เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]บทที่ 1363 มาโดยไม่ได้ตั้งใจ
ตอนที่ 1,363 มาโดยไม่ได้ตั้งใจ
แต่ช้าก่อน แผนการล่ะ?
สรุปว่าที่พูดคุยกันมาเมื่อสักครู่นี้ เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงต้องการจะให้เขาทำอะไรกันแน่?
หลินเป่ยเฉินเดินออกมาจากร้านสุราด้วยสีหน้ามึนงงสับสน
สาระสำคัญของการสนทนาเมื่อสักครู่ นอกจากข่าวเรื่องการตายของท่านมหาเทพแล้ว หลินเป่ยเฉินก็ไม่พบสาระสำคัญใด ๆ อีก
ไม่มีการพูดถึงแผนการอะไรทั้งนั้น
หลินเป่ยเฉินยกมือนวดขมับด้วยความปวดหัว
แต่ช่างเถอะ ค่อยมาปรึกษาเรื่องนี้กันอีกทีตอนที่เขาคว้าชัยชนะในรอบชิงชนะเลิศได้สำเร็จก่อนก็แล้วกัน
เมื่อถึงตอนนั้น เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงก็คงมอบกุญแจเปิดห้องเก็บสมบัติของท่านมหาเทพ และบอกแผนการส่วนที่เหลือกับเขาเองนั่นแหละ
หลินเป่ยเฉินเดินอย่างไร้จุดหมายไปตามท้องถนน ความคิดมากมายผุดขึ้นมาในสมอง
ทันใดนั้น ก็ได้ยินเสียงผู้คนร่ำร้องด้วยความตกใจดังขึ้นเบื้องหน้า
จมูกได้กลิ่นคาวเลือด
หลินเป่ยเฉินเงยหน้ามอง
เขาพบว่าในตลาดที่อยู่เบื้องหน้า ชาวบ้านจำนวนหนึ่งกำลังวิ่งร้องอุทานออกมาด้วยความแตกตื่น
“พวกเรารีบไป”
ชายฉกรรจ์หนวดยาวผู้หนึ่งส่งเสียงคำรามท่ามกลางกลุ่มคน
เขานำผู้ติดตามอีกสี่คนหลบหนีปะปนไปกับกลุ่มชาวบ้าน
วูบ!
พลัน ลำแสงสีทองพุ่งเข้ามาจากทางด้านหลัง
เป็นหอกทองคำเล่มหนึ่งแทงทะลวงใส่ขาซ้ายและตรึงเขาไว้กับพื้นดิน
ชายฉกรรจ์หนวดยาวร้องคำรามออกมาด้วยความเจ็บปวด
“พวกเจ้าหนีไป ไม่ต้องเป็นห่วงข้า”
เขากัดฟัน ตะโกนออกมาด้วยความเด็ดเดี่ยว
แต่ผู้ติดตามทั้งสี่ของเขาจะเอาตัวรอดตามลำพังได้อย่างไร พวกเขาหันกลับมาพยายามช่วยดึงหอกออกไปจากขา แต่ผลปรากฏว่า แม้ทั้งสี่จะร่วมแรงร่วมใจกันสุดกำลัง แต่หอกทองคำนั้นกลับไม่ขยับเขยื้อน
ในเวลาเดียวกันนี้
นักรบเทวะผู้สวมใส่ชุดเกราะประจำเผ่าเทพตะวันนับสิบคนก็ได้ปรากฏกายขึ้นพร้อมกับหอกทองคำที่อยู่ในมือ หลังจากนั้น พวกเขาก็กระจายตัวโอบล้อมชายฉกรรจ์ทั้งห้าคนอยู่ตรงกลาง
ตึก ตึก ตึก!
เสียงฝีเท้าที่หนักแน่นมั่นคงดังขึ้น
และชายฉกรรจ์ร่างยักษ์ผู้มีความสูงมากกว่าสิบสองเซียะก็ได้เดินแหวกกลุ่มนายทหารเข้ามาอย่างแช่มช้า เพียงเขายกมือโบกสะบัดเล็กน้อย หอกทองคำที่ปักขาชายฉกรรจ์หนวดยาวก็ลอยหวือกลับไปอยู่ในมือ
“เป็นเพียงมดปลวกต่ำต้อย คิดหรือว่าจะหนีรอดสายตาของข้าพานเซิ่งผู้นี้ไปได้?”
ดวงตาของชายร่างยักษ์เป็นประกายอำมหิต
บัดนี้ นักรบเทวะจากเผ่าเทพตะวันได้ไล่ต้อนผู้คนที่หลบหนีออกจากท้องตลาดให้กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง
ผู้ใดกล้าขัดขืนก็จะถูกสังหารโดยทันที
ศีรษะกระเด็นอยู่บนพื้นดิน
โลหิตไหลเนืองนอง
กลุ่มชาวบ้านจึงต้องกลับมายืนรวมตัวกันด้วยใบหน้าที่ขาวซีด
“นักฆ่าเงาซ่อนตัวอยู่ที่ไหน?”
พานเซิ่งมีน้ำเสียงที่ดุดันอำมหิต พูดออกมาอย่างช้า ๆ พลางจ้องมองกลุ่มชายฉกรรจ์หนวดยาวด้วยแววตาเย็นชา
แม้ขาซ้ายจะได้รับบาดเจ็บ มีโลหิตไหลทะลักออกมาไม่หยุด ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด แต่ชายฉกรรจ์หนวดยาวก็ยังคงกัดฟันไม่ตอบคำถามสักคำ
“ไม่คิดจะพูดใช่หรือไม่?”
พานเซิ่งระเบิดเสียงหัวเราะ “เจ้ารู้หรือไม่ว่านักฆ่าเงาสังหารคนของพวกเราตกตายไปกี่คนแล้ว นี่คือความผิดที่ให้อภัยไม่ได้ และผู้ใดก็ตามที่ให้ความช่วยเหลือกับมัน ก็จะมีความผิดโทษฐานสมรู้ร่วมคิด และต้องได้รับการลงโทษอย่างหนักหน่วงไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน อย่างเช่น…”
พูดจบ ชายร่างใหญ่ก็ยกมือดีดนิ้ว
ลำแสงสีทองคำพุ่งเข้าใส่ร่างของชายฉกรรจ์หนวดยาว
“อ๊ากกก…”
ชายฉกรรจ์หนวดยาวตัวสั่นเทา ร้องคำรามออกมาด้วยความเจ็บปวด ดิ้นทุรนทุรายอยู่บนพื้นดิน ดวงตาเหลือกลาน ได้แต่ขอร้องอ้อนวอนพรรคพวกของตนเองว่า “รีบฆ่าข้าซะ ได้โปรดรีบฆ่าข้าเถอะ…”
นับว่าเขาทรมานมากเกินไปแล้ว
ผู้ติดตามของชายฉกรรจ์หนวดยาวคนหนึ่งดวงตาเป็นประกายวาวโรจน์ แสงระยิบระยับปรากฏขึ้นบนฝ่ามือ และเขาก็กำลังจะใช้หัวธนูดอกหนึ่งปักลงไปที่ขั้วหัวใจของผู้เป็นลูกพี่ใหญ่ เพื่อช่วยเหลือให้รอดพ้นจากความทุกข์ทรมาน
แต่ทว่า…
ฟู่! ฟู่!
หอกทองคำสี่เล่มพุ่งเข้ามาปักตามแขนและขาของชายผู้นี้
เขาร้องโหยหวนก่อนล้มลงไปบนพื้นดิน
“หากข้าไม่อนุญาตให้เจ้าตาย เจ้าก็ตายไม่ได้”
พานเซิ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงเข้มขรึม “บอกข้ามาว่านักฆ่าเงาอยู่ที่ไหน แล้วข้าจะทำให้เจ้าไม่ต้องทรมานอีกต่อไป”
แม้ว่าชายฉกรรจ์หนวดยาวจะมีน้ำตาไหลนองใบหน้า เส้นเลือดปูดโปน แขนขากระตุก ดิ้นทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวด แต่ถึงกระนั้น เขาก็ไม่ยอมพูดออกมาแม้แต่คำเดียว…
ส่วนผู้ติดตามที่เหลืออยู่อีกสามคนก็พยายามโคจรพลังในร่างกาย หมายระเบิดตนเองเพื่อพลีชีพ
แต่พานเซิ่งเพียงหัวเราะในลำคอเล็กน้อย
ชายฉกรรจ์ทั้งสามคนนั้นก็ต้องล้มคว่ำลงไปบนพื้นดินอย่างไร้แรงขัดขืน กระดูกแตกหักไปทั่วทั้งร่างกาย…
“พวกเจ้า…”
พานเซิ่งกำลังจะพูดอะไรบางอย่างออกมา
แต่ทันใดนั้น…
ร่างของใครบางคนก็ได้ปรากฏตัวขึ้น
ย่อมต้องเป็นหลินเป่ยเฉิน
เขาค่อย ๆ ก้มหยิบหัวธนูขึ้นมาจากพื้นดิน แล้วดวงตาก็เป็นประกายด้วยความประหลาดใจ
“ท่านไปเอาหัวธนูนี้มาจากที่ใด?”
หลินเป่ยเฉินหันไปมองหน้าชายฉกรรจ์ผู้เป็นเจ้าของหัวธนูดอกนี้
ในเวลาเดียวกันนั้น เขาก็ปลดปล่อยพลังศักดิ์สิทธิ์ ช่วยขับไล่พลังตกค้างของหอกทองคำที่เหลืออยู่ในร่างกายของชายฉกรรจ์หนวดยาวและช่วยปลดปล่อยพลังกดดันจากผู้ติดตามอีกสามคนนั้น
ชายฉกรรจ์ผู้ถูกทรมานทั้งห้ารู้สึกตัวเบาหวิว ไม่ต่างจากได้ตายแล้วเกิดใหม่
ชายฉกรรจ์หนวดยาวหอบหายใจ มองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยความสงสัย
ทันใดนั้น…
“บัดซบ นี่คือเรื่องราวภายในเผ่าเทพตะวัน เจ้าเป็นใครมาจากไหน กล้าดีอย่างไรถึง… ถึง… ถึง… ถึง…”
เมื่อเห็นว่ามีคนกล้ายื่นมือเข้ามาแทรกแซง แม่ทัพใหญ่พานเซิ่งจึงระเบิดเสียงคำรามออกมาด้วยความเดือดดาล
แต่เขาพูดไม่ทันจบประโยค ก็จดจำออกว่าหลินเป่ยเฉินคือผู้ใด สีหน้าเปลี่ยนเป็นตื่นกลัว แข้งขาอ่อนแรง คำพูดขาดหาย ไม่สามารถกล่าวได้จบประโยคอีกแล้ว
หลินเป่ยเฉินไม่สนใจชายร่างใหญ่
เขามองกลุ่มชายฉกรรจ์ทั้งห้า ก้มหน้ามองหัวธนูในมือและถามออกมาอีกครั้ง “หัวธนูนี้พวกท่านได้มาจากที่ใด?”
ครั้งนี้ เขาพูดออกมาด้วยภาษาที่พวกของพานเซิ่งฟังไม่เข้าใจ
“นายท่าน…”
ชายฉกรรจ์หนวดยาวตาลุกวาว หัวใจพองโตด้วยความยินดี ตอบว่า “เป็นของพวกเราเองขอรับ พวกเรา… นำมันติดตัวมาจากบ้านเกิด”
นี่คือภาษาบนแผ่นดินตงเต้า
หรือถ้าจะอธิบายให้ถูกต้อง ก็ต้องกล่าวว่านี่คือภาษาของชาวจักรวรรดิจี้กวง
หลินเป่ยเฉินหัวใจกระตุกวูบอย่างรุนแรง
ตอนที่เห็นหัวธนูดอกนี้ หลินเป่ยเฉินรู้สึกคุ้นตาเป็นอย่างยิ่ง เพราะเขาจำได้ว่ามันเป็นลูกธนูที่เคยถูกยิงออกมาจากสถานทูตของจักรวรรดิจี้กวงในมหานคร แม้แต่ลวดลายที่สลักอยู่บนหัวธนูก็แทบไม่แตกต่างไปจากกัน
เพราะเหตุนี้ หลินเป่ยเฉินจึงได้ถามออกไป
เขาไม่ได้คาดหวังว่าอีกฝ่ายจะฟังตนเองรู้เรื่อง
“ท่านมาจากจักรวรรดิจี้กวงหรือ?”
หลินเป่ยเฉินถามออกมาอีกครั้ง
ดวงตาของชายฉกรรจ์ทั้งห้าเป็นประกายระยิบระยับอย่างมีความหวัง พวกเขารีบยืนรวมตัวกัน คุกเข่าลงประสานมือทำความเคารพ “กราบเรียนนายท่าน พวกเรามาจากจักรวรรดิจี้กวง… ได้โปรดช่วยเหลือพวกเราด้วย”
แม้ชายฉกรรจ์หนวดยาวจะไม่ทราบเลยว่าเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าคนนี้มีสถานะใดหรือเป็นใครมาจากไหน แต่ในเมื่อเด็กหนุ่มกล้ายื่นมือเข้ามาแทรกแซงเรื่องราวของเผ่าเทพตะวัน อีกทั้งยังสามารถพูดภาษาจี้กวงได้ นี่ก็หมายความว่าเด็กหนุ่มคงจะเป็นพวกเดียวกับพวกเขาแล้ว
นี่คือโอกาสเดียวที่จะรอดชีวิต
ชายฉกรรจ์ทั้งห้าคนรีบโขกศีรษะลงกับพื้นดิน
หลินเป่ยเฉินตกตะลึงในคำตอบของอีกฝ่าย
ดูเหมือนพวกเขาคงเพิ่งจะมาอยู่ที่ดินแดนทวยเทพได้ไม่นาน
ว่าแต่พวกเขามาได้อย่างไร?
หรือจะมาด้วยวิธีเดียวกับพวกของอาจารย์ฉู่เหิน?
ไม่สิ สถานการณ์ของกลุ่มชายฉกรรจ์หนวดยาวดีกว่าสถานการณ์ของอาจารย์ฉู่เหินหลายเท่า
หลายคำถามปรากฏขึ้นมาในหัวใจ หลินเป่ยเฉินหันหน้ากลับไปจ้องมองที่พานเซิ่ง
“ข้า…”
พานเซิ่งอ้าปากกำลังจะพูดอะไรบางอย่างออกมา
ฟู่!
ลำแสงสีแดงสาดประกาย
หัวคนลอยกระเด็นขึ้นไปบนท้องฟ้า
หลินเป่ยเฉินยังไม่หมดบัญชีแค้นกับเผ่าเทพตะวัน เพราะฉะนั้น เขาจึงลงมือโดยไม่ลังเล
ศีรษะของพานเซิ่งลอยขึ้นไปในอากาศ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นม่านหมอกควัน เหลือเพียงเถ้าถ่านลอยหายไปในสายลม
พร้อมกันนั้น ร่างไร้ศีรษะของพานเซิ่งก็ถูกเผาไหม้กลายเป็นหมอกควันหายไปตามสายลมเช่นกัน
“พวกเรารีบหนี”
“ปีศาจน้อยมาแล้ว”
“พวกเราอยู่ไม่ได้แล้ว”
บรรดานักรบจากเผ่าเทพตะวันตื่นกลัวสุดขีด รีบหันหลังวิ่งหนีไปอย่างไม่ห่วงศักดิ์ศรีของตนเอง
หลินเป่ยเฉินไม่ได้ฆ่าใครอีก
“พวกท่านมากับข้า”
หลินเป่ยเฉินช่วยประคองกลุ่มชายฉกรรจ์ทั้งห้าให้ลุกขึ้น หลังจากนั้นก็โคจรพลังศักดิ์สิทธิ์ช่วยรักษาอาการบาดเจ็บตามร่างกาย
กลุ่มชายฉกรรจ์ทั้งห้ายิ้มออกมาด้วยความดีใจ
และเดินตามหลังหลินเป่ยเฉินไปอย่างเชื่อฟัง
บรรดาผู้คนที่อยู่ในตลาดต่างก็รีบแยกย้ายสลายตัว
ความปลอดภัยในเมืองเยี่ยเฉิงนับวันยิ่งแย่ลงทุกที
ผู้คนล้วนอาศัยอยู่ด้วยความตื่นตระหนก
โดยเฉพาะในระยะหลัง ภายในเมืองเกิดการต่อสู้บาดเจ็บล้มตายขึ้นบ่อยครั้ง แม้แต่กลุ่มกองกำลังรักษาความปลอดภัยของสภาเทพเจ้าก็ไม่สนใจไยดี… ถึงกับมีข่าวลือว่าการต่อสู้เหล่านี้เป็นสภาเทพเจ้าอยู่เบื้องหลังเองด้วยซ้ำ
หลินเป่ยเฉินเดินนำกลุ่มชายฉกรรจ์ไปยังสถานที่ลับตาผู้คนโดยไม่พูดคำใด หลังจากนั้น จึงได้หยุดเท้าและหันกลับมาจ้องมองพวกเขา
“ขอบคุณคุณชายผู้สูงส่งที่ช่วยชีวิตเหล่าข้าน้อยเอาไว้”
ชายฉกรรจ์หนวดยาวประสานมือคำนับขอบคุณหลินเป่ยเฉินครั้งแล้วครั้งเล่า กิริยาท่าทีมีแต่ความอ่อนน้อมถ่อมตน
“ท่านรู้หรือไม่ว่าข้าคือใคร?”
หลินเป่ยเฉินถาม
“เรื่องนี้… ต้องขออภัยที่ข้าน้อยต่ำต้อยมากเกินไปจึงไม่อาจทราบได้”
“พวกเราเพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรก…”
“นายท่านได้โปรดบอกนามอันสูงส่งของท่าน”
กลุ่มชายฉกรรจ์รีบพูดออกมาด้วยความร้อนรน
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นทำท่าดันแว่น
ประเสริฐ
ในเมื่อคนพวกนี้ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร ถ้าอย่างนั้นก็จัดการได้ง่ายแล้ว
“ข้าเป็นผู้ช่วยคนสนิทของท่านเทพีแห่งธนู”
หลินเป่ยเฉินพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ที่แท้ก็เป็นบริวารของท่านเทพีนี่เอง”
“พวกเราผู้ต่ำต้อยขอคารวะใต้เท้าน้อย”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น กลุ่มชายฉกรรจ์ทั้งห้าก็ยิ่งมีสีหน้าดีใจมากกว่าเดิม
พวกเขาไม่คิดเฉลียวใจสงสัยแม้แต่น้อย
เนื่องจากหลินเป่ยเฉินจดจำพวกเขาได้จากหัวธนู อีกทั้งยังสามารถพูดภาษาจี้กวง และช่วยเหลือพวกเขามาจากเงื้อมมือของเผ่าเทพตะวันโดยไม่ลังเล…
เขาถึงกับยอมฆ่าแม่ทัพร่างใหญ่ของเผ่าเทพตะวันด้วยซ้ำ
หากมิใช่บริวารของท่านเทพีแห่งธนู แล้วยังจะมีผู้ใดกล้าทำเช่นนี้ได้อีก? ยังจะมีผู้ใดสนใจทำเช่นนี้อีก?
ส่วนเรื่องที่ว่าหลังจากเดินทางมาถึงดินแดนเทพเจ้าแห่งนี้แล้ว พวกเขากลับไม่เคยได้ยินชื่อเทพีแห่งธนู… กลุ่มชายฉกรรจ์หนวดยาวก็ไม่คิดที่จะสนใจอีก
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจด้วยความเสียดาย
โชคร้ายที่เทพีแห่งธนูเป็นสตรี
มิเช่นนั้น เขาคงแอบอ้างตนเองเป็นเทพแห่งธนูไปแล้ว
แต่ถึงอย่างไร บัดนี้ เขาก็ได้สาวกเพิ่มขึ้นมาอีกหลายคน
“พวกท่านมาถึงดินแดนทวยเทพตั้งแต่เมื่อไหร่?”
หลินเป่ยเฉินถาม
“กราบเรียนใต้เท้าน้อย พวกเรามาถึงที่นี่ตั้งแต่สองเดือนที่แล้ว” ชายฉกรรจ์หนวดยาวคุกเข่าบนพื้นดิน ตอบรับกลับมาด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกถึงความเคารพ
สองเดือนที่แล้ว?
มาทีหลังพวกของอาจารย์ฉู่เหินเยอะเหมือนกันนะเนี่ย
หลินเป่ยเฉินถามออกมาอีกครั้งว่า “แล้วมาได้อย่างไร?”
ชายฉกรรจ์หนวดยาวรีบตอบ “พวกเราทั้งห้าคนจัดเป็นขุนศึกใหญ่คนสำคัญของทัพจี้กวง สองเดือนก่อน เป็นบรรดาแม่ทัพใหญ่ของพวกเราพ่ายแพ้ให้แก่เจ้าตัวบัดซบหลินเป่ยเฉินในการประลองบนหน้าผา และเจ้าตัวบัดซบนั้นก็ได้ใช้ให้พวกเราลงไปค้นหาศพสหายของมันในหุบเหวดาวตก ข้าน้อยและผู้ติดตามได้รับภารกิจให้ลงไปสำรวจก้นเหว แต่ระหว่างทางเราเกิดหลงทาง รู้ตัวอีกทีก็มาอยู่ที่นี่แล้วขอรับ…”
หลังจากนั้น รายละเอียดก็ถูกบอกเล่าออกมาอย่างครบถ้วน
หลินเป่ยเฉินรับฟังด้วยความตะลึงลาน
พวกเขามาถึงดินแดนทวยเทพผ่านทางหุบเหวดาวตกอย่างนั้นหรือ?
อย่าบอกนะว่าหุบเหวดาวตกเป็นประตูมิติที่เชื่อมต่อกับดินแดนทวยเทพ
ทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินยิ้มออกมาด้วยความดีใจ
ในเมื่อกลุ่มชายฉกรรจ์หนวดยาวสามารถรอดชีวิตมาถึงดินแดนทวยเทพได้โดยสวัสดิภาพ ถ้าอย่างนั้น พวกของฮันปู้ฟู่ก็น่าจะไม่เป็นไรเช่นกันกระมัง?
ความเป็นไปได้ที่ฮันปู้ฟู่ยังมีชีวิตอยู่จึงเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมอีกครั้ง!!
Comments