เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า 57 แย้มยิ้มชายตากลับ + 58 จวนภูตในห้วงมิติ!

Now you are reading เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า Chapter 57 แย้มยิ้มชายตากลับ + 58 จวนภูตในห้วงมิติ! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 57 แย้มยิ้มชายตากลับ + ตอนที่ 58 จวนภูตในห้วงมิติ!

ตอนที่ 57 แย้มยิ้มชายตากลับ

เมื่อเห็นมู่หรงอี้เซวียน เฟิ่งจิ่วนึกไม่ถึงเล็กน้อยที่บังเอิญมาพบเขาที่นี่

อันที่จริงก่อนหน้านี้มีคนตามหลังพวกเขามาเธอก็รู้สึกได้แล้ว เพียงแต่ไม่รู้สึกถึงจิตมุ่งร้าย ด้วยเหตุนี้จึงไม่ใส่ใจอะไร พอคิดดูแล้วคนที่สะกดรอยตามก็คือเขานี่เอง

เพียงแต่ เขาอยู่ข้างกายเฟิ่งชิงเกอตัวปลอมนั่นไม่ใช่หรือ? ทำไมมาโผล่ที่นี่ได้?

ยังมีแววตามองสำรวจของเขาอีก หมายความว่าอะไร?

ภายใต้ผ้าคลุมหน้า เธอผุดรอยยิ้มขี้เล่นออกมา ดึงสายตากลับเบาๆ ก่อนจะก้าวเดินไปด้านนอก ทว่าเดินไปไม่กี่ก้าว คนที่เดิมเคยนั่งอยู่ก็กลับลุกมาขวางอยู่ตรงหน้า

เธอไม่พูดอะไร แค่ช้อนตาขึ้นมองเขาเล็กน้อย

มู่หรงอี้เซวียนเองก็ไม่ปริปาก เขายืนอยู่เบื้องหน้ามองสองดวงตาของนางอย่างเงียบๆ เช่นนั้น ราวกับอยากจะค้นหาความคุ้นเคยเมื่อวันวานจากดวงตาของนาง ทว่าเขาก็ต้องผิดหวัง

แม้ดวงตาคู่นั้นจะคล้ายนางยิ่งนัก แต่แววตาดื้อดึงเอาแต่ใจกลับไม่ใช่สิ่งที่นางมี

ดวงตาคู่นี้งดงามเช่นนั้น คล้ายคลึงกับคนในหัวใจเขา แต่แววตาชิงเกอของเขาอ่อนโยน ดวงตาตรงหน้ากลับมีความดุดันแอบซ่อนไว้ เป็นสองลักษณะที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ทำให้เขาไม่รู้จะแยกแยะอย่างไรไปชั่วขณะ

“หมอนี่ เจ้าทำอะไรน่ะ?”

กวนสีหลิ่นเห็นว่าสถานการณ์ไม่ชอบกลนักจึงก้าวเท้าออกไป ร่างกายล่ำสันขวางอยู่ตรงกลางระหว่างสองคนทั้งแบบนั้น ขัดจังหวะการประจันหน้าของพวกเขา

มู่หรงอี้เซวียนได้สติกลับมา เขามองชายหนุ่มร่างกายสูงใหญ่ตรงหน้า ก่อนจะผุดรอยยิ้มสง่างาม “พี่ชายท่านนี้ ข้าแค่เห็นว่าคุณหนูดูคล้ายสหายข้าคนหนึ่ง จึงอยากเอ่ยปากทักทาย”

อาจเพราะกลิ่นอายความมีชาติตระกูลบนร่างและความสุภาพของเขา ทำให้กวนสีหลิ่นคิดว่าเขาไม่เหมือนคนไม่ดี ด้วยเหตุนี้กวนสีหลิ่นที่สงสัยอยู่บ้างจึงหันกลับไปมองคนด้านหลังแวบหนึ่ง

“แม่นาง ดอกท้อในอารามดอกท้อจะบานในเดือนสาม”

มู่หรงอี้เซวียนมองนางอย่างสงบ สายตาเขาอ่อนละมุนยิ่งนัก คำพูดแปลกๆ ก็ทำให้กวนสีหลิ่นไม่ค่อยเข้าใจ ไม่รู้ว่าหมายถึงอะไร

มีเพียงเฟิ่งจิ่วที่ใจสั่นน้อยๆ ในความทรงจำเธอมีภาพอันอบอุ่นอ่อนหวานเช่นนั้นอยู่…

‘พี่มู่หรง ได้ยินมาว่าดอกท้อในอารามดอกท้อนั้นงามที่สุด สีแดงขาวตัดสลับขับเน้นกัน ดาษดาทั่วเนินเขาท้องทุ่ง จริงหรือไม่เจ้าคะ?’ ใต้ต้นท้อ สาวน้อยรูปโฉมเพริศพริ้งเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย มองชายหนุ่มชุดขาวข้างกายด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกลึกซึ้ง

ในดวงตาชายหนุ่มชุดขาวคือความอ่อนโยนชวนให้หลงใหล เขายกมือขึ้นโอบสาวน้อยข้างกาย พูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า ‘อืม ดอกท้อในอารามดอกท้อมองไปไร้ที่สิ้นสุด เพียงลมพัดผ่าน กลีบดอกชมพูทั่วฟ้าจะปลิวว่อนดั่งสายฝนดอกไม้ รอเดือนสามปีนี้ ดอกท้อบานสะพรั่ง พี่จะพาเจ้าไปดู’

รอเดือนสามปีนี้ ดอกท้อบานสะพรั่ง พี่จะพาเจ้าไปดู…

ก้นบึ้งดวงตาเฟิ่งจิ่วที่หลุบลงครึ่งหนึ่งฉายแววตะลึง ในใจทั้งเศร้าโศกและเจ็บปวด เธอรู้ว่านั่นคือความรักใคร่คิดถึงที่เฟิ่งชิงเกอคนเดิมมีต่อมู่หรงอี้เซวียน

คนก็อยู่ตรงหน้า คำพูดเสมือนเพิ่งได้ยินเมื่อวาน แต่คนคนนั้นกลับหายไปจากโลกนี้แล้ว…

มู่หรงอี้เซวียนตึงเครียดเล็กน้อย สายตาลึกซึ้งจับจ้องดวงตาที่หรี่ลงครึ่งหนึ่งของนาง อยากจะมองให้ออกถึงท่าทีที่แปลกไป

“ดอกท้อในอารามดอกท้อบานเดือนสาม ข้าจะพาน้องสาวข้าไปดูเอง ไหนเลยต้องให้เจ้ามาเตือน?”

กวนสีหลิ่นที่ไม่รู้ความหมายของคำพูดนั้นกล่าวขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ จากนั้นจูงมือเฟิ่งจิ่วก้าวเท้ายาวออกไปด้านนอก พลางกำชับว่า “น้องข้า เราอย่าไปสนใจเจ้าหน้าอ่อนนั่นเลย เจ้านั่นแค่มองดูก็รู้ว่าเป็นคุณชายนักรัก ยังมีดอกท้อบานเดือนสามนั่นอีก ข้าว่าเขาคิดจะเกี้ยวพาเจ้าแน่ๆ”

พอได้ยินคำพูดเขา เฟิ่งจิ่วหลุดหัวเราะออกมาอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่ เธอชำเลืองมองกลับไป ในแววตาเจือยิ้มอยู่บางๆ…

…………………………………………………….

ตอนที่ 58 จวนภูตในห้วงมิติ!

มู่หรงอี้เซวียนเห็นเฟิ่งชิงเกอเป็นคนที่ผูกพันรักใคร่ แต่กับเธอเฟิ่งจิ่วกลับเป็นเพียงคนแปลกหน้าคนหนึ่ง…

เรื่องที่เธอต้องทำพึ่งพาได้แค่ตัวเอง ต่อให้เขาผู้นี้จะเป็นหนึ่งในคนที่เฟิ่งชิงเกอเชื่อใจมาก เธอก็คงไม่บอกกล่าวเขาถึงสถานการณ์ตอนนี้

ช่วยคนอื่น จนแล้วจนรอดก็ไม่สู้ช่วยตัวเอง

มู่หรงอี้เซวียนมองเงาร่างที่จากไปของทั้งสองอย่างตะลึงเล็กน้อย

น้องสาว?

ชายผู้นั้นบอกว่านางคือน้องสาว? เช่นนั้นนางก็ไม่ใช่ชิงเกอ?

หัวใจเขาเหมือนว่างเปล่าโดยพลัน หดหู่ลงเล็กน้อย และยินดีอยู่บ้าง ทั้งหมดนี้อาจเป็นเพียงเพราะเขาคิดมากไป…

ถึงอย่างไร ความกังขาของเขาก็น่าเหลือเชื่อออกเช่นนั้น ถ้าเรื่องที่สงสัยอยู่เป็นความจริง นั่นเท่ากับบอกว่าเฟิ่งชิงเกอที่กลับไปจวนตระกูลเฟิ่งตอนนี้เป็นตัวปลอมน่ะสิ? ต่อให้ในใจเขาจะเคลือบแคลงไปบ้าง รู้สึกว่านางไม่ใช่ แต่ท่านพ่อกับท่านปู่ของนางจะยังจำผิดคนได้หรือ?

อาจเป็นเพราะทั้งหมดนี้เขาแค่ระแวงไป

อีกด้านหนึ่ง กวนสีหลิ่นกับเฟิ่งจิ่วดูเรือนมาหลายที่ จนสุดท้ายก็ถูกตาต้องใจเขตเรือนที่ค่อนข้างเงียบสงบแห่งหนึ่ง ทำเลออกจะห่างไกล แต่กินขาดเรื่องความสงบ และสภาพแวดล้อมก็ไม่เลวเลย

วันนั้น พอจัดหาซื้อสิ่งของที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวันแล้ว ทั้งสองจึงย้ายเข้าไปอยู่

หลังจากบอกกล่าวกวนสีหลิ่น เฟิ่งจิ่วก็เข้าสู่การฝึกฝนแบบปิดด่านเก็บตัว…

ตลอดสามวันติดต่อกัน ประตูที่ปิดแน่นไม่เคยได้เปิดออก

ส่วนกวนสีหลิ่นที่เฝ้าอยู่ในเขตเรือนก็ฝึกฝนการใช้กระบี่ด้วยมือซ้ายตลอดเวลาสามวันนี้

พรสวรรค์เดิมของเขาไม่เลวเลย พลังปะทุก็แข็งแกร่ง จากมือซ้ายที่เดิมทีฝีมือตกไม่ได้เรื่องได้ราว ตอนนี้เป็นรูปเป็นร่างแล้ว แม้จะไม่กระฉับกระเฉงเท่าใช้มือขวา แต่เรี่ยวแรงก็ค่อยๆ ใช้ได้ขึ้นมาบ้าง

ข้างในห้อง เฟิ่งจิ่วที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงสองมือวางนิ่งอยู่บนเข่าสองข้าง รอบกายมีพลังเร้นลับสีแดงที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าชั้นหนึ่งกระจายอยู่ พลังเร้นลับบนร่างเธอหมุนวนเร็วมาก แทบพูดได้เลยว่าพลังเร้นลับกำลังเข้าสู่จุดรวมพลังตรงกลางหว่างคิ้วอย่างรวดเร็ว ค่อยๆ รวมกลุ่มเข้าด้วยกัน

ผู้เริ่มฝึกฝนจะก้าวเข้าสู่ระดับนักรบ ต้องฝึกกันหลายปีถึงมีความเป็นไปได้ว่าจะบรรลุพลังเร้นลับขั้นเริ่มต้นของระดับนักรบ

ยกตัวอย่างเช่นเฟิ่งชิงเกอคนเดิม พละกำลังเก่าก่อนก็แค่วรยุทธ์ระดับนักรบขั้นสอง แต่ตอนนี้เธอใช้เวลาสั้นๆ ไม่ถึงสามวัน จุดรวมพลังก็บรรลุไปส่วนหนึ่งแล้ว ซ้ำยังเข้าสู่พลังเร้นลับขั้นเริ่มต้นได้อย่างมั่นคง พละกำลังก็พัฒนาขึ้น

ต้องรู้ไว้ว่า นักรบพลังเร้นลับก็มีความแข็งแกร่งบางส่วนแล้ว คนเช่นชายวัยกลางคนระดับปรมาจารย์นักรบที่เธอเคยพบในป่าเก้าหมอบก่อนหน้านี้ กำลังเขาเทียบเท่ากับเสาหลักประจำตระกูลไปแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น อีกฝ่ายก็เป็นแค่ปรมาจารย์นักรบพลังเร้นลับขั้นกลาง

วันนั้นเขาที่เป็นปรมาจารย์นักรบพลังเร้นลับขั้นกลางก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเธอ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงจุดรวมพลังที่ฝึกฝนออกมาได้ในวันนี้ ซ้ำยังเข้าถึงระดับนักรบพลังเร้นลับขั้นเริ่มต้นที่สองแล้ว

ขณะที่เธอถอนหายใจเบาๆ และลืมตาขึ้นช้าๆ ในหัวก็มีเสียงประหลาดใจของหงส์ไฟน้อยดังขึ้นมา

“หญิงโง่ ข้าทำลายเขตอาคมด้านในห้วงมิตินี้แล้ว เจ้าเข้ามาลองดูเร็ว!”

ดวงตาเฟิ่งจิ่วฉายแววแปลกใจ ขยับความคิดแวบตัวเข้าไปในห้วงมิติทันใด พอเข้ามาก็ตกตะลึงอย่างอดไม่ได้

“นี่คือ…”

“เป็นอย่างไรล่ะ? ข้าเคยบอกไว้แล้วนี่ว่าพละกำลังของข้าร้ายกาจมาก? เขตอาคมที่ตาแก่นั่นไม่ได้ทำลาย ข้าจัดการให้แล้ว”

หงส์ไฟน้อยมองเธออย่างได้ใจ ก่อนพูดอีกว่า “ก็ไม่รู้ว่าเจ้ามีโชคดีขัดลิขิตสวรรค์อะไรนัก ถึงได้มาพบโลกในห้วงมิติที่หาเจอได้น้อยยิ่งเช่นนี้ หากฝึกวิชาในนี้ หนึ่งวันด้านนอกเทียบเท่ากับเวลาสามวันของด้านในเลย”

ได้ยินเช่นนั้น เธอก็รู้สึกว่าน่าเหลือเชื่อ เพราะตั้งแต่เข้ามาเธอก็สังเกตุเห็นแล้ว หลังจากเขตอาคมที่เคยขวางกั้นไว้ถูกทำลาย พลังวิญญาณด้านในนี้ก็หนาแน่นมาก

…………………………………………………….

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *