลุกขึ้นวิ่งหนีไปราวกับเจอภูติผีปีศาจ เมื่อถังหลี่และเว่ยฉิงตามไปก็เห็นเขาวิ่งเข้าไปในวัดร้าง โดยรอบมีขอทานหลายคนกำลังนอนอยู่
“ไปให้พ้น ข้าคือองค์ชาย พวกเจ้ายังไม่คุกเข่าเมื่อเห็นข้าอีกหรือ?”
“ฮ่าฮ่าฮ่า องค์ชายหรือ? เช่นนั้นข้าคงเป็นฮ่องเต้แล้วล่ะ เรียกข้าว่าเสด็จพ่อสิ”
หลังจากที่พูดจบเหล่าขอทานวิ่งกรูไปหาจ้าวชู มีเสียงทุบตีตามมา จ้าวชูที่เมื่อครู่ยังเย่อหยิ่ง ส่งเสียงร้องโอดครวญออกมา
เขาเสียสติไปแล้ว
ถังหลี่และเว่ยฉิงมองหน้ากันสักพักก่อนจะหันหลังจากไป
“ท่านไม่ได้บอกว่าจ้าวชูตกหน้าผาไปแล้วหรือ?” ถังหลี่ถาม
“ใช่ เป็นโชคดีของเขาที่ยังมีชีวิตอยู่” เว่ยฉิงพยักหน้า
อย่างไรก็ตาม จ้าวชูก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้แล้ว ถึงแม้เขาจะยังมีชีวิตอยู่ ไม่ว่าเขาจะเป็นคนบ้า โง่เขลา หรือเป็นคนปกติ ก็ไม่อาจบั่นทอนการครองบัลลังก์ของจ้าวจิ่งซวนได้อีก
ชีวิตของจ้าวชูที่เป็นอยู่ในยามนี้ทรมานยิ่งกว่าความตาย
ในอดีตเขาเป็นองค์ชายที่เก่งกาจ มีอำนาจล้นมือ คร่าชีวิตใครต่อใครได้อย่างง่ายดาย แต่ตอนนี้เขากลายเป็นเพียงมดตัวหนึ่งที่้แม้แต่ขอทานก็ยังทุบตีเขาได้ นี่คือผลกรรมที่เขาได้รับ
บางทีจ้าวชูอาจทำเรื่องร้ายกาจมากเกินไป การที่เทียนเต๋าปล่อยเขาไว้เช่นนี้ คงเป็นการลงโทษเขา
“ทั้งจูชุนเจียวและจ้าวชูต่างก็เสียสติไปแล้ว นั่นคือบทลงโทษจากสวรรค์” เว่ยฉิงว่า ถังหลี่เองก็คิดเช่นนั้น
ทั้งถังเป่าและมู่เป่าต่างสับสน พวกเขาอดไม่ได้ที่จะถามมารดา
“ท่านแม่ คนเมื่อครู่คือใครหรือขอรับ?”
“เขาชื่อจ้าวชู เป็นคนที่เลวร้ายมาก …” หญิงสาวหยิบยกเรื่องราวบางอย่างที่จ้าวชูก่อไว้มาเล่าให้เด็กๆฟัง
“ถังเป่า หากเขาเป็นคนจนยากไร้จริงๆ แล้ว เราเห็นใจและให้ความช่วยเหลือเขาได้ แต่คนอย่างจ้าวชูไม่ควรได้รับความกรุณา ลูกอย่าได้เห็นใจสงสารเขาเลย”
หลังจากที่ถังเป่าได้ยินเรื่องของจ้าวชู นางโกรธมาก คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีคนเลวร้ายเช่นนี้อยู่บนโลก ตอนนี้นอกจากนางจะไม่ให้เงินเขาแล้วนางยังอยากทำร้ายเขาอีกด้วย
สำหรับเว่ยฉิงและถังหลี่แล้ว เรื่องของจ้าวชูเป็นเพียงเศษเสี้ยวในการเดินทางครั้งนี้ของพวกเขาเท่านั้น
เช้าวันรุ่งขึ้นพวกเขาก็เดินทางต่อจากภาคใต้มุ่งสู่ภาคเหนือ อุณหภูมิค่อยๆเย็นขึ้นเรื่อยๆ ครึ่งเดือนต่อมารถม้าไม่สามารถวิ่งไปต่อได้แล้ว พวกเขาต้องขี่ม้าไปแทน
ถังหลี่และเว่ยฉิงขี่ม้าคนละตัวโดยมีลูกๆ นั่งไปด้วย
ตอนแรกที่มู่เป่าเริ่มขี่ม้า เด็กน้อยอยู่ในอ้อมแขนของบิดา เขาคิดว่ามันแปลกมาก เขาเอียงตัวไปทางซ้ายทีทางขวาที โชคดีที่เขาตัวเล็กมาก จึงไม่เป็นอุปสรรคต่อการเคลื่อนไหวของบิดา เขานั่งนิ่งๆ อย่างเชื่อฟัง
ถังเป่าดูสง่างามเหมือนเช่นเคย นางนั่งเงียบๆ อยู่ในอ้อมแขนของมารดา พูดเพียงสองสามคำ
“ฮูหยิน นี่เป็นเส้นทางหลางหยา” จู่ๆ เว่ยฉิงก็พูดขึ้น
“เส้นทางหลางหยา?” ถังหลี่งุนงง นางไม่เข้าใจว่าสามีรู้ได้อย่างไร?
“หลายสิบปีก่อนมันคือทางผ่านที่อันตรายของแคว้นต้าโจว ท่านแม่ของข้าเคยประจำอยู่ที่นี่” เว่ยฉิงกล่าว เขารู้เรื่องนี้มาจากท่านลุงสามของเขา ก่อนที่ท่านแม่เขาจะเข้าไปรับตำแหน่งฮองเฮา นางเป็นแม่ทัพหญิงที่ประจำการอยู่ที่นี่ ในสนามรบนางเป็นสตรีที่โดดเด่น เก่งกาจ มารดาของเขามีความสุขมากระหว่างประจำการอยู่ที่หลางหยาแห่งนี้ แต่โชคชะตาบังคับให้นางเข้าไปอยู่ในวังจนต้องกลายเป็นนกน้อยในกรงทองกระทั่งตายจากไป
เว่ยฉิงรู้สึกประทับใจเรื่องนี้ของมารดามาก
ทั้งสองขี่ม้าไปบนภูเขาสูงจินตนาการถึงสตรีที่ยืนถือหอกต่อหน้าชายฉกรรจ์นับหมื่นนับพัน
“นายท่าน นายหญิงขอรับ” ฉือซื่อขี่ม้าเข้ามาหา เขาเพิ่งกลับมาหลังจากออกไปหาที่พัก ในภูเขาที่แห้งแล้งเช่นนี้ หากมีหมู่บ้านคงดีมาก หรืออย่างเลวร้ายที่สุดหาถ้ำที่ปลอดภัยได้ก็พอ
“ข้าเจอหมู่บ้านเล็กๆ ขอรับ ห่างออกไปประมาณครึ่งชั่วยาม ที่นั่นมีบ้านเพียงห้าหรือหกหลังคาเรือนขอรับ” ฉือซื่อรายงาน
ถังหลี่รู้สึกมีความสุขขึ้นมา เป็นการดีที่พวกเขาจะได้พักในบ้านของชาวบ้าน ซึ่งแน่นอนว่าย่อมดีกว่านอนในถ้ำมากนัก
ฉือซื่อนำทางเจ้านายไปยังหมู่บ้าน เนื่องด้วยถนนบนภูเขาไม่สามารถขี่ม้าได้ พวกเขาจึงต้องใช้ลงเดินแล้วจูงม้าแทนหลังจากที่ฝ่าฟันอุปสรรคมามากมาย ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่ง
หมู่บ้านบนภูเขาแห่งนี้ไม่มีไร่นา พวกเขาจึงหาเลี้ยงชีพด้วยการล่าสัตว์ ที่หน้าบ้านของพวกเขามีเหยื่อมากมายแขวนอยู่ ถังหลี่เห็นหญิงสูงอายุผู้หนึ่งยืนอยู่ นางจึงเดินเข้าไปถามไถ่
“ท่านป้า เราเดินทางมาเยี่ยมญาติแถวนี้ ขอพักสักคืนได้หรือไม่หรือไม่?”
หญิงชรามองถังหลี่ เห็นใบหน้าท่าทางกิริยาที่สุภาพใจดีของถังหลี่ อีกทั้งเด็กน้อยทั้งสองก็น่ารัก ซึ่งช่วยลดความดุกระด้างของเว่ยฉิงลงไปมาก
“ได้สิ แต่ว่าพวกเจ้ามีหลายคน ข้ามีห้องว่างเพียงห้องเดียว”
“ท่านมีห้องอื่นที่พอจะพักได้หรือไม่?” ถังหลี่ถามต่อ
หญิงสูงอายุผู้นั้นไปขอความช่วยเหลือจากชาวบ้าน สุดท้ายแล้วครอบครัวของบ้านข้างๆ ก็ยอมให้ห้องนอนห้องหนึ่งแก่พวกเขา ทำให้ปัญหาเรื่องที่พักคลี่คลายลง
ท่านป้าผู้นี้มีครอบครัวขนาดใหญ่ สามีของนางอายุสี่สิบต้นๆ มีลูกชายสามคนและลูกสะใภ้สามคน หลานชายสองคนและหลานสาวสามคน หลานชายคนเล็กอายุเพียงสองสามขวบเท่านั้น เด็กๆ ทุกคนชอบถังเป่ามาก พวกเขาคุยกับนางแม้ว่านางจะไม่คุยด้วยก็ตาม
บนภูเขาแห่งนี้ไม่จำเป็นต้องใช้เงิน ถังหลี่จึงมอบมีดสั้นเล่มหนึ่งให้พวกเขาเป็นของขวัญ เพราะมีดสั้นมีประโยชน์กับพวกนายพรานมากกว่า
ครอบครัวที่พวกเขามาขอความช่วยเหลือเป็นครอบครัวธรรมดา จึงปรุงอาหารอย่างง่ายๆ จำพวกเนื้อย่างต่างๆ มู่เป่าจับขากระต่ายขึ้นแทะจนปากเลอะไปหมด ส่วนถังเป่ากินอย่างเรียบร้อย นางกินได้เยอะทีเดียว
สามีของท่านป้าผู้นั้น แต่แรกเป็นคนเงียบๆ ต่อเมื่อสุราเข้าปากเขาก็เริ่มพูดถึงเรื่องเก่าๆขึ้นมา
“สมัยก่อนแถวนี้โจรชุกมาก ท่านปู่กับบิดาของข้าโดนโจรฆ่าตายหมด มารดาพาข้าไปซ่อนในถ้ำ ในตอนกลางวันนางไม่กล้าออกไปไหนเลย พวกข้าจึงออกหาอาหารกินในตอนกลางคืน ต่อมามีพวกโจรสองคนจะมารังแกมารดาของข้า ข้ารีบวิ่งไปช่วยแต่ก็ทำอะไรพวกมันไม่ได้ ในตอนที่มันจะใช้ดาบฟาดลงที่ตัวข้านั่นเอง จู่ๆ มีดสั้นเล่มหนึ่งก็พุ่งเข้ามา”
“ข้าไม่มีวันลืมภาพนั้นเลยในชั่วชีวิตของข้า ผู้หญิงคนนั้นลงมาจากสวรรค์ราวกับนางฟ้ามาโปรด นางสังหารโจรเหล่านั้นจนหมดแล้วบอกข้าว่า ต่อไปนี้ที่หลางหยาจะมีข้าคอยดูแลคุ้มครอง”
ดวงตาของเขาแดงก่ำเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง “ตั้งแต่นั้นมาที่นี่ก็ไม่มีโจรผู้ร้ายอีกเลย นางเป็นทั้งป้อมปราการและนักบุญที่โอบอุ้มช่วยเหลือพวกเราไว้”
คนในครอบครัวของท่านป้าน่าจะเคยได้ยินเรื่องนี้มานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว พวกเขาจึงไม่ได้มีท่าทีอะไร มีเพียงเว่ยฉิงเท่านั้นที่มีสายตาเหม่อลอย เขามองชายผู้นั้นแล้วเอ่ยปากออกมาว่า
“สตรีที่ช่วยชีวิตเจ้า แซ่เซียวใช่หรือไม่?”
Comments