เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]บทที่ 1301 งานเลี้ยงใหญ่

Now you are reading เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] Chapter บทที่ 1301 งานเลี้ยงใหญ่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 1,301 งานเลี้ยงใหญ่

เดี๋ยวก่อนนะ?

เป็นผู้ใด?

ใครมาหาเขา?

หลินเป่ยเฉินหัวใจกระตุกวูบ ลุกขึ้นเดินออกมาจากบ่อน้ำพุร้อน

เพียงไม่กี่ก้าว เด็กหนุ่มก็สวมใส่เสื้อคลุมเรียบร้อย

ผมสีดำยุ่งเหยิง เดินออกไปหน้าคฤหาสน์ด้วยเท้าเปล่า ควบคุมค่ายอาคมให้เปิดประตูรั้ว

แต่ไม่มีใครอยู่ด้านนอก

อ้าว?

ไม่มีใครเลยสักคน

มีคนเจตนามากลั่นแกล้งเขาเล่นอย่างนั้นหรือ?

หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออก

เขากำลังจะหมุนตัวกลับเข้าคฤหาสน์ แต่ทันใดนั้น…

ลำแสงสีเงินสว่างไสวก็พุ่งผ่านท้องฟ้ายามราตรีตรงมาที่ประตูรั้วคฤหาสน์ของหลินเป่ยเฉิน

เด็กหนุ่มยกมือขึ้นคว้าจับลำแสงนั้นเอาไว้ได้ทัน

มวลพลังกระจายหายไป

เหลือแต่เพียงสิ่งของอย่างหนึ่งที่อยู่ในมือหลินเป่ยเฉินเท่านั้น

เป็นเทียบเชิญฉบับหนึ่ง

‘ค่ำนี้เที่ยงคืนตรง ขอเชิญร่วมงานเลี้ยงใหญ่ แล้วท่านจะได้พบกับสุดยอดเทพเจ้าผู้กล้าหาญจำนวนนับไม่ถ้วน’

เสียงเคาะประตูดังขึ้นก่อนที่เทียบเชิญจะถูกส่งมาอีกหรือนี่?

เพียงพริบตาเดียว มวลพลังที่มาพร้อมกับเทียบเชิญก็สลายหายไปหมดสิ้น

นี่มันอะไรกัน?

หลินเป่ยเฉินรู้สึกพิศวงมึนงง

เขาจ้องมองเทียบเชิญที่อยู่ในมือ

มันทำมาจากทองคำที่บางราวกับแผ่นกระดาษ

ด้านหน้าของซองเทียบเชิญทองคำแกะสลักเป็นลวดลายภูเขาสวยงาม บนท้องฟ้ามีดวงจันทร์สว่างไสว ลายเส้นของการแกะสลักดำเนินไปอย่างเลิศหรู และบริเวณเชิงเขาใต้ดวงจันทร์นั้นก็แกะสลักเป็นข้อความภาษาเทวะอ่านได้ความว่า…

‘งานเลี้ยงเบิกฟ้า’

นี่คือเทียบเชิญเข้าร่วมงานเลี้ยง

ด้านในซองเทียบเชิญแจ้งเวลาและสถานที่ไว้อย่างชัดเจน

เที่ยงคืนตรง บนภูเขาเซินเหลียนในพื้นที่ตอนกลางของเมืองเยี่ยเฉิง งานเลี้ยงใหญ่จะถูกจัดขึ้นทุก ๆ หกสิบปี และในปีนี้หลินเป่ยเฉินก็ได้รับเชิญให้เข้าร่วมงานเลี้ยง

งานเลี้ยงใหญ่อย่างนั้นหรือ?

ฟังดูน่าสนใจดีนี่นา

เหมือนงานเทศกาลหรือปาร์ตี้อะไรสักอย่าง

หลินเป่ยเฉินพยายามนึกถึงความเป็นไปได้ต่าง ๆ

พลัน ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นทางด้านหลัง

ชิงเล่ยสวมใส่เสื้อผ้าเดินเท้าเปล่าตามออกมา

หลินเป่ยเฉินยื่นส่งเทียบเชิญให้นางดูและถามว่า “ท่านพอรู้บ้างหรือไม่ว่างานปาร์ตี้… เอ๊ย งานเลี้ยงใหญ่นี้หมายถึงอะไร?”

ใบหน้ารูปไข่ของชิงเล่ยขมวดคิ้วด้วยความมึนงงสงสัย ก่อนกล่าวว่า “ข้าน้อยเคยได้ยินมาจากบิดามารดาว่างานเลี้ยงใหญ่เช่นนี้จะจัดขึ้นทุก ๆ หกสิบปี และมีแต่นักรบเทวะกับนักเวทชื่อดังเท่านั้นถึงจะถูกเชิญเข้าร่วมงาน ไม่ว่าผู้ใดก็ตามที่ได้รับคำเชิญ ในอนาคตข้างหน้าก็จะกลายเป็นผู้มีชื่อเสียงโด่งดังในดินแดนทวยเทพเจ้าค่ะ”

“เคยมีตำนานเล่าขานว่าขอแค่คนกลุ่มนี้สมัครสมานสามัคคีกันเข้าไว้ พวกเขาก็จะสามารถครอบครองดินแดนทวยเทพได้อย่างง่ายดาย เพราะฉะนั้น การได้รับเชิญเข้าร่วมงานเลี้ยงในครั้งนี้จึงถือเป็นเกียรติสูงสุด เพราะต่อให้มีเงินทองหรือชื่อเสียงก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่รับประกันว่าจะได้รับเทียบเชิญ งานเลี้ยงใหญ่เช่นนี้ต่างก็เป็นที่ใฝ่ฝันของเทพเจ้าจำนวนนับไม่ถ้วนแล้ว”

หืม?

ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นเชียว?

แต่หลินเป่ยเฉินกลับไม่สนใจ เพราะเขาเอาเวลาไปดื่มกินสุราที่งานเลี้ยงนั้นมาฝึกวิชากับชิงเล่ย หรือไม่ก็เข้าไปล่าสัตว์อสูรในหุบผาอเวจีไม่ดีกว่าหรือ?

ชิงเล่ยกล่าวต่อ “ข้าน้อยเคยได้ยินมาอีกเช่นกันว่าทุกครั้งที่มีการจัดงานเลี้ยงใหญ่ ก็จะมีการแจกอาวุธวิเศษและอุปกรณ์ระดับสูงให้แก่แขกผู้มาร่วมงาน ขอแค่มีความสามารถดีพอ ก็จะสามารถกอบโกยอาวุธวิเศษกลับบ้านได้จำนวนนับไม่ถ้วนเลยเจ้าค่ะ…”

“ฮ่า ๆๆ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง”

หลินเป่ยเฉินพลันระเบิดเสียงหัวเราะออกมาด้วยความชอบใจ “ไม่สำคัญหรอกว่าผู้ใดจะมาร่วมงานเลี้ยงบ้าง สิ่งสำคัญก็คือข้าจะปล่อยให้ผู้อื่นมาแย่งชิงของวิเศษเหล่านั้นไปไม่ได้เด็ดขาด… นี่ เสี่ยวชิงชิง เหตุไฉนท่านถึงใส่เสื้อผ้าอีกแล้ว ถอดออกเดี๋ยวนี้ การฝึกวิชาของพวกเรายังไม่จบ”

ระหว่างที่พูด เด็กหนุ่มก็อุ้มชิงเล่ยเดินตรงไปยังบ่อน้ำพุร้อน

ในไม่ช้า ผิวน้ำก็สั่นไหวอย่างรุนแรงและเป็นจังหวะจะโคน

ไม่ใช่เพราะว่าหลินเป่ยเฉินมีเจตนากลั่นแกล้งชิงเล่ย

แต่หลายวันนี้ที่หมั่นฝึกฝนวิชาจากคัมภีร์ของบัณฑิตใบหน้าขาวดำนั้น ระดับพลังในร่างกายของหลินเป่ยเฉินก็คล้ายกับจะเลื่อนขั้นขึ้นสู่อีกระดับ และในช่วงเวลาที่สำคัญเช่นนี้ เขาจะประมาทไม่ได้เด็ดขาด ตราบใดที่มีเวลาฝึกวิชาก็ต้องตักตวงเอาไว้ก่อน และสำหรับชิงเล่ยผู้ที่กำลังจะเตรียมตัวเรียนวิชาเวทมนตร์ นี่ก็ถือเป็นการเสริมรากฐานพลังของนางให้แข็งแกร่งไปในตัวเช่นกัน

“ท่านแม่ นี่คืออะไรหรือขอรับ?”

เจ้าอ้วนยืนถือเทียบเชิญอยู่ในมือและกล่าวว่า “มันช่างดูแปลกประหลาดและมีราคาแพงนัก”

“มารดาเคยได้ยินเรื่องงานเลี้ยงใหญ่เช่นนี้มาแล้ว” หญิงชราผมสีเทาขมวดคิ้วใช้ความคิด “มันถูกส่งมาให้กับเจ้า เพราะวันนี้เจ้าสามารถผ่านการแข่งขันรอบที่สามได้สำเร็จ สถานะของเจ้าจึงสูงส่งมากขึ้น ได้เวลาที่เจ้าจะไปเผชิญหน้ากับบรรดาผู้แข็งแกร่งตัวจริงแล้ว…ไม่ว่าเจ้าจะพร้อมหรือไม่ จงไปเข้าร่วมงานเลี้ยงให้ตรงเวลา”

“แต่ท่านแม่ขอรับ ลูกไม่อยากไป อาการของท่านแม่เพิ่งฟื้นตัว ลูกอยากอยู่กับท่านแม่”

เจ้าอ้วนกล่าว

หญิงชราผมสีเทาตอบว่า “มารดาเคยได้ยินมาว่าที่งานเลี้ยงใหญ่เช่นนี้จะมีอาหารอร่อย ๆ อยู่มากมายนัก…”

“ท่านแม่ไม่ต้องพูดแล้ว ลูกไปก็ได้”

เจ้าอ้วนว่า “ท่านแม่พูดถูกต้อง ได้เวลาที่ลูกจะไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ใหม่ ๆ สักที”

เปรี๊ยะปร๊ะ

เสียงกองไฟปะทุตัวดังขึ้นจากลานหน้าบ้าน

บัดนี้ เจ้ากิ้งก่าทะเลทรายทองคำนั่งยอง ๆ ไม่ต่างไปจากมนุษย์อยู่ข้างกองไฟ ขาหน้าของมันถือหอกเงินอยู่เล่มหนึ่ง ไม่มีผู้ใดทราบเลยว่ามันเอาอาวุธมาจากไหน แต่ขณะนี้ อาวุธของมันกำลังเสียบชิ้นเนื้ออยู่หลายสิบชิ้น และชิ้นเนื้อเหล่านั้นก็โรยเกลือ พริกไทยและเครื่องเทศ ราดน้ำผึ้ง รวมไปถึงสมุนไพรอีกหลายชนิดที่คลุกเคล้ากันอย่างถึงเครื่อง ก่อนที่มันจะนำมาย่างไฟส่งกลิ่นหอมฉุยไปรอบบริเวณ…

หากมีผู้ใดลองพิจารณาดูให้ดีก็จะทราบว่าบรรดาชิ้นเนื้อที่เสียบย่างไฟอยู่บนหอกเงินนั้นก็คือหางของมันเอง

เจ้ากิ้งก่ายักษ์ถือหอกเงินด้วยขาหน้าข้างหนึ่ง ส่วนขาหน้าอีกข้างก็หยิบไม้ฟืนใส่เข้ากองไฟ เพื่อควบคุมเปลวไฟไม่ให้ดับมอด

ระหว่างที่มองชิ้นเนื้อบนหอกเงินเริ่มสุกได้ที่ เจ้ากิ้งก่าทะเลทรายทองคำก็น้ำลายไหลย้อยลงมาโดยไม่รู้ตัว

มันไม่เคยคิดเลยว่าเครื่องเทศของมนุษย์กับหางของมันเมื่อนำมารวมกันแล้วจะอร่อยเช่นนี้

แต่ที่สำคัญก็คือเจ้ากิ้งก่ามีความสามารถพิเศษ มันสามารถสลัดหางทิ้งและงอกหางใหม่ออกมาได้ไม่จำกัด เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็เท่ากับว่ามันจะมีเนื้อย่างอร่อย ๆ ให้กินไม่รู้จักหมดใช่หรือไม่? หรือต่อให้มันกินไม่หมด ก็สามารถนำไปขายได้เช่นกัน

ที่นี่คือดินแดนทวยเทพไม่ใช่หรือ?

มันรักดินแดนทวยเทพจริง ๆ

เจ้ากิ้งก่ายักษ์สามารถนอนหลับได้อย่างสบายใจมากกว่าในทะเลทรายทองคำไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า

“กรร…”

พลัน เจ้ากิ้งก่าส่งเสียงร้องออกมา

“รู้แล้วน่า… ประเสริฐ… เรียบร้อยแล้วใช่หรือไม่?”

เจ้าอ้วนวิ่งมาน้ำลายไหลย้อย รีบดึงชิ้นเนื้อจากหอกเงินไปลองรับประทานดูชิ้นหนึ่ง เมื่อชิ้นเนื้อสัมผัสกับต่อมรับรสในปาก เจ้าอ้วนก็มีสีหน้าผ่อนคลายคล้ายกับคนที่กำลังจะโบยบินอย่างไรอย่างนั้น

หลังจากนั้น เจ้าอ้วนก็ลองเปลี่ยนวิธีกินโดยการนำใบไม้ชนิดหนึ่งมาห่อชิ้นเนื้อแล้วส่งเข้าปาก

พลัน เจ้าอ้วนกับเจ้ากิ้งก่ายักษ์ก็นั่งยอง ๆ อยู่ข้างกองไฟรับประทานเนื้อย่างอย่างเอร็ดอร่อย

“กรร…”

เจ้ากิ้งก่าทะเลทรายพูดอะไรบางอย่างออกมาระหว่างที่รับประทานไปด้วย

“ดะ… ดะ… ได้สิ”

เจ้าอ้วนตอบตะกุกตะกัก “ขะ… ขะ… ข้า… สามารถพาเจ้าไป… ไป… ไปที่งานเลี้ยงได้… ตะ… แต่ว่า… พะ… พะ… พวกเรารีบรับประทาน… หะ… หะ… ให้อิ่มกันก่อนเถอะ”

เห็นได้ชัดว่าเด็กหนุ่มเข้าใจการสื่อสารของกิ้งก่ายักษ์

แต่หากคู่สนทนาไม่ใช่มารดาของตนเอง เจ้าอ้วนก็มักจะกลับมาพูดติดอ่างอยู่เสมอ

เที่ยงคืน

พื้นที่ตอนกลางของเมืองเยี่ยเฉิง

หลินเป่ยเฉินเดินทางมาถึงที่ภูเขาเซินเหลียน

นี่คือครั้งแรกที่เด็กหนุ่มได้เข้ามายังใจกลางเมืองเยี่ยเฉิง

โดยเฉพาะพื้นที่ซึ่งอยู่บริเวณภาคกลางของเมืองเยี่ยเฉิง เห็นได้ชัดเลยว่ามันไม่ได้ถูกออกแบบมาให้รองรับกับการอยู่อาศัยของผู้คนจำนวนมาก แต่ตึกรามบ้านช่องกลับก่อสร้างอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยและสวยงาม รูปปั้นหินตั้งอยู่ข้างถนนราวกับผลงานศิลปะชิ้นเอก ศาลานั่งเล่นจำนวนมากตั้งอยู่ข้างทางให้ความรู้สึกไม่ต่างไปจากสิ่งที่ดำรงอยู่ในภาพวาดของสุดยอดจิตรกร…

พลังปราณเทวะที่ลอยอยู่ในอากาศมีความหนาแน่นมากกว่าพลังปราณเทวะในแดนตะวันตกเฉียงเหนือ

ที่นี่เปรียบเสมือนสวรรค์ที่แท้จริง

ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าอาคารบ้านเรือนส่วนใหญ่จะถูกบูรณะซ่อมแซมมาจากอาคารเก่า แต่องค์ประกอบทุกอย่างก็ชี้ให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า พวกมันมีความสูงส่งมากกว่าบ้านเรือนของพื้นที่โดยรอบ

“ราคาบ้านที่นี่ต้องแพงแหง ๆ”

หลินเป่ยเฉินถอนหายใจออกมาด้วยความเศร้า

รีบเร่งฝีเท้าเดินขึ้นไปบนภูเขาเซินเหลียน

และสิ่งที่แตกต่างจากที่เขาคิดไว้ก็คือพื้นที่บริเวณยอดเขาช่างกว้างใหญ่ไพศาล มีศาลานั่งเล่นตั้งอยู่มากมาย บรรยากาศสดชื่นแจ่มใสมีชีวิตชีวา

และเมื่อเด็กหนุ่มเดินลอดซุ้มโคมไฟเข้าไปด้านหน้า สาวรับใช้หน้าตางดงามผู้หนึ่งก็รีบปรี่ออกมาต้อนรับและนำพาหลินเป่ยเฉินเข้าสู่คฤหาสน์น้อยหลังหนึ่ง

“กลิ่นนี้มัน…”

หลินเป่ยเฉินทำจมูกฟุดฟิดสูดดมกลิ่นในอากาศ

หรือว่าในดินแดนทวยเทพจะมี…

หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตราวกับได้ค้นพบโลกใบใหม่

ทันใดนั้น เขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูดังขึ้นจากด้านหลังว่า “พะ… พะ… พะ…”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด