เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]บทที่ 1818 เจ้าแย่งบทพูดของข้า
ตอนที่ 1,818 เจ้าแย่งบทพูดของข้า
ลมหายใจต่อมา จิตสังหารก็สลายสิ้น
ร่างกายขนาดใหญ่ยักษ์แตกสลายลงกองบนพื้นห้องไม่ต่างจากเศษดิน
กระดูกหล่นเกลื่อนกลาด
ก่อนที่กระดูกเหล่านั้นจะแตกสลายกลายเป็นผุยผง
หลินเป่ยเฉินค่อย ๆ ดึงนิ้วของตนเองกลับมา
พลังกดดันในบรรยากาศสลายหายไป
ทุกคนพยายามที่จะทำความเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
แม้แต่พวกอสูรที่เมื่อสักครู่ยังคงยกมือทุบหน้าอกของตนเองด้วยความก้าวร้าวดุดัน บัดนี้ พวกมันก็ยืนนิ่งด้วยความตกตะลึง
ทุกคนล้วนมีความคิดเป็นไปในทิศทางเดียวกันว่า ‘การประลองในคู่แรก ฮ่าวไต๋แสดงให้เห็นถึงความมหัศจรรย์ของกำปั้นตนเอง ดังนั้น ต้าเล่ยผู้มีหมัดหนักที่สุดในกลุ่มอสุรกายเขียวจึงอาสาออกไปต่อสู้ แต่ผลกลับกลายเป็นว่า…’
“มนุษย์โสโครก”
ดวงตาของหัวหน้าคณะทูตอสูรร้อนผ่าวด้วยเปลวไฟแห่งความโกรธแค้น
ความตายของผู้อาวุโสลู่ไม่ใช่เรื่องใหญ่
แต่ต้าเล่ยถือเป็นสมาชิกสำคัญในภารกิจครั้งนี้
ต้าเล่ยมาจากตระกูลใหญ่ที่มีประวัติศาสตร์ความเป็นมายาวนานในเผ่าพันธุ์อสูร
ความตายของมันจึงไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยอีกแล้ว
หลินเป่ยเฉินไม่เปิดโอกาสให้ผู้ใดได้มีโอกาสคิดสิ่งใดมากไปกว่านั้น
เขาโคจรพลังลมปราณในร่างกายและรู้สึกได้ว่าขั้นพลังในวิชาเคลื่อนย้ายกระแสปราณดำเนินมาถึงระดับ 3 ชั้นปลายสุด และเขาอาศัยเพียงพละกำลังในร่างกายเท่านั้น ก็สามารถสังหารคู่ต่อสู้ที่เป็นจอมอสูรจักราได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายามใด ๆ
เด็กหนุ่มมั่นใจว่าด้วยความแข็งแกร่งของตนเองในขณะนี้ หากเขาเผชิญหน้ากับหวงเฉิงอี้อีกครั้ง เขาก็ไม่จำเป็นต้องขยายร่างอีกแล้ว
ด้วยหมัดเดียว ทุกอย่างก็คงเพียงพอ
ดังนั้น ในขณะนี้…
หลินเป่ยเฉินจึงต้องแสดงละครตบตาให้ใหญ่โตเข้าไว้
“เจ้าไม่คิดจะปกป้องศักดิ์ศรีของเผ่าพันธุ์ตนเองบ้างหรือไง?”
หลินเป่ยเฉินยกมือกระดิกนิ้วเรียกหัวหน้าคณะทูตอสูรและกล่าวว่า “ข้าจะให้โอกาสกับเจ้า เข้ามาเลย ได้เวลาที่เจ้าจะพิสูจน์ถึงความกล้าหาญและความแข็งแกร่งของตนเองแล้ว”
หัวหน้าคณะทูตอสูรพ่นลมหายใจออกมาจากจมูกเป็นควันสีขาว
ไม่ต่างจากกระทิงที่กำลังบ้าคลั่ง
มันเดินเข้ามาสู่ลานเต้นรำอย่างแช่มช้า
“มนุษย์ผู้ต่ำต้อย เจ้าจะต้องตายอย่างทรมาน...”
หัวหน้าคณะทูตอสูรโคจรพลังปราณ แล้วกล้ามเนื้อบนลำตัวก็ขยายใหญ่ขึ้น
บนผิวหนังปรากฏอักขระโบราณจำนวนมาก บริเวณข้อศอก หัวเข่า หัวไหล่และตามข้อต่อของร่างกาย มีกระดูกสีขาวทิ่มแทงออกมาด้วยความแหลมคม แล้วอักขระโบราณที่อยู่บนผิวหนังก็เรืองแสงเป็นประกายระยิบระยับ
แสงสว่างปกคลุมไปทั่วห้องประชุม
ร่างกายของหัวหน้าคณะทูตอสูรขยายใหญ่ขึ้น
เพียงพริบตาเดียว มันก็มีความสูงมากถึงสิบห้าเมตร
จิตสังหารและมวลพลังกดดันทำให้มวลอากาศปั่นป่วนสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
บรรยากาศของงานรื่นเริงแปรเปลี่ยนไปไม่ต่างจากนรกแห่งการสังหาร
“ไม่มีผู้ใดจะมาดูหมิ่นศักดิ์ศรีของเผ่าพันธุ์อสูรได้ทั้งสิ้น”
หัวหน้าคณะทูตอสูรระเบิดเสียงคำราม เขาจ้องมองหลินเป่ยเฉินด้วยดวงตาแดงก่ำพร้อมกับกล่าวว่า “เลือดของมนุษย์ผู้ต่ำต้อยอย่างพวกเจ้า เป็นได้เพียงน้ำล้างเท้าของพวกเราเท่านั้น”
ผู้คนที่อยู่ในห้องประชุมไม่ว่าจะเป็นเผ่าพันธุ์ใดก็ตาม ในขณะนี้ พวกเขาต่างก็ต้องล่าถอยออกมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
มวลพลังกดดันมหาศาลหนักหน่วงถึงเพียงนี้ แทบไม่มีผู้ใดจะต้านทานได้อีกแล้ว
“ท่านแม่ทัพขอรับ เราจะปล่อยให้เหตุการณ์บานปลายไปมากกว่านี้ไม่ได้”
เยว่ชิงอานสื่อสารผ่านทางพลังจิต “อสูรตนนี้เป็นถึงหัวหน้าคณะทูต ย่อมมีความแข็งแกร่งไม่ต่ำต้อย เกรงว่าฮ่าวไต๋คงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมันแล้ว”
หลี่อี้สวิ่นพยักหน้าเล็กน้อย
นางกำลังจะพูดอะไรบางอย่างออกมา…
“หึ ๆ คิดจะเอาความตัวใหญ่เข้าข่มข้าสินะ?”
หลินเป่ยเฉินหัวเราะเยาะ “ขนาดเศษสวะที่วิวัฒนาการผิดพลาดอย่างพวกเจ้ายังสามารถขยายร่างได้ ข้าเองก็สามารถกระทำได้เช่นกัน”
หลังจากนั้น
ชุดเสื้อคลุมสีขาวก็ฉีกขาด
ร่างกายของเด็กหนุ่มขยายใหญ่มากขึ้นเรื่อย ๆ
สามเมตร...
เจ็ดเมตร...
สิบสองเมตร...
เพียงพริบตาเดียว หลินเป่ยเฉินก็กลายเป็นยักษ์ใหญ่ที่มีขนาดตัวสิบแปดเมตร
บัดนี้ ผิวพรรณที่ขาวเนียนของหลินเป่ยเฉินเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อปูดโปนไม่ต่างจากนักเพาะกาย มวลพลังกดดันแผ่ไปรอบบริเวณอย่างหนักหน่วง ในอากาศเป็นประกายระยิบระยับด้วยแสงสีเงินที่เรืองรองออกมาจากร่างกายของเขา ร่างกายที่สูงใหญ่สมส่วนสมบูรณ์แบบราวกับงานศิลปะชั้นเลิศ
หลินเป่ยเฉินก้มหน้ามองหัวหน้าคณะทูตอสูรที่มีความสูงเพียงสิบห้าเมตร
ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความดุร้ายของหัวหน้าคณะทูตแสดงให้เห็นถึงความประหลาดใจที่แท้จริง
“เจ้าขโมยบทพูดของข้า”
เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ ลมหายใจที่เป่าออกมาจากปากและจมูกของหลินเป่ยเฉินก็กลายเป็นพายุหมุนขนาดย่อม เสียงของเขาดังกังวานปานฟ้าผ่า “สิ่งมีชีวิตต่ำช้าอย่างพวกเจ้าจะรู้จักอะไรมากไปกว่าการฆ่าฟันและการทำลายล้าง เผ่าพันธุ์อสูรเป็นได้เพียงสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำเท่านั้น ไม่ควรค่าที่จะมีชีวิตอยู่บนโลกนี้อีกต่อไป… เลือดอสูรของพวกเจ้า มีค่าเป็นเพียงน้ำล้างเท้าของพวกเราเท่านั้น”
พลั่ก!
หลินเป่ยเฉินกระแทกหมัดลงไป
หัวหน้าคณะทูตอสูรยกแขนขึ้นป้องกัน
โลหิตสาดกระจาย
ไม่ต่างจากมีคนนำถังใส่ซอสมะเขือเทศขนาดใหญ่เทลงมาจากกลางอากาศ
ร่างของหัวหน้าคณะทูตระเบิดกระจาย
หัว แขน ลำตัวและสองขา… กระจัดกระจายไม่เหลือชิ้นดี
เมื่อเผชิญหน้ากำปั้นของหลินเป่ยเฉิน แม้หัวหน้าคณะทูตจะใช้วิชาลับประจำเผ่าพันธุ์ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ร่างกายของตนเอง แต่สุดท้าย มันก็ไม่อาจต้านทานการโจมตีของเด็กหนุ่มได้เลยแม้แต่น้อย
หลี่อี้สวิ่นผู้ที่มีพลังอยู่ในขั้นจอมปีศาจจักราคิดไม่ถึงเลยว่าหัวหน้าหน่วยองครักษ์ของตนเองจะมีความแข็งแกร่งถึงเพียงนี้
ยังไม่ทันที่นางจะจัดการแก้ไขปัญหา ทุกอย่างก็จบสิ้นลงแล้ว
ตัวแทนคณะทูตอสูรในห้องประชุมยืนตกตะลึง
พวกมันมีความคิดเป็นอย่างเดียวกันว่า ท่านหัวหน้าคณะทูต...ตายแล้วหรือ?
ท่านหัวหน้าคณะทูตตายแล้วจริง ๆ
“มีผู้ใดอีกบ้าง?”
หลินเป่ยเฉินกวาดสายตามองไปทางกลุ่มอสุรกายเขียว “มีผู้ใดต้องการจะออกมาต่อสู้กับข้าอีกหรือไม่?”
กลุ่มอสูรนิ่งเงียบ
ไม่ว่าก่อนหน้านี้ พวกมันจะแสดงกิริยาก้าวร้าวเพียงใด แต่บัดนี้ กลุ่มอสูรก็ไม่กล้าส่งเสียงพูดออกมาแม้แต่คำเดียว
“ใช้การไม่ได้จริง ๆ”
หลินเป่ยเฉินค่อย ๆ ย่อขนาดร่างกายกลับมาอยู่ในร่างปกติ ก่อนที่จะพูดปิดท้ายว่า “อสูรอ่อนหัดอย่างพวกเจ้าคิดมาดูหมิ่นนายท่านของข้า นับว่ารนหาที่ตายให้แก่ตนเองโดยแท้”
Comments