เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]บทที่ 1494 ศัตรูคนสุดท้าย

Now you are reading เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] Chapter บทที่ 1494 ศัตรูคนสุดท้าย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 1,494 ศัตรูคนสุดท้าย

แม่ทัพใหญ่กุ้ยจวิ้นพูดด้วยใบหน้าอันขมขื่น “กายหยาบของข้าสูญสลายไปแล้ว เจ้าไม่ใจร้ายกับข้าเกินไปหน่อยหรือ…”

ทว่า เมื่อเห็นว่าสีหน้าของนักเวทสาวในชุดนักรบแสดงออกถึงความเหยียดหยาม อดีตราชันย์หมาป่าศิลาก็กัดฟันกล่าวว่า “แต่ข้ายังสามารถถ่วงเวลาเทพนภาได้สักครู่ เมื่อเป็นเช่นนี้… เสี่ยวจิน เจ้าต้องร่วมมือกับข้าแล้ว”

เจ้ากิ้งก่ายักษ์ที่สวมใส่กางเกงขาสั้นและห้อยโซ่ทองเส้นใหญ่อยู่ด้านข้างพลันร่างกายสั่นเทา ดวงตาเบิกโต

มันยกขาหน้าขึ้นมาชี้ที่ตนเองด้วยความไม่อยากเชื่อ

แม่ทัพใหญ่กุ้ยจวิ้นพยักหน้าและตอบว่า “ใช่แล้ว เจ้านั่นแหละ เจ้าก็ได้รับตำแหน่งเทพเจ้าจากใต้เท้าเจี๋ยนเหมือนกันนี่ บัดนี้ เจ้าคงหลอมรวมพลังได้หมดสิ้นแล้ว… เจ้าใช้พรสวรรค์และพลังของเจ้าเข้าไปถ่วงเวลาเทพนภาเอาไว้ แล้วข้าก็จะอาศัยจังหวะทีเผลอเข้าไปจัดการเทพนภาเอง”

เจ้ากิ้งก่ายักษ์เอาแต่ส่ายศีรษะครั้งแล้วครั้งเล่าพร้อมกับก้าวถอยหลัง

ให้ตายเถอะ

นี่จะล้อกันเล่นหรืออย่างไร?

มันเป็นเพียงกิ้งก่ายักษ์ที่อยากจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย ความฝันอันสูงสุดของมันก็คือการได้เดินทางไปยังภพภูมิอื่น หากิ้งก่าสาวสวย ๆ สักหลายตัวเพื่อขยายเผ่าพันธุ์ของตนเอง…

แล้วจะบังคับให้มันออกไปต่อสู้เสี่ยงตายเนี่ยนะ?

ฝันไปเถอะ

รีบหนีดีกว่า

“รีบไปจัดการเร็วเข้า”

ท่านแม่ทัพใหญ่กุ้ยจวิ้นพลันลอยตัวเข้ามากระโดดเตะก้นของเจ้ากิ้งก่าทะเลทรายทองคำและนั่นก็ส่งผลให้เจ้ากิ้งก่ายักษ์ลอยหวือตรงเข้าไปหาเทพนภาทันที

เจ้ากิ้งก่ายักษ์ร้องเสียงหลง

มันดูออกมาตั้งนานแล้วว่าท่านแม่ทัพใหญ่กุ้ยจวิ้นต้องไม่ใช่คนดีแน่ ๆ

แต่บัดนี้

เจ้ากิ้งก่ายักษ์ไม่มีทางเลือกอีกแล้ว

มันโคจรพลังในร่างกายและพ่นน้ำลายออกมา

น้ำลายสีทองคำกระจายตัวในอากาศ เปลี่ยนสภาพกลายเป็นผงทองคำพุ่งเข้าหาเทพนภา

ม่านหมอกผงทองคำมีลักษณะที่แปลกประหลาดมาก

ผงทองคำเหล่านั้นปกคลุมรอบร่างกายเทพนภา บดบังทัศนียภาพและการตระหนักรู้ เทพนภาก็รู้สึกไม่ต่างจากตนเองถูกกระชากเข้าไปสู่โลกอีกใบ

แม่ทัพใหญ่กุ้ยจวิ้นเห็นดังนั้นก็รู้สึกโล่งใจเล็กน้อย

กายทิพย์เปลี่ยนเป็นลำแสงพุ่งเข้าสู่ม่านผงทองคำ

พลั่ก! พลั่ก! พลั่ก!

ตุบตับ! ตุบตับ! ตุบตับ!

ด้านหลังม่านผงทองคำ ได้ยินเสียงการต่อสู้ดังขึ้นต่อเนื่อง

บางครั้ง แขนของเทพนภาหรือไม่ก็ศีรษะของแม่ทัพใหญ่กุ้ยจวิ้นก็จะยื่นออกมานอกม่านผงทองคำและถูกกระชากกลับเข้าไปอย่างรวดเร็ว…

โลหิตไหลซึมออกมาจากม่านผงทองคำนั้น

หลายสิบลมหายใจผ่านไป แม้แต่แขนขาของผู้คนก็ลอยกระเด็นออกมา

ไม่มีผู้ใดสามารถมองเห็นว่าด้านในม่านผงทองคำนั้นสถานการณ์เป็นอย่างไร แต่เพียงได้ยินเสียงการต่อสู้อันดุเดือด ผู้คนก็รู้สึกหัวใจเต้นรัวเร็ว ชาดิกไปทั้งร่างกาย

นี่คือการต่อสู้ของยอดนักรบที่แท้จริง

“ย้าห์ ย้าห์…”

“ขากกก… ถุ้ยยยย…!”

เจ้ากิ้งก่าทองคำพ่นน้ำลายของตนเองออกมาอีกครั้ง

มันใช้ขาหน้าประคองปากและสะบัดลิ้นยิงน้ำลายใส่ม่านผงทองคำอย่างต่อเนื่อง…

ฉู่เหินเห็นเช่นนี้ก็อดขมวดคิ้วด้วยความสงสัยไม่ได้

นี่เป็นวิชาการต่อสู้รูปแบบใดกัน?

แต่สำหรับผู้คนของคฤหาสน์ใต้เท้าเจี๋ยน กำลังเสริมที่ปรากฏตัวขึ้นนี้ช่วยแก้ไขสถานการณ์ของพวกเขาได้เป็นอย่างดี

เฉียนหลง ลู่ปิงเหวินและคนอื่น ๆ เงยหน้ามองการต่อสู้ หลายคนอดเสียวสันหลังวาบไม่ได้ที่ก่อนหน้านี้ตนเองเคยรังแกเจ้าอ้วนเอาไว้ไม่ใช่น้อย และก่อนหน้านี้ ตนเองก็เคยรับประทานหางของเจ้ากิ้งก่านับครั้งไม่ถ้วน ไม่ทราบว่าทั้งเจ้าอ้วนและเจ้ากิ้งก่าเคยคิดโกรธแค้นพวกเขาบ้างหรือไม่?

“อ๊าก…”

เทพเจ้าแห่งเหมืองแร่ส่งเสียงร้องโหยหวนและพ่ายแพ้ไปเป็นคนแรก

เพียงไม่ถึงหนึ่งก้านธูปเท่านั้น เขาก็ถูกไม้เท้าในมือของหญิงชราร่างอ้วนฟาดจนร่างกายแตกหักบิดเบี้ยว นางไม่ได้เคลื่อนไหวหรือใช้การโจมตีด้วยเงา และก็ไม่ได้ใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ด้วยซ้ำ การต่อสู้ทั้งหมด ดำเนินไปด้วยพละกำลังของหญิงชราเพียงอย่างเดียว

แต่ผลลัพธ์กลับแปลกประหลาดและน่าสะพรึงกลัว…

เมื่อการต่อสู้ยุติลง เทพเจ้าแห่งเหมืองแร่ก็เวียนหัวตาลาย ลืมเลือนแม้แต่การใช้พลังศักดิ์สิทธิ์รักษาอาการบาดเจ็บ เขาทำได้เพียงยกมือกุมศีรษะของตนเองด้วยความหวาดกลัวเท่านั้น

กลุ่มคนที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่ด้านล่างเฝ้ามองด้วยความตะลึงงัน

นี่เป็นไปได้อย่างไร?

พวกเขาจ้องมองด้วยความสงสัยว่าเทพเจ้าแห่งเหมืองแร่ผู้นี้อาจจะเป็นตัวปลอม

ในเวลาเดียวกันนี้ การต่อสู้ระหว่างเจ้าอ้วนกับเทพอัคคีก็ดำเนินไปอย่างผิดปกติเช่นกัน

กล้ามเนื้อบนร่างกายของเจ้าอ้วนปูดโปน สองแขนกระแทกหมัดออกมาด้วยความเร็วสายฟ้าฟาด ไล่ล่าทุบตีเทพอัคคีด้วยความโหดร้ายอำมหิต…

ระหว่างที่พยายามหลบหนีอยู่นั้น เทพอัคคีก็ได้โจมตีสวนกลับมานับครั้งไม่ถ้วน

“ค่ายอาคมดาวหางเพลิง…”

“ระเบิดเพลิงทมิฬ”

“ไฟโลกันตร์มหากาฬ”

“ยันต์อัคคีแห่งการดับสูญ”

เปลวไฟสาดกระจายบนแผ่นฟ้าวูบวาบ เปี่ยมด้วยพลังทำลายล้างเปี่ยมล้น มวลอากาศปั่นป่วนภายใต้การคุกคามของเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์ ม่านพลังในอากาศหลอมเหลวละลายลงไป…

วิชาเวทมนตร์เหล่านี้ต่อให้เป็นเทพสงครามด้วยกันก็ยากที่จะรับมือได้

แต่กลับใช้ไม่ได้ผลสำหรับเจ้าอ้วน

เจ้าอ้วนไม่ต่างจากตัวประหลาดที่สามารถรับการโจมตีจากเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์ได้ทุกรูปแบบ เปลวไฟกลืนกินร่างกายของเขา แต่กลับไม่สามารถเผาไหม้แม้แต่ผมสักเส้นเดียว…

ในทางกลับกัน ทุกครั้งที่กำปั้นของเจ้าอ้วนกระแทกเข้าใส่ร่างกายของเทพอัคคี รอยแตกร้าวก็จะปรากฏขึ้นบนร่างกายของเทพอัคคี เช่นเดียวกับพลังการโจมตีของเทพอัคคีที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง…

“เจ้ามาจากภพภูมิอื่นอย่างนั้นหรือ?”

เทพอัคคีเข้าใจอะไรบางอย่าง สีหน้าตกตะลึง

เจ้าอ้วนไม่ตอบรับคำใด

เพราะเขาไม่มีความคิดอื่นใด

นอกจากสังหารเทพอัคคีให้เร็วที่สุด

เพราะขั้นพลังในปัจจุบันของเจ้าอ้วนสามารถรักษาความแข็งแกร่งไว้เช่นนี้ได้เพียงหนึ่งก้านธูปเท่านั้น

แต่สุดท้าย เทพอัคคีก็สามารถหลบหนีไปได้สำเร็จ

นอกจากเอาชนะเจ้าอ้วนไม่ได้แล้ว เทพอัคคียังไม่รู้อีกด้วยว่าเจ้าอ้วนเป็นใครมาจากไหนกันแน่

ในลานจัตุรัสด้านล่าง สมาชิกของคฤหาสน์ใต้เท้าเจี๋ยนพากันส่งเสียงโห่ร้องออกมาด้วยความดีใจ

ส่วนผู้คนจากกองทัพเทพสงคราม ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มนักรบหรือนักเวท ต่างก็มีสีหน้าตื่นกลัวและสับสน

การได้เห็นเทพผู้ที่ตนเองศรัทธาพ่ายแพ้และหลบหนีอย่างหัวซุกหัวซุน ทำให้พวกเขารู้สึกโกรธแค้น ความศรัทธาเสื่อมสลาย…

“ไม่ต้องไล่ตาม”

มารดาของเจ้าอ้วนรีบเข้ามาสกัดบุตรชายพร้อมกล่าวว่า “พวกเราไม่มีเวลาแล้ว รีบไปช่วยท่านแม่ทัพใหญ่กุ้ยจวิ้นก่อนดีกว่า”

“ขอรับ”

เจ้าอ้วนพุ่งตัวเป็นลำแสงหายเข้าไปในม่านผงทองคำ

เสียงการต่อสู้ที่ดังออกมาจากด้านในม่านผงยิ่งดุเดือดมากกว่าเดิม

โลหิตสาดกระจายออกมาจากม่านผงทองคำครั้งแล้วครั้งเล่า…

ฝนโลหิตโปรยปรายลงมา

“ถุย ถุย ถุย…”

เจ้ากิ้งก่าทะเลทรายทองคำพ่นน้ำลายออกมาจนคอแห้งหมดแล้ว

สุดท้าย มันก็ล้มลงไปนอนบนพื้นดิน ลิ้นห้อยหมดแรง

ไม่เหลือน้ำลายแม้แต่หยดเดียว

โชคดีที่การต่อสู้ยุติลงในที่สุด

ร่างที่ปกคลุมไปด้วยโลหิตร่วงหล่นลงมาจากม่านผงทองคำกระแทกพื้นอย่างรุนแรง โลหิตไหลทะลัก ยอมพื้นดินเป็นสีเลือด ไม่มีชีพจรลมหายใจอีกแล้ว

“ไม่จริง…”

กลุ่มสาวกของเทพนภาร้องอุทาน ก่อนที่ร่างกายจะละลายหายไปกลายเป็นฝุ่นผง แม้แต่กระดูกก็กลับกลายเป็นเถ้าถ่าน…

ไม่ใช่เพียงเท่านี้

แม้แต่เหล่านักรบและนักเวทระดับสูงผู้ติดตามเทพนภาก็ร่างกายแตกสลายไปเช่นกัน…

และผู้ที่รับพลังศักดิ์สิทธิ์จากเทพนภาแต่ไม่ได้เชื่อมต่อพลังชีวิตก็รู้สึกได้ถึงมวลพลังที่เหือดหายไปจากร่างกายของตนเอง…

สีหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความตื่นตกใจ

เพราะนี่หมายความว่าเทพนภาตายแล้ว

เทพเจ้าใหญ่อีกผู้หนึ่งต้องเสียชีวิตลง

นี่คือสงครามที่น่าเศร้า

เมื่อทุกคนรู้ตัวอีกที ม่านผงทองคำบนท้องฟ้าก็สลายไปแล้ว เช่นเดียวกับร่างของเจ้าอ้วน มารดาและท่านแม่ทัพใหญ่กุ้ยจวิ้นก็หายไปเช่นกัน ไม่ทราบเลยว่าพวกเขาหายไปที่ใด

“พวกเขาเป็นผู้ที่มาจากภพภูมิอื่น ทำให้ไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้นานนัก บัดนี้ พวกเขากลับไปแล้ว… ช่างน่าเสียดายจริง ๆ”

นักเวทสาวในชุดนักรบกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย

หากพวกของเจ้าอ้วนสามารถอยู่ประจำการช่วยเหลือคฤหาสน์ใต้เท้าเจี๋ยนตลอดเวลา พวกเขาก็คงสามารถยึดครองดินแดนทวยเทพได้ในไม่ช้า

แต่น่าเสียดายที่ความช่วยเหลือในครั้งนี้เป็นไปเพื่อตอบแทนบุญคุณของเจี๋ยนเซียวเหยา เมื่อตอบแทนบุญคุณเสร็จสิ้น กลุ่มคนทั้งสามก็รีบเดินทางกลับไปยังภพภูมิของตนเองทันที

“เพียงเท่านี้พวกเขาก็ช่วยเหลือเรามากแล้ว”

ฉู่เหินไม่ได้รู้สึกเสียใจแม้แต่น้อย “นี่ถือว่าประเสริฐนัก เพียงแต่สิ่งเดียวที่ข้าไม่เข้าใจก็คือ ทำไมใต้เท้าซินถึงต้องมาช่วยเหลือพวกเรา นางถึงกับยอมทำลายธงรบวิหคดำ… หรือว่าทั้งหมดนี้เป็นฝีมือการสร้างค่ายอาคมของเจ้า?”

หลี่อี้เทียนรีบส่ายศีรษะตอบโดยเร็ว “ย่อมไม่ใช่ ข้ายังไม่มีความสามารถถึงเพียงนั้น แต่นี่คือสิ่งที่น่าพิศวงอย่างแท้จริง… ใต้เท้าเจี๋ยนไม่ได้บอกข้าว่าเขามีไพ่ตายอะไรอยู่บ้าง ไม่แน่ว่าเขาอาจจะไปติดต่อขอกำลังเสริมมาก่อนหน้านี้แล้วก็ได้…”

แม้แต่ฉู่เหินก็อ่านใจหลินเป่ยเฉินไม่ออก

ฉู่เหินรู้ดีว่าหลินเป่ยเฉินมีความแข็งแกร่งเพียงใด เด็กหนุ่มเคยสร้างความยิ่งใหญ่ในเมืองหยุนเมิ่งอย่างไร เขาก็คงสามารถทำได้ในเมืองเยี่ยเฉิงกระมัง?

“พวกเรากลับกันเถอะ สถานการณ์คลี่คลายแล้ว”

ฉู่เหินหันหน้ามองไปที่คฤหาสน์ใต้เท้าเจี๋ยนและกล่าวต่อ “ครั้งนี้พวกเราเป็นฝ่ายชนะ”

หลี่อี้เทียนกลับส่ายศีรษะ สีหน้าเคร่งเครียด

ดวงตาของนักเวทสาวในชุดนักรบทอประกายวิตกกังวล “พวกเราไม่ได้เป็นฝ่ายชนะ เพราะทางนั้น ยังมีเทพเจ้าใหญ่อีกหนึ่งคนไม่ได้แสดงฝีมือออกมา นางเป็นภัยคุกคามที่แท้จริงของพวกเรา หากใต้เท้าเจี๋ยนยังไม่กลับออกมาจากการหลอมรวมพลังเพื่อรับมือกับบุคคลผู้นี้ เกรงว่าความพยายามทั้งหมดของพวกเราก็คงต้องสูญเปล่าแล้ว”

“เจ้าหมายความว่า…”

ฉู่เหินเบิกตาโตด้วยความไม่อยากเชื่อ

แต่สิ่งที่น่ากลัวมากกว่านั้นได้บังเกิดขึ้นแล้ว

เพียงพริบตาเดียว ฉู่เหินกับหลี่อี้เทียนก็ต้องเงยหน้ามองท้องฟ้า

ร่างระหงในชุดกระโปรงสีน้ำเงินปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศจากระยะไกล นางก้าวเดินตรงเข้ามาหาคฤหาสน์ใต้เท้าเจี๋ยน ในมือโบกสะบัดธงรบวิหคดำปลิวไสว

ธงรบวิหคดำที่อยู่ในมือของนางกลับไปอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์แบบอีกครั้ง

มวลพลังฟื้นคืน

ผืนธงสาดประกายสีดำ ตัวนกที่ปักลายอยู่บนผืนธงปลดปล่อยพลังศักดิ์สิทธิ์ราวกับว่ามันกำลังจะบินออกมาอย่างไรอย่างนั้น เมื่อมือที่ขาวผ่องโบกสะบัดผืนธงแผ่วเบา โลกทั้งใบก็ถึงกับสั่นสะเทือน

ผู้ที่ถือธงเป็นเด็กสาวปริศนาจากภพภูมิอื่น ผมสีดำปลิวไสว ชายกระโปรงสีน้ำเงินเข้มโบกสะบัด พลังกดดันทั้งมวลทำให้ก้อนเมฆบนท้องฟ้ากระจายหายไป มวลอากาศปั่นป่วน บรรยากาศไม่ต่างจากจุดสิ้นสุดของโลก

กลุ่มสมาชิกคฤหาสน์ใต้เท้าเจี๋ยนที่ยืนอยู่ด้านล่างพากันตัวสั่นเทา

ส่วนผู้ที่มีขั้นพลังต่ำต้อยไม่สามารถรับมือกับแรงกดดันเหล่านี้ได้ พวกเขาคุกเข่าลงบนพื้นดิน ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองด้วยซ้ำ…

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด