เซียนหมากข้ามมิติ 397 แม้แต่สวรรค์ก็อยากแย่งไป

Now you are reading เซียนหมากข้ามมิติ Chapter 397 แม้แต่สวรรค์ก็อยากแย่งไป at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 397 แม้แต่สวรรค์ก็อยากแย่งไป

เตียวน้อยสองตัวปรากฏตัวต่อหน้าฉีเหวินอย่างไม่ยี่หระ อีกทั้งหันหลังให้ฉีเหวินและสนอกสนใจในถังน้ำ ชัดเจนว่าคุ้นเคยกับคนของอารามเขาเมฆามากแล้ว

ในธารน้ำบนเขาเมฆาก็มีปลาเช่นกัน แต่ปลาในนั้นอย่างมากก็ตัวยาวเท่าฝ่ามือ ตัวผอมบางมาก เตียวน้อยทั้งสองจึงถือเป็นสัตว์ยักษ์สำหรับปลาพวกนั้น

แต่วันนี้ปลาที่อยู่ในถังน้ำใหญ่จนอธิบายไม่ถูก เหมือนกับสัตว์ประหลาดตัวใหญ่ในน้ำอย่างไรอย่างนั้น เตียวน้อยสองตัวมองแล้วตะลึงงัน นึกถึงปลาที่ตัวใหญ่เพียงครึ่งเดียวของปลาพวกนี้ที่พวกมันคาบหนีไปในตอนแรก

“ระวังหน่อย อย่าได้ตกลงไปเชียว ไม่เช่นนั้นใครจะได้กินใครก็ไม่แน่แล้ว!”

นักพรตชิงซงกำชับกับเตียวน้อยก่อนจะรีบออกจากห้องครัว อย่างไรเสียแขกก็ยังอยู่ข้างนอก

เห็นฉีเซวียนและฉีเหวินตามกันออกมาแล้ว จี้หยวนมองเตียวน้อยตรงถังน้ำในครัวเล็กน้อย จากนั้นถามด้วยรอยยิ้มเปื้อนหน้า

“คุ้นเคยกับเจ้าตัวน้อยสองตัวนั้นแล้วหรือ”

ฉินจื่อโจวลูบเครากล่าว

“ถูกต้อง เดิมทีเตียวน้อยสองตัวเกิดปัญญาแล้ว มีใจใฝ่มรรค หลังจากข้าอธิบายกับพวกมันแล้ว ย่อมทำให้พวกมันเข้าฝึกปราณที่อารามเขาเมฆาโดยไม่เสียเวลาอะไร เมื่อเกิดใหม่หลอมกระดูกแล้วก็นับเป็นศิษย์ของอารามเขาเมฆา”

มังกรเฒ่ามองเตียวน้อยสองตัว รู้ว่าโอกาสฝึกปราณของพวกมันคือการสนทนามรรคที่เรียบง่ายของเขาและจี้หยวนในอารามเขาเมฆาเมื่อปีนั้น

“พวกมันโชคดีมาก ด้วยไม่รู้เลยว่าผู้ฝึกปราณในใต้หล้ามีคนที่โชคดีเทียบเท่าเตียวน้อยสองตัวนี้แค่ไม่กี่คน หากยังไม่มีใจใฝ่มรรคอีก ก็ควรโดนสายฟ้าจากสวรรค์ผ่าใส่แล้วจริงๆ!”

มังกรเฒ่าพูดมีเลศนัย ฉีเซวียนและฉีเหวินเพียงรู้ว่ามรรคเซียนนั้นยากนักจะได้มา ฉินจื่อโจวเข้าใจส่วนหนึ่งไม่นับว่าถ่องแท้ มีแค่จี้หยวนที่รู้ว่ามังกรเฒ่าหมายถึงอะไร

“จริงสิ ท่านจี้ ท่านอิง ท่านฉิน ปลานี้พวกท่านคิดจะกินอย่างไร”

จี้หยวนอยากกินเนื้อสัตว์ตั้งแต่อยู่ที่วัดต้าเหลียงแล้ว ตอนนี้ได้ยินคำถามของนกพรตชิงซงก็นึกถึงหัวปลาที่พวกเขาเคยทำในตอนนั้นอย่างอดไม่ได้ กินร่วมกับเครื่องเทศบนภูเขาให้ความรู้สึกเผ็ดร้อนและสดใหม่

“เช่นนั้นเป็นหัวปลาสูตรลับของนักพรตเป็นอย่างไร ข้าคนแซ่จี้ให้ยักษ์แม่น้ำเทียมฟ้าหาปลาตัวใหญ่สามตัวนี้เป็นพิเศษ ตัดออกเป็นสองท่อนหัวกับหาง ส่วนที่ดีที่สุดอยู่ที่หัวทั้งหมด!”

ตอนนี้ฉีเซวียนและฉีเหวินเดินเข้าสู่การฝึกปราณแล้ว เรื่องอัศจรรย์บางอย่างอยู่ต่อหน้าจึงไม่ได้หลีกเลี่ยงเท่าไหร่แล้ว

“แปะ…”

นักพรตชิงซงปรบมือ ด้วยรู้สึกโล่งใจที่เป็นทางถนัดของตนเอง ด้วยเขากลัวจริงๆ ว่าจะขอให้ทำอาหารหรูหราอย่างในร้านอาหาร จึงกล่าวเสียงใสออกไป

“ท่านจี้วางใจ ในครัวมีเครื่องปรุงเพียงพอ รับรองว่าจะทำให้ทุกท่านกินแล้วเผ็ดร้อนเหงื่อตก ทว่าก็ยังคงหยุดกินไม่ได้!”

“ฮ่าๆๆ ดีๆๆ นักพรตรีบไปเตรียมของเถอะ!”

นักพรตชิงซงพยักหน้าระรัว จากนั้นเรียกฉีเหวินเสียงหนึ่ง

“ฉีเหวิน ฆ่าปลา!”

“ได้เลย!”

พวกจี้หยวนและมังกรเฒ่าไม่ต้องการการดูแลจากฉีเหวินและฉีเซวียนเป็นพิเศษ ลากเก้าอี้หลายตัวและโต๊ะอาหารตัวเล็กในอารามด้วยตนเอง

ใบชาบนโต๊ะเป็นสองนักพรตเก็บมาจากในป่าแล้วตากแห้งด้วยตนเอง น้ำก็เป็นน้ำแร่ที่เพิ่งต้มเมื่อครู่นี้ ทว่าไม่มีของจำพวกขนมเลย

“หากรู้แต่แรกคงนำขนมติดไม่ติดมือมาจากจวนบาดาลแม่น้ำเทียมฟ้า ไม่ว่าอย่างไรพวกเราก็เป็นผู้ฝึกปราณที่มีมรรควิถีอยู่บ้าง ตอนนี้แม้แต่เมล็ดแตงก็ไม่มี!”

จี้หยวนบ่นเสียงหนึ่ง มังกรเฒ่าก็ถูกท่าทางของเขาเย้าแย่เช่นกัน

“ใครให้ท่านรีบร้อนปานนี้เล่า”

ฉินจื่อโจวยกจอกชาขึ้นเป่าใบชาและไอร้อนเบาๆ เมื่อดื่มชาร้อนคำหนึ่งแล้วค่อยกล่าว

“อารามเขาเมฆาไม่ใช่สถานที่ที่มีกำยานเต็มเปี่ยมอะไร ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมามีคนมากราบไหว้ไม่เท่าไหร่ ไม่ว่าใครก็มาที่นี่เพียงครั้งเดียวด้วยความอยากรู้อยากเห็น เห็นในอารามไร้รูปปั้นเทพ ไร้กระถางธูปใหญ่ ไร้สระนำขอพร ไร้ระฆังสำริด นับถือเพียงฟ้าดินและดวงดาว ท่านจะให้เขาขอบุตร ขอเงินทอง ขอคู่ครองหรือ ช่างเถอะ ครั้งหน้าคงจะไม่มาแล้ว ดังนั้นขนมประณีตพวกนั้นจึงไร้วาสนากับอารามแห่งนี้!”

จี้หยวนคิดแล้วพลันหัวเราะขึ้น

“หึ ข้าคนแซ่จี้เปลี่ยนไปแล้ว!”

พูดแล้วเขาก็หยิบสิ่งของห่อด้วยใบไม้แห้งออกมา จากนั้นคลี่ออกทีละน้อยอย่างระมัดระวัง เผยให้เห็นวัตถุสีม่วงแดงแห้งๆ อยู่ข้างใน

“เก๋ากี้?”

ฉินจื่อโจวเป็นหมอมาแล้วเกือบร้อยปี แน่นอนว่ามองปราดเดียวก็รู้ว่านี่คืออะไร ฝ่ายจี้หยวนพูดต่อตอนที่มังกรเฒ่ายังคงงุนงงอยู่

“ถูกต้อง ท่านฉินตาแหลมนัก เป็นเก่ากี้ป่าชั้นดีเชียวล่ะ!”

จี้หยวนหยิบเก๋ากี้เม็ดหนึ่งใส่ปากเคี้ยว รสชาติหวานเล็กๆ เปรี้ยวนิดหน่อย จากนั้นผายมือเชื้อเชิญ

“เชิญทั้งสองท่าน!”

นี่คือเก๋ากี้ที่เจ้าภูเขาลู่มอบให้ในตอนนั้น คิดไม่ถึงเลยว่าจะกลายเป็นขนมกินกับน้ำชาในเวลานี้

สิ่งที่เรียกว่าอารมณ์สบายๆ นั้นเป็นเรื่องของสภาพจิตใจ ไม่ว่าจะอยู่กับใคร แม้แต่มังกรเฒ่าเองอยู่ในบรรยากาศแบบนี้แล้วก็รู้สึกว่าชาจากใบชาป่าและเก๋ากี้หนึ่งกำมือมีความหมายอย่างยิ่งยวด

ทั้งสามดื่มชาและสนทนากัน สิ่งที่พูดกันยังคงเป็นเรื่องของอารามเขาเมฆา ครั้งนี้มีมังกรเฒ่าเพิ่มขึ้นมา จี้หยวนและฉินจื่อโจวกล่าวไว้เมื่อครั้งที่แล้ว สุดท้ายก็มาถึงประเด็นสำคัญ นั่นคือวิชาพื้นฐานในการฝึกปราณของอารามเขาเมฆาสำเร็จมากกว่าครึ่งแล้ว

“หมายความว่าวิชาอัศจรรย์ฟ้าดินของท่านจี้เป็นรูปเป็นร่างแล้วหรือ”

จี้หยวนพยักหน้า หยิบม้วนตำราออกมาแล้วกางออกบนโต๊ะเล็กน้อย ทำให้มองเห็นคำว่าวิวัฒน์ฟ้าดินอย่างพอดิบพอดี

“ผ่านความขลุกขลักนิดหน่อย แต่วิวัฒน์ฟ้าดินครึ่งแรกสำเร็จแล้ว”

“ไม่ใช่ความขลุกขลักนิดหน่อย ตำรานี้ได้รับความชิงชังจากสวรรค์ นั่นไม่ใช่เรื่องเล็กเลย”

มังกรเฒ่ากล่าวออกมาอย่างอดไม่ได้ ขณะเดียวกันชี้นิ้วขึ้นบนท้องฟ้า ฉินจื่อโจวพยักหน้าอย่างเคร่งขรึมก่อนกล่าว

“ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ไม่อาจถ่ายทอดวิชานี้โดยง่าย แม้ในอนาคตผู้ฝึกปราณอารามเขาเมฆาจะเพิ่มขึ้นบ้าง ต่อให้จำนวนน้อยเพียงใด อย่างไรเสียก็ต้องมีคนที่รู้หน้าไม่รู้ใจ!”

“ฮ่าๆ มีเหตุผล แต่อาจจะไม่ใช่เช่นนั้น ท่านฉินอ่านตำรานี้อย่างละเอียดสักรอบก็รู้แล้ว!”

มังกรเฒ่าส่ายหน้าพลางลูบเครา ยิ้มอย่างมีเลศนัย รู้สึกว่าไม่น่าแปลกเลยที่จี้หยวนชอบทำเป็นจริงจังในบางครั้ง ความรู้สึกนี้ไม่เลวเลยจริงๆ

ฉินจื่อโจวยังคงสงสัย จึงหยิบม้วนตำราบนโต๊ะมากางเพื่ออ่านดู

ตอนนี้มังกรเฒ่ามองฉินจื่อโจวด้วยมุมมองของผู้ชมด้านข้าง พลันพบความแตกต่างอีกครั้ง เห็นเขาอ่านม้วนตำรา รอบข้างมีหมอกแสงอบอวลอยู่เลือนราง นี่อาจเป็นเพราะหมกมุ่นเกินไปขณะอ่านม้วนกระดาษ จึงไม่ได้สังเกต

เนิ่นนานให้หลัง ฉินจื่อโจวถึงค่อยถอนใจยาว พยักหน้าพลางกล่าว

“เป็นเช่นที่คิดไว้ วิชาอัศจรรย์ของท่านจี้นั้น ข้าคิดว่าครอบคลุมยิ่ง!”

ทางห้องครัวของอารามเขาเมฆา มีเสียงนำวัตถุดิบลงหม้อและเสียงน้ำเดือดดังมา กลิ่นอาหารหอมหวนหลายระลอกค่อยๆ โชยมาเช่นกัน

“เครื่องปรุงและหัวปลาสูตรลับของนักพรตชิงซงก็ต้องสืบทอดต่อไปด้วย มันเป็นสมบัติของอารามเขาเมฆาเช่นกัน!”

“ใช่ๆๆ เป็นสมบัติของอารามเขาเมฆาเช่นกัน!”

“ฮ่าๆๆๆๆ…”

สามคนหัวเราะเสียงดังขึ้นมาพร้อมกัน มังกรเฒ่าที่หมกตัวอยู่แต่ที่บ้านก่อนหน้านี้ ตอนนี้อารมณ์ดีและสบายใจเป็นอย่างยิ่งแล้ว

ในห้องครัวของอารามเต๋า นักพรตชิงซงได้ยินเสียงหัวเราะ ใบหน้าเผยความปีติ

“อาจารย์ พวกท่านจี้เหมือนจะมีความสุขทีเดียว หัวเราะอะไรหรือ”

“อย่างไรก็ต้องเป็นเรื่องดีแน่นอน จริงสิ จุดไฟแรงหน่อย หัวปลานี้ใหญ่เกินไป หากไฟแรงไม่พอก็อย่าหวังว่ามันจะสุกเลย!”

“อาจารย์วางใจเถอะ!”

ฉีเหวินรับประกับไปพลาง หักฟางในมือไปพลาง จากนั้นวางลงในเตาอย่างชำนิชำนาญ และถือโอกาสโยนเตียวน้อยที่เข้ามาใกล้เกินไปออกไปไกลหน่อย

“อย่าเข้ามาดูในเตาไฟ ระวังจะไหม้ขนได้!”

“จี๊ดๆ…”

เตียวสีเทาตัวนี้ร้องสองเสียงอย่างไม่สบอารมณ์อยู่บ้าง สุดท้ายวิ่งออกจากห้องครัวไปยังประตูหลักของอารามเต๋า

ตกเย็น ในลานของอารามเขาเมฆา โต๊ะขนาดใหญ่นั่งได้แปดคนถูกยกออกมา บนโต๊ะนอกจากผักที่อารามเขาเมฆาปลูกเองแล้ว แน่นอนว่าขาดหม้อขนาดใหญ่ไปไม่ได้เลย

เพราะปลาสามตัวนี้ตัวใหญ่เกินไป อีกทั้งน้ำหนักรวมกันหลายสิบชั่ง ครั้งนี้แม้แต่หม้อใหญ่ที่ทำให้หลายสิบคนกินได้ก็ยังคับแคบอยู่บ้าง นักพรตชิงซงนับว่ามีความสามารถอย่างแท้จริง ถึงทำอาหารออกมาได้ดีขนาดนี้ ทว่าเสียแรงกายแรงใจไปไม่น้อยเลย

กลิ่นหอมจากในหม้อโชยไปทั่วทั้งอารามเขาเมฆา สามด้านของโต๊ะนั่งไว้ด้วยจี้หยวน อิงหง และฉินจื่อโจว อีกด้านหนึ่งที่เหลือนักพรตชิงซงและนักพรตชิงยวนนั่งเรียงกัน ส่วนเตียวสีเทาตัวน้อยสองตัวอยู่ห่างออกไปไกล ใช้จานสองใบใส่เนื้อปลาขอดเกล็ดสดใหม่เอาไว้

เพราะในหม้อใหญ่มีหัวปลาพร้อมเนื้อและน้ำแกงอยู่เต็มหม้อ จึงรักษาอุณหภูมิได้จำกัด หลายคนล้วนกินอย่างเบิกบานใจ สุรารสเลิศในกาสุราเชียนโต่วหยกขาวถูกจี้หยวนนำมาแบ่งให้ทุกคนดื่มด้วย ถึงขั้นเทให้เตียวน้อยสองตัวหนึ่งถ้วยเล็กเช่นกัน ทว่าเจ้าตัวน้อยทั้งสองดื่มหมดแล้วก็นอนลงในทันที

ภาพนี้ทำให้นักพรตชิงซงนึกถึงตอนนั้นอย่างอดไม่ได้ ที่ท่านจี้มอมสุราเขาโดยไม่อธิบายอะไรเลย

หลังจากดื่มสุราสามรอบและลิ้มรสอาหารหลายอย่าง หัวปลาทั้งหมดถูกหลายคนกินไปมากกว่าครึ่ง ฉีเซวียนและฉีเหวินกินจนพุงกางตั้งนานแล้ว ทว่าพวกจี้หยวนสามคนยังคงขยับตะเกียบไม่หยุด อีกทั้งใช้กระบวยตักน้ำแกงใส่ถ้วยกินอยู่เรื่อยๆ

ฉีเซวียนและฉีเหวินทำได้เพียงมอง จี้หยวนจึงยิ้มกล่าวว่า

“นี่ก็เป็นอีกหนึ่งข้อดีของผู้ฝึกเซียน ไม่ใช่ว่าจะอิ่มหลังจากกินอาหารรสเลิศไปเพียงนิดเดียว ฮ่าๆ!”

เมื่อเก็บกวาดอาหารบนโต๊ะจนเกลี้ยงแล้วอย่างแท้จริง รวมถึงดื่มสุราอีกหลายถ้วย จี้หยวนถึงหยิบวิวัฒน์ฟ้าดินออกมาจากในแขนเสื้ออีกครั้ง จากนั้นยื่นให้นักพรตชิงซง

“นักพรตชิงซง นี่คือวิวัฒน์ฟ้าดินที่ข้าคนแซ่จี้อนุมานออกมา เป็นท่อนบนของวิชาอัศจรรย์ฟ้าดิน วิชานี้อัศจรรย์ยิ่งนัก หวังว่าอารามเขาเมฆาจะหวงแหนวิชานี้ การเสาะหาผู้สืบทอดก็ควรให้ความสำคัญเช่นกัน แน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องระมัดระวังเกินไป แค่เข้ากับเจตจำนงเต๋าดั้งเดิมของอารามเขาเมฆาก็ใช้ได้แล้ว”

นักพรตชิงซงลุกขึ้นยืนตรง กลั้นอาการท้องอืดเอาไว้ รับม้วนกระดาษไว้ด้วยสองมืออย่างตั้งใจ ก่อนจะมีท่าทางอยากเปิดออกดูทว่าไม่กล้า

“อยากดูก็ดูเถอะ หลังจากนี้มันเป็นพื้นฐานการฝึกปราณของอารามเขาเมฆาแล้ว ไม่จำเป็นต้องเกรงใจปานนั้น”

จี้หยวนมองทะลุความคิดเขา ถึงได้พูดออกไปแบบนั้น

“อื้ม!”

หลังจากฉีเซวียนตอบรับเสียงหนึ่งแล้ว เขากางม้วนกระดาษออกอย่างทนไม่ไหว ฉีเหวินก็เข้ามาดูใกล้ๆ เช่นกัน แค่ทั้งสองคนมองดูครั้งเดียวก็เหมือนกับได้รับการแก้ไข แววตาถูกม้วนกระดาษดึงดูด ร่างกายเกิดหมอกเลือนรางเล็กน้อย

“โอ้ ดูไม่ออกเลยว่าความสามารถของนักพรตทั้งสองเข้าขั้นอยู่บ้าง!”

มังกรเฒ่าอดกล่าวด้วยความประหลาดใจไม่ได้ ฝ่ายฉินจื่อโจวลูบเครา

“ท่านจี้เขียนขึ้นโดยใช้วิชาที่สอดคล้องกับทางเต๋าโดยเฉพาะ หากสองคนนี้ยังไม่เข้าใจอะไรบ้างอีก ก็คงจะเปลืองแรงท่านจี้ไปเปล่าๆ แล้ว!”

“อืม!”

มังกรเฒ่าพยักหน้าเบาๆ นับว่ายอมรับคำพูดนี้แล้ว

โชคดีที่ครั้งนี้นักพรตสองคนไม่ได้นั่งอยู่หลายวันเพราะศึกษาวิชา เมื่อดึงสติกลับมาได้นั้นเวลาผ่านไปเพียงหนึ่งเค่อ ทว่าสีหน้าเข้าใจแจ่มแจ้งและประหลาดใจของพวกเขา แสดงให้เห็นถึงผลกระทบที่ได้รับระหว่างกระบวนการนี้อย่างสมบูรณ์

หลังจากฉีเหวินกลับมามีสติแล้วก็ถามอย่างอดไม่ได้

“ท่านจี้ วิชาอัศจรรย์ฝึกเซียนทั้งหมดมหัศจรรย์เช่นนี้เหมือนกันหรือ วิวัฒน์ฟ้าดินของพวกเรานับว่ายอดเยี่ยมในบรรดาวิชาฝึกปราณของสำนักเซียนทั้งหลายแล้วกระมัง”

“เอ่อ…ที่อื่น…”

จี้หยวนไม่รู้ว่าจะตอบอะไร แม้เขามั่นใจในวิชาอัศจรรย์ฟ้าดินของตนเองมาก ทว่าไม่เคยเห็นวิชาของที่อื่นสักเท่าไหร่ ยังเทียบกับแบบฝึกล้อมหยกไม่ได้กระมัง

“หึๆ…”

มังกรเฒ่าหัวเราะ หรี่ตามองม้วนกระดาษในมือฉีเซวียน

“ท่านจี้ไม่อยากชมตนเอง แต่ข้าจะบอกพวกเจ้าให้ว่า ตอนวิชานี้สำเร็จ แม้แต่สวรรค์ก็ยังอยากแย่งไป!”

ไม่ได้พูดเกินจริง เป็นคำอธิบายที่เหมาะสม!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด