เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]บทที่ 1655 มาเรียนวิชาเพศศึกษากันดีกว่า
ตอนที่ 1,655 มาเรียนวิชาเพศศึกษากันดีกว่า
“ฝันไปเถอะ ข้าไม่สนใจแล้ว”
หลินเป่ยเฉินเสแสร้งแกล้งสะบัดหน้าเล็กน้อย “ข้ากลัวว่าขืนข้าจับต่อไป ข้าอาจควบคุมตนเองไม่ได้ก็เป็นได้”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงลุกขึ้นนั่งหันหน้าเข้าหาหลินเป่ยเฉินโอบแขนกอดรอบคอเขา ก่อนโน้มใบหน้าเข้าไป เป่าลมหายใจร้อนอุ่นและกล่าวว่า “ควบคุมไม่ได้ก็ไม่ต้องควบคุม น้องชาย เจ้าต้องการสิ่งนี้มานานแล้วไม่ใช่หรือ?”
นางรู้ดีว่าหลินเป่ยเฉินจะต้องมาที่สุสานโบราณ
แต่นางคิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะปรากฏตัวในสถานการณ์เช่นนี้
สมแล้วที่องค์ชายหลิงเยวียนหลงเป็นผู้แข็งแกร่งแห่งแดนเกิงจิน
และในคณะเดินทางครั้งนี้ ก็ยังมียอดฝีมือคนอื่น ๆ จากสภาขุนนาง อย่างเช่นเฟิงเสี่ยวไป๋…
แน่นอนว่าย่อมรวมถึงหลิงเฉิงอีกด้วย
แม้จะต้องเผชิญหน้ากับกลุ่มคนเหล่านี้ แต่หลินเป่ยเฉินก็ยังยอมเสี่ยงชีวิตเข้าไปช่วยเหลือนางออกมาจากสถานการณ์คับขันอันตราย
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงรู้สึกซึ้งใจยิ่งนัก
ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในเมืองชิงอวี้ หลินเป่ยเฉินก็เคยพูดเอาไว้ว่า ‘ข้าจะช่วยแก้แค้นให้แก่ท่าน’ ซึ่งดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้พูดเล่นเสียด้วย
การกระทำของเด็กหนุ่มในวันนี้ บอกชัดว่าเขาหมายความตามนั้นจริง ๆ
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงเคยผ่านประสบการณ์ชีวิตมาอย่างโชกโชน นางเคยถูกทรยศหักหลังมานับครั้งไม่ถ้วน ด้วยเหตุนี้ เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงจึงไม่เคยเชื่อถือในคำมั่นสัญญา แต่การกระทำของหลินเป่ยเฉินก็ทำให้นางรู้สึกอบอุ่นหัวใจอย่างประหลาด
นางค่อย ๆ โน้มตัวเข้าไป ริมฝีปากของนางกับริมฝีปากของหลินเป่ยเฉินกำลังจะสัมผัสกันแล้ว
“ช้าก่อน”
ทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินจดจำบางสิ่งบางอย่างขึ้นมาได้ เขารีบยกมือขึ้นจับหัวไหล่เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงเพื่อหยุดนางพร้อมกับกล่าวว่า “บัดนี้ยังไม่ได้… รอข้าเปลี่ยนร่างกลับคืนร่างเดิมก่อนเถอะ”
บัดนี้ เด็กหนุ่มยังคงอยู่ในรูปลักษณ์โครงกระดูกผีที่มีเปลวไฟสีม่วงลุกโชนทั่วร่างกาย
“ไม่ต้องหรอก”
พลัน เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงจูบเขาอย่างดูดดื่ม
หลินเป่ยเฉินรู้สึกได้ถึงความชุ่มฉ่ำหอมหวานที่ไหลเข้ามาในปาก
หลังจากนั้น ‘งูตัวน้อย’ ก็เลื้อยเข้ามาเล่นซุกซนอยู่ในปากของเขา
ผ่านไปเนิ่นนานหลายอึดใจ
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงก็ดึงตัวกลับไป ฉีกยิ้มและกล่าวว่า “ข้าชอบแบบนี้นะ… ข้าเป็นปีศาจ เจ้าก็เป็นปีศาจเช่นกัน”
“พูดอะไรของท่าน?”
หลินเป่ยเฉินคำรามในลำคอด้วยน้ำเสียงดุร้าย “ท่านกล้าดีอย่างไรมาจูบข้าตามใจชอบ? อย่างนี้ต้องเอาคืนซะแล้ว”
…
ไม่ทราบเลยว่าผ่านไปนานเพียงใด
ทั้งสองคนนั่งกอดกันอยู่บนมอเตอร์ไซค์ และกำลังจูบดูดดื่มอยู่อึดใจใหญ่
แต่ไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่านั้น
“ทำไมเจ้าถึงมาช่วยข้า?”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงลูบริมฝีปากที่บวมเจ่อของตนเองพร้อมกับถาม “เจ้าไม่กลัวถูกเผ่าพันธุ์มนุษย์หมายหัวเอาหรือ? เจ้ารู้หรือไม่ว่าองค์ชายหลิงมีสถานะสูงส่งเพียงใด?”
แน่นอนว่าหลินเป่ยเฉินย่อมไม่รู้
เด็กหนุ่มยิ้มตอบกลับไป “อย่าว่าแต่องค์ชายหลิงเลย ต่อให้เป็นองค์จักรพรรดิแห่งดินแดนเกิงจินเสด็จมาที่นี่ ข้าก็ยังจะมาช่วยเหลือท่านโดยไม่ลังเลอยู่ดี”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงพ่นลมผ่านทางจมูกด้วยความแง่งอน “ปากหวาน”
หลินเป่ยเฉินรีบเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็ว “พูดถึงเรื่องนี้แล้ว เหตุไฉนท่านถึงได้พ่ายแพ้พวกเขาเสียยับเยินขนาดนั้น… เฮ้อ ท่านนี่มันโง่เขลาเกินไป ไม่เหมาะสมที่จะทำงานบู๊เลยจริง ๆ อย่างท่านกลับไปร่ำสุราอย่างเดียวดีกว่ากระมัง?”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงได้แต่ยิ้มและไม่พูดคำใด
นางรู้ดีว่าแม้หน้าฉากหลินเป่ยเฉินจะทำเหมือนพูดเล่น แต่ความจริง เขากำลังพยายามเกลี้ยกล่อมให้นางเลิกล้มแผนการของตนเอง… เพราะเด็กหนุ่มไม่อยากให้นางข้องเกี่ยวกับสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์มนุษย์และเผ่าพันธุ์ปีศาจ
“ทำไมกัน หรือว่าชีวิตท่านมีความสุขมากเกินไป?”
หลินเป่ยเฉินอดถามออกมาไม่ได้
“หากมีหนทางที่จะได้แก้แค้นแม้เพียงนิดเดียว ต่อให้ตายข้าก็ยอม” เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงโอบแขนกอดรอบคอหลินเป่ยเฉินพลางเป่าลมหายใจร้อนอุ่นใส่ใบหน้าของเขา ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ยังมีเผ่าพันธุ์ปีศาจอีกมากที่ไม่สามารถดูแลตนเองได้ หากข้าสามารถทำตามความปรารถนาของตนเองได้สำเร็จเมื่อไหร่ ข้าจะปล่อยวางทุกสิ่งและมาอยู่กับเจ้าตลอดไป ดีหรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินเองก็พูดอะไรไม่ออกแล้วเช่นกัน
เพราะคำตอบของนาง บอกชัดเจนแล้วว่าเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงยินดีตายในการต่อสู้เพื่อเผ่าพันธุ์ของตนเอง
แม้แต่เฉียวฟงประมุขพรรคกระยาจก นักสู้ผู้ไร้พ่ายจากนิยายเรื่องแปดเทพอสูรมังกรฟ้า ด้วยความที่คิดถึงอาจูมากเกินไป กอปรกับรู้สึกว่าตนเองประพฤติตัวหมิ่นเบื้องสูง เฉียวฟงจึงตัดสินใจจบชีวิตของตนเอง ปิดตำนานนักสู้ผู้กล้าอันดับหนึ่งแห่งแผ่นดินไปอย่างน่าเศร้าใจ
เพราะเหตุใด?
เพราะว่าไม่มีคนคอยเกลี้ยกล่อมเขาเลยไงล่ะ
แล้วก็ต้องโทษว่าเป็นความผิดของพวกคนรุ่นพ่ออีกด้วย…
แต่ช่างเถอะ นั่นมันนิยายคนอื่นนี่นา
“เฮ้อ เฮ้อ เฮ้อ”
หลินเป่ยเฉินเสแสร้งแกล้งถอนหายใจ ถือโอกาสลอบสำรวจภูเขาอวบอิ่มเต็มไม้เต็มมือนั้นจนหนำใจขณะกล่าวว่า “ตามใจท่านเถอะ อยากทำอะไรก็ทำ ข้าอาจจะช่วยท่านไม่ได้ แต่หากท่านมีปัญหาเมื่อไหร่ ให้รู้ไว้ว่าข้าพร้อมยืนเคียงข้างท่านเสมอ”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงซบหน้าลงกับหัวไหล่ของเขาและไม่ได้พูดคำใดออกมาอีก
ผ่านไปอีกหลายอึดใจ
หลินเป่ยเฉินก็ทำลายความเงียบขึ้นว่า “พวกเรารีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่า”
“เหตุไฉนเจ้าจึงรีบร้อนอยากออกไปนัก?”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงสอบถาม
หลินเป่ยเฉินใช้เวลาคิดอยู่เล็กน้อย ก็ให้คำตอบว่า “หากเกิดการต่อสู้ขึ้นอีกครั้ง พวกเราอาจหนีไม่รอด”
“เอ๋?”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงขมวดคิ้วด้วยสีหน้าฉงนสงสัย
หลินเป่ยเฉินอธิบายต่อไป “ถึงการปลอมตัวของข้าจะสามารถตบตาพวกขององค์ชายหลิงได้ แต่กลุ่มคนเหล่านั้นเป็นจิ้งจอกเจ้าเล่ห์กันทั้งนั้น… หากพวกเขาไล่ตามมา ก็เป็นเรื่องยากที่จะการรับมือแล้ว”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดู “อย่าห่วงเลย พวกเขาไม่ตามมาหรอก”
หลินเป่ยเฉินถามกลับไปด้วยความสงสัย “เพราะเหตุใด?”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงตอบว่า “เพราะอีกไม่ถึงครึ่งวัน สุสานแห่งนี้ก็จะปิดตัวลงแล้ว หากข้าเป็นองค์ชายหลิง ข้าไม่มีทางไล่ตามคู่ต่อสู้ที่อันตรายในสถานการณ์นี้เด็ดขาด แต่ข้าจะไปดักรอพวกเราอยู่ที่ทางออกสุสาน”
“นับว่ามีเหตุผล”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้าเห็นด้วย
ในเวลาเดียวกันนี้ สีหน้าของเด็กหนุ่มก็แปรเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน “เดี๋ยวก่อนนะ ท่านเป็นบุคคลโง่เขลาเบาปัญญาวัน ๆ เอาแต่เมาสุราตลอดมาไม่ใช่หรือ? อยู่ดี ๆ ทำไมถึงฉลาดขึ้นล่ะ?”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงทุบหน้าอกเขาอย่างแรง
นางสลัดหลุดจากอ้อมแขนของเด็กหนุ่มและกระโดดลงจากมอเตอร์ไซค์อย่างแช่มช้า
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงเดินตรงไปยังกำแพงเมืองที่แตกสลาย นางกระโดดขึ้นไปนั่งอยู่บนขอบกำแพง สองเท้าเปลือยเปล่ากวัดแกว่งในสายลม ก่อนจะหันกลับมากวักมือเรียกหลินเป่ยเฉิน “มาเถอะ ถึงที่นี่จะเป็นสุสานโบราณที่อยู่ใต้ดิน แต่ก็มีท้องฟ้ายามพระอาทิตย์ตกดินให้ดูเช่นกัน”
หลินเป่ยเฉินเดินเข้าไปนั่งอยู่ข้างกายเทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงและกล่าวว่า “สุสานแห่งนี้คงเคยเป็นเมืองใต้ดินมาก่อน ใครเลยจะไปรู้ว่าที่นี่จะตั้งอยู่ภายใต้ใจกลางเมืองหลันจี๋ซิงชัด ๆ”
เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงยิ้มเล็กน้อย ก่อนตอบว่า “ในอดีต ที่นี่ไม่ใช่เมืองใต้ดิน แต่มันเป็นดินแดนเอกเทศที่ไม่ขึ้นตรงต่อผู้ใด แต่เมื่อผ่านพ้นยุคการล่มสลายครั้งที่สอง โลกใบใหม่ได้ก่อสร้างพื้นดินขึ้นมาปิดทับดินแดนแห่งนี้ และชาวเมืองหลันจี๋ซิงก็เข้ามาสร้างพื้นที่อยู่อาศัยทางด้านบน… เจ้าคงเห็นแล้วใช่ไหมล่ะ ต่อให้ท้องฟ้าเปลี่ยนสี กาลเวลาเปลี่ยนไป แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงก็คือความทะเยอทะยานของเผ่าพันธุ์มนุษย์ พวกเขามีความทะเยอทะยานยิ่งใหญ่กว่าท้องฟ้ามหาสมุทร ยิ่งใหญ่กว่าดินแดนอันไกลโพ้นมหาศาล”
หลินเป่ยเฉินแอบอุทานอยู่ในใจว่านี่เขากำลังอยู่ในชั้นเรียนวิชาปรัชญาหรืออย่างไร?
เสียเวลาชะมัด
หากจะมีเวลาว่างขนาดนี้ สู้เอาเวลามาเรียนวิชาเพศศึกษากันดีกว่า!
Comments