เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙]บทที่ 88 รีดไถ (ปลาย)
บทที่ 88 รีดไถ (ปลาย)
“ดูเหมือนว่าจะเป็นบทเรียนเกี่ยวกับหลักการของกฎหมายอาญา” เว่ยสั่ว อธิบาย “อาจารย์ที่กำลังสอนอยู่ชื่อ จางซาน ฉายา ‘คนบาปผู้เข้าใจกฎหมาย’ เขาเป็นหนึ่งในที่ปรึกษาที่คอยให้คำแนะนำผู้พิพากษาของเมือง เขารอบรู้ในช่องโหว่ทางกฎหมายของอาณาจักร บ่อยครั้งที่เขาได้รับเชิญให้ไปบรรยายความรู้เกี่ยวกับกระบวนการทางกฎหมายกับนักศึกษาของสถาบันอื่น ๆ
เจ้าเองก็น่าจะรู้ดีว่าด้วยความสามารถของเรา มันเป็นไปไม่ได้ที่เราจะก้าวหน้าในด้านการบ่มเพาะ ดังนั้นบทเรียนส่วนใหญ่ของเราจึงเกี่ยวข้องกับความรู้เชิงบริหารซะส่วนใหญ่ เพื่อที่เราจะสามารถทำสิ่งที่มีประโยชน์ในอนาคตได้”
ซูอัน เข้าใจตำแหน่งทางการต่าง ๆ และระดับการบ่มเพาะที่สอดคล้องกันในโลกนี้ไม่มากก็น้อย เจ้าเมืองจันทร์กระจ่าง มีระดับการบ่มเพาะอยู่ในระดับที่ 7 และผู้รับใช้โดยตรงภายใต้ของเขาคือผู้พิพากษาและหัวหน้าผู้บริหารกิจการภายในของเมือง สองคนนี้ถือได้ว่าเป็นมือขวาและมือซ้าย
ของเขา และทั้งสองคนก็มีระดับการบ่มเพาะอยู่ในระดับ 5
ถัดมาผู้ที่มีอำนาจรองลงมาอีกก็คือหัวหน้าของ 6 ฝ่ายกิจการภายในเมืองได้แก่ ฝ่ายกิจการทหาร ฝ่ายกฎหมาย ฝ่ายโยธา ฝ่ายทะเบียนราษฎร์
ฝ่ายสรรพากร และฝ่ายการเกษตร หัวหน้าของแต่ละฝ่ายพวกนี้
มีระดับการบ่มเพาะอยู่ในระดับที่ 3
เนื่องจากว่า เมืองจันทร์กระจ่าง เป็นเมืองขนาดใหญ่
ดังนั้นบรรดาขุนนางระดับบริหารทั้งหลายจึงมีระดับการบ่มเพาะที่ค่อนข้างสูงซึ่งถ้าเทียบกับเมืองระดับกลางแล้ว เจ้าเมืองระดับกลางจะมีระดับการบ่มเพาะอยู่ที่ระดับ 5 เท่านั้น ส่วนเมืองขนาดเล็ก เจ้าเมืองจะมีระดับการบ่มเพาะแค่เพียงระดับที่ 4
“ว่าแต่เป็นยังไงบ้าง? อาจารย์ใหญ่เจียง สวยงดงามสมคำร่ำลือเลย
ใช่ไหม?” เว่ยสั่ว มองไปที่ ซูอัน ด้วยสายตาเปล่งประกายขณะที่เขาถาม
ซูอัน หวนนึกถึงความรู้สึกอบอุ่นและนุ่มนวลบนปลายนิ้วของเขา
ก่อนหน้านี้ และเผลอตอบโดยไม่รู้ตัว “แน่นอน”
“วันนี้ถุงน่องของนางสีอะไร” เว่ยสั่ว ถามอย่างตื่นเต้น
ซูอัน อดไม่ได้ที่จะถอยห่างออกไปเล็กน้อยเพื่อเว้นระยะห่างจากไอ้คนโรคจิตผู้นี้สักหน่อย “สีดำ”
“โอ้~เป็นไปตามคาดของเทพธิดาของข้า! ” เว่ยสั่ว ครางออกมา
ด้วยสีหน้าล่องลอย ราวกับว่าเพียงแค่ความรู้เกี่ยวกับสีของถุงน่องมันก็ทำให้เขาสำเร็จความสุขไปถึงสวรรค์ชั้นเจ็ด
ซูอัน ส่ายหัวด้วยสีหน้าขยะแขยง ไอ้เด็กคนนี้มันเป็นพวกโรคจิตแน่นอน!
แต่แล้วแค่เพียงพริบตาเสียงวัตถุบางอย่างก็พุ่งผ่านอากาศมากระทบเข้าที่หน้าผากของ เว่ยสั่ว อย่างแม่นยำส่งผลให้เขาร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด
ซูอัน สังเกตเห็นว่ามีชอล์กตกลงบนพื้นข้างๆ เว่ยสั่ว ใครจะคิดว่าอาจารย์ทุกคนไม่ว่าจะเป็นโลกไหน ล้วนมีความชำนาญในวิชาการปาชอล์กเหมือนกันหมด!
แต่เมื่อคิดดูอีกที ในชีวิตก่อนหน้านี้ของเขาคงจะสะดุ้งเล็กน้อย
แต่อาจารย์ในโลกนี้ล้วนเป็นผู้บ่มเพาะที่ทรงพลัง หากพวกเขาเอาจริงขึ้นมา แม้แต่ชอล์กบ้า ๆ แบบนี้ก็อาจคร่าชีวิตคนคนหนึ่งได้อย่างง่ายดาย
ที่หน้าห้อง จางซาน จ้องเขม็งที่ เว่ยสั่ว และตะโกนว่า “นักศึกษาคนนั้น ออกมาหน้าห้องเดี๋ยวนี้เพื่อตอบคำถามนี้ของข้า”
เว่ยสั่ว รู้สึกสับสน “คำถามอะไรงั้นเหรออาจารย์?”
ซูอัน แอบยกนิ้วโป้งให้อย่างเงียบ ๆ ไอ้เด็กคนนี้มันกล้าถามย้อนซะด้วย!
จางซาน ตวาดขึ้นด้วยสีหน้าโกรธจัด “ถ้าเจ้าไม่รู้ ก็ไปยืนที่หลังห้องเรียนซะและตั้งใจฟังการบรรยายของข้าให้มากกว่าเดิม!”
เว่ยสั่ว วิ่งไปที่หลังห้องเรียนทันทีโดยไม่ลังเล
ในขณะเดียวกัน ซูอัน ก็นั่งตัวตรงในขณะที่สาปแช่งในใจ
บัดซบเอ้ย ข้าล่ะเกลียดจริง ๆ เมื่อถึงเวลาที่พวกอาจารย์ชอบสุ่มถามคำถามคนในห้องเรียนเนี่ย มันทำให้ใจข้าเต้นรัวอยู่เสมอ ข้าทำอะไรผิดถึงขนาดที่ต้องมาเผชิญกับวิบากกรรมแบบเดิมซ้ำ ๆ แม้ว่าจะถูกส่งตัวมาต่างโลกแบบนี้!?
มันไม่ง่ายเลยสำหรับ ซูอัน ที่อยู่รอดจนถึงจบชั้นเรียน เขาฟุบหน้านอนลงบนโต๊ะด้วยสีหน้าหดหู่สงสัยว่าเมื่อไหร่วันที่ทรมานเช่นนี้จะสิ้นสุดลงสักที
แต่แล้วจู่ ๆ โต๊ะของเขาก็ถูกเงาบางอย่างบดบังซึ่งทำให้ ซูอัน อดไม่ได้
ที่จะเงยหน้าขึ้นมามอง
เมื่อ ซูอัน เงยหน้าขึ้นมองเขาก็เห็นเด็กผู้ชายตัวอ้วนยืนอยู่ข้างที่นั่ง
ของเขา มองลงมาที่เขาด้วยสายตาหยิ่งผยอง
“มีอะไร?” ซูอัน ถามอย่างปัดรำคาญ ถ้าอีกฝ่ายเป็นสาวสวย เขาคงคิดว่าจะให้ความบันเทิงกับนางสักหน่อย แต่เนื่องจากฝั่งตรงข้ามเป็นเพียงหมู
ตัวหนึ่ง เขาจึงไม่ได้ใส่ใจอะไรมากมาย
“ข้าจะรอเจ้าอยู่ในป่า” เจ้าอ้วนนั่นทิ้งคำพูดเอาไว้ก่อนออกจากห้องเรียนไปซึ่งนักศึกษาคนอื่น ๆ ที่ดูเหมือนลูกสมุนก็ติดตามออกไปอย่างรวดเร็ว
“ไอ้เด็กนั่นมันเป็นอะไรของมัน? สมองของมันมีปัญหาเหรอไง?” ซูอัน เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้างุนงง
ตอนนั้นเองที่ เว่ยสั่ว กลับมาจากหลังห้อง เมื่อได้ยินคำพูดของ ซูอัน
เขาก็รีบพูดว่า “ชู่วว! อย่าพูดดังสิ! ไอ้คนผู้นั้นคือขาใหญ่ของชั้นเรียนนี้มันชื่อ ม่านอวี้ นิสัยของมันเลวร้ายพอ ๆ กับขนาดร่างของมันเลยทีเดียว!”
“เจ้าเคยโดนมันรังแกมาก่อนงั้นเหรอ?” เมื่อมองไปที่สีหน้าของ เว่ยสั่ว ที่ดูประหม่า ซูอัน อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเล็กน้อย
เว่ยสั่ว ทำได้เพียงหัวเราะอย่างขมขื่น “ข้าแนะนำให้เจ้าไปที่ป่าตามที่มันต้องการ เพราะถ้าเจ้าไปอย่างมากที่สุดที่ ม่านอวี้จะทำกับเจ้าก็คือเอาหินพลังชี่ของเจ้าไป แต่ถ้าเจ้าไม่ไปหลังจากวันนี้มันจะหาโอกาสทุบตีเจ้าแน่นอน”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ความสนใจของ ซูอัน ถูกสะกิดขึ้นทันที “ไอ้หมูนั่นชอบขโมยหินพลังชี่ของคนอื่นงั้นเหรอ?”
เว่ยสั่วพยักหน้า “ถูกต้อง ม่านอวี้ ชอบทำแบบนี้เสมอ หินพลังชี่ที่ข้าเพิ่งได้รับก็เพิ่งถูกเอาไป…แต่ว่าพวกเราไม่จำเป็นต้องใส่ใจอะไรมากนักหรอก คนที่มีพรสวรรค์ต่ำเตี้ยอย่างเราไม่มีทางบ่มเพาะไปได้ไกลกว่านี้อยู่ดีดังนั้น หินพลังชี่ จึงเป็นสิ่งไร้ประโยชน์สำหรับเรา มันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะทำให้ ม่านอวี้ ขุ่นเคืองกับหินพลังชี่แค่ก้อนเดียว”
“แต่ข้าได้ยินมาว่าหินพลังชี่ มีค่ามาก” ซูอัน กล่าว
“นั่นเป็นเรื่องจริงเหมือนกัน ข้าได้ยินมาว่าแต่ละก้อนมีมูลค่า
อย่างน้อย ๆ ก็ 10 ตำลึงทองในตลาดมืด และนั่นคือราคาที่มีใครเต็มใจ
ขายมัน” เว่ยสั่ว ตอบกลับ
ดวงตาของ ซูอัน เป็นประกายด้วยความตื่นเต้น 10 ตำลึงทอง เท่ากับ 180,000 หยวน! ตอนนี้เขากำลังขาดเงินอยู่พอดี หากเขาได้หินพลังชี่เพิ่มอีกสักสองสามก้อน ปัญหาทางการเงินของเขามันก็จะหมดไปในทันที?
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ซูอัน รีบกระโจนออกจากที่นั่งและวิ่งออกจากห้องเรียนไปในทันที ซึ่งไม่นานนักเขาก็มาถึงป่าที่คนอ้วนชี้ให้เขาเห็น
ซูอัน สังเกตเห็นว่าพื้นที่บริเวณนี้ค่อนข้างลับตาผู้คนซึ่งเห็นได้ชัดว่าฝั่งตรงข้ามได้สำรวจพื้นที่นี้เอาไว้ล่วงหน้าแล้ว
“ดูเหมือนว่าเจ้ายังพอฉลาดอยู่บ้าง” เมื่อเห็นซูอัน ม่านอวี้ เดินเข้ามาหาและแบมือออกทันทีพร้อมกับพูดว่า “มอบทรัพยากรบ่มเพาะที่เจ้าได้รับมาวันนี้ให้ข้าทั้งหมดและข้าจะปกป้องเจ้านับจากนี้ไป”
Comments